รู้ตรงปัญหา พัฒนาตรงจุด – จุดเน้นแห่งภารกิจ ที่จะต้องปฏิบัติ

3 กันยายน 2546
เป็นตอนที่ 5 จาก 15 ตอนของ

รู้ตรงปัญหา พัฒนาตรงจุด

จุดเน้นแห่งภารกิจ ที่จะต้องปฏิบัติ

พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กราบนมัสการครับ เรื่องนี้กระผมกับคณะขอรับใส่เกล้า เพื่อจะได้ไปแก้ปัญหา เป็นแนวในการพิจารณาตามที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้เมตตาให้การสั่งสอนมา

เรื่องนี้กระผมพิจารณาอย่างนี้นะครับ ที่ผ่านมา สรุปว่า ในช่วงที่กระผมเป็นผู้บัญชาการศึกษานั้น กระผมนำข้าราชการตำรวจประมาณหนึ่งแสนสามหมื่น บวกด้วยครอบครัวและประชาชน รวมประมาณสองแสนคน เข้าไปสู่กระบวนการในการปฏิบัติพระสัทธรรม ได้ผลเป็นที่มหัศจรรย์ เรื่องนี้สื่อมวลชนทราบดีเป็นการทั่วไป และยอมรับ สร้างผลสะเทือนให้เกิดขึ้นในวงการพอสมควร

ประเด็นปัญหาสำคัญ กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซึ่งเห็นชัดเจนก็คือ วัดในชนบทต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องสร้าง ต้องเพิ่มวิทยากรขึ้น มิฉะนั้นแล้วผู้ที่เข้าไปปฏิบัติก็ไม่ได้รับการสั่งสอน ก็ไม่รู้จะเข้าไปทำไม

มีบางส่วนที่เน้นไสยศาสตร์ ไม่ได้เอาเรื่องพุทธศาสตร์ บางส่วนเอาเรื่องการหาผลประโยชน์ อย่างที่ปรากฏเป็นคดีกันอยู่นานาประการ

ซึ่งตรงส่วนนี้กระผมเองในขณะปฏิบัติงาน ก็ได้ยึดหลักความเมตตา ที่ได้กรุณาสั่งสอนแนะนำให้ความรู้ไปประยุกต์ว่า อะไรเป็นหลักในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องการลด ละ วาง ผ่อนเบา คลายลงไปจากกิเลส ตัณหา และอุปาทาน

เพราะฉะนั้นก็ดำเนินการอย่างนี้ได้ผลในแง่ที่ว่า ทำให้วิทยากรมีความสำนึกว่าจะต้องเข้าสู่หลัก วิทยากรในที่นี้ก็มีทั้งด้านพระภิกษุ และทางฆราวาสเสริม ประเด็นตรงนี้ก็เป็นแนวที่จะพิจารณาได้ว่า ขณะนี้สิ่งที่เป็นหลักเหล่านั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ไม่ได้นำเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติ จึงก่อให้เกิดความหายนะขึ้นกับสังคม

พุทธศาสนิกชนเมื่อไม่เข้าใจ ไม่ได้รับประโยชน์ในชีวิตประจำวันจากพุทธธรรม ก็ไม่รู้จะไปรักษาหรือไปดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้มีความมั่นคงได้อย่างไร แล้วด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พุทธศาสนิกชนเองก็ไปทำลายพระพุทธศาสนาเสียย่อยยับมากมาย

กระบวนการในเรื่องเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ติดอยู่ในสำนึกตลอดเวลา ขอกราบนมัสการว่า เรื่องของพระพุทธศาสนานี้ ผู้ใหญ่ผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองขณะนี้ เป็นผลผลิตมาแต่เด็กเล็ก ซึ่งในอดีตเราไม่ได้เคยสั่งสอนให้เขาได้เข้าสู่ทางปฏิบัติ

แล้วทางปฏิบัติในพระสัทธรรม ก็เป็นทางเดียวที่เขาเหล่านั้นจะได้เห็นถึงประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เมื่อเขาได้ประโยชน์ เขาก็รักษาทำนุบำรุงสุดชีวิต แต่เมื่อเขาไม่มีประโยชน์เขาก็ไม่รักษา เขาไม่เข้าใจ เมื่อเขาเข้ามามีอำนาจเขาก็ไม่เห็นประโยชน์ สังคมของเราจึงเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความต้องการทางวัตถุเท่าไรก็ไม่พอ

สังคมอย่างนี้ ชนในตะวันตกเขาได้รับบทเรียนมาแล้ว เข้าสู่สภาวะของโรคจิต การวิกลจริต การฆ่าตัวตาย แล้วเขาก็เริ่มมีการแสวงหา แต่จะแสวงหาอย่างไรก็ตาม อย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์เคยสั่งสอนกระผมไว้ ก็คือแสวงหาเพื่อมาเป็นสิ่งกล่อม ก็เลยไปติดเข้าอีกแบบ ไปถูกกล่อม ไม่ได้เข้าไปสู่จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา คือการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ซึ่งไปทีละขั้น ตามที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กล่าวไว้เมื่อสักครู่นี้

ภาวะตรงนี้ทำให้สภาพการปฏิบัติ เมื่อกระผมออกจากผู้บัญชาการศึกษาแล้ว ก็ลดระดับไป สรุปแล้วประมาณ ๙๐% ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างก็เพราะยังมีแกนดำเนินการอยู่

เป็นที่น่าสังเกต ในขณะที่กระผมพ้นตำแหน่งนั้นมาประมาณ ๒ ปีเศษ กระผมก็ยังได้รับการเรียกร้องให้ไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ เป็นประจำตลอดมา กระผมก็ได้อธิบายในภาษาง่ายๆ แบบชาวบ้าน ซึ่งได้มาจากการปฏิบัติของกระผมเอง ก็ไม่มากมายอะไร แต่ก็พอทำให้เขาเข้าใจได้

กระผมมองว่าขณะนี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ก็ยังเป็นอย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พูด คือยังหลงอยู่ ยังไม่เข้าใจ ยังไม่สามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เขาก็ไม่รักษาไม่ดูแล

เพราะฉะนั้นในโอกาสนี้ ซึ่งกระผมคิดว่าเป็นเรื่องของกรรม หมายถึงเป็นเรื่องของผลการกระทำที่กระผมได้ไปดำเนินการมาตลอด และทางรัฐบาลก็คงจะเห็นผลของเรื่องนี้

ท่าน ดร.วิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแทนนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ตามที่ท่านได้บอกไว้ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ปีที่แล้ว ว่าในการปฏิบัติ ท่านจะมีคณะกรรมการชุดหนึ่ง ท่านได้กล่าวต่อหน้าพระสังฆาธิการและข้าราชการประมาณ ๔๐๐ รูป/คน ที่มาประชุมพร้อมกันที่พุทธมณฑลว่า คณะกรรมการชุดนี้ จะช่วยท่านในเรื่องนโยบาย และมีหน้าที่ในการคัดเลือกผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในโอกาสต่อไป

ท่านได้ประกาศต่อพระสังฆาธิการและข้าราชการ ซึ่งอาจจะสืบเนื่องมาจากกรณีนี้ก็ได้ กระผมไม่ชัดเจน ต่อมากระผมได้รับการติดต่อให้มาทำหน้าที่นี้ ผู้ประสานงานได้ถามว่ามีความเห็นอย่างไร

กระผมได้ยืนยันว่า กระผมไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะกระผมมีความเห็นว่า จากประสบการณ์ที่กระผมอยู่ในระบบราชการ ถ้ามีการแต่งตั้งก็จะได้คนดีและไม่ดี คนเฉื่อยและคนไม่เฉื่อย ส่วนใหญ่ในระบบราชการไทยของเรา ตามทางปฏิบัติก็จะได้รับในทางที่เป็นผลลบมากกว่าผลบวก

ทางผู้ประสานงานของรัฐบาลก็บอกว่า เห็นด้วยกับการคัดสรร แต่ยังไม่ทำ ยังมีเหตุผลบางประการ ให้กระผมเข้ามาปูพื้นฐาน ปูทาง ด้วยความตื่นตัว ด้วยความรับผิดชอบเสียก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วต่อไปจะได้มีการคัดสรร

กระผมขอกราบนมัสการ ให้ได้รับทราบเป็นเบื้องต้น กระผมก็ได้สอบถามทางผู้ประสานงานว่า ถ้ากระผมจะเข้ามา กระผมก็ต้องสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง เพราะถ้าทำอะไรไม่ได้เลย เข้ามาสู่ระบบราชการแบบเดิม ไม่เข้าเสียดีกว่า ก็สนทนาปรารภสัมมนากันสั้นๆ ทางฝ่ายผู้ประสานงานก็บอกว่ารับได้ สิ่งที่รับได้นั้นกระผมเสนอหลักการ ๒ ประการ

ประการแรก คือ กระผมเน้นว่า จะต้องมีการศึกษา-ปฏิบัติ-เผยแผ่ สรุปตรงประเด็นนี้คือ ๓ ข้อ

ข้อที่หนึ่ง จะต้องนำพุทธศาสนิกชนลงสู่การปฏิบัติในพระสัทธรรมให้ได้มากที่สุด ด้วยกุศโลบายนานาประการ อันนั้นในรายละเอียดก็ว่ากันไปอีกที เช่นการประสานกับหน่วยงานราชการทุกกระทรวงทบวงกรม อย่างนี้เป็นต้น ให้ทำอย่างกว้างขวาง ให้ทำอย่างมีจิตเมตตา แต่ต้องดำเนินการด้วยปัญญา ตามที่ได้เมตตาสั่งสอนไว้นั้น

ข้อที่สอง จะต้องนำระบบอย่างนี้ ลงสู่ระบบการศึกษาในวัยตั้งแต่เด็กเล็ก แล้วพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ ถ้าหากว่าผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีประสิทธิภาพและมาจากการคัดสรร เพราะคณะกรรมการต้องดูแล ถ้าทำไม่ดีก็ถอดถอน ถ้าทำดีก็ปกป้อง เพราะฉะนั้นเราจะได้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ได้มาตรฐานตลอดไป พระพุทธศาสนาบอบช้ำ เกินกว่าที่จะลงไปสู่ลักษณะแบบเช้าชามเย็นชามได้อีกแล้ว

ข้อที่สาม จะต้องปรับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้เข้มแข็ง ให้มั่นคง ให้มีมาตรฐาน ให้มีความต่อเนื่อง ไปสู่การดำเนินการในประเด็นที่ ๑ และประเด็นที่ ๒ อย่างที่กระผมได้กราบนมัสการไว้แล้ว นั่นคือส่วนที่หนึ่ง ซึ่งตรงนี้กระผมขอสนองรับคำสั่งสอน ในประเด็นที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กล่าวมาแล้ว และที่จะได้สั่งสอนกระผมกับคณะเพิ่มเติมต่อไป

ประการที่สอง ส่วนสุดท้ายก็คือ กระผมเห็นว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องเป็นองค์กรเปิด จะไปหมกเม็ดปิดเงียบเช้าชามเย็นชามไม่ได้

จะต้องมีลักษณะของความกระฉับกระเฉง และมีอะไรก็ตามต้องบอกพี่น้องประชาชนให้ได้รับทราบ บอกพุทธบริษัท ตรงไหนทำไม่ได้ ตรงไหนทำได้ ต้องว่าไป

เรื่องตรงนี้มีร้อยแปดพันประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัดที่มีปัญหา บุคคลที่มีปัญหา บุคคลที่เข้ามาอยู่ในวัดสร้างความเสื่อมเสียอย่างมโหฬาร ศาสนสมบัติ ทั้งของวัดและศาสนสมบัติกลาง ประชาชนติฉินนินทา ชาวพุทธเราก็อยู่ในความเงียบตลอดเวลา อย่างนี้ต้องนำมาเปิดกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเปิดได้

กระผมก็หวังว่า ถ้าเรามีความกระฉับกระเฉง ทำงานกันด้วยความมีเมตตา ท่าทีต้องมีความเมตตา ไม่ใช่ต้องการที่จะไปทำร้ายใคร แต่ต้องดำเนินการด้วยปัญญา ซึ่งจะเกิดขึ้นจากจิตที่มีความตั้งมั่นที่จะปฏิบัติงาน เพื่อประโยชน์เพื่อความมั่นคงในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อความดัง ความอยากมี อยากเป็นของตัวเรา

ในส่วนนี้สำหรับส่วนตัวของกระผมเอง กระผมพิจารณาว่าในการที่กระผมมาปฏิบัติงานนี้ เป็นเรื่องของความเป็นสิริมงคล กระผมได้แล้ว ได้เต็มเปี่ยมคือ ได้บุญได้กุศล อาจจะเดินทางลัด ในการที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางในพระพุทธศาสนา ที่เราตั้งความหวังไว้ในที่สุด ในโอกาสต่อไป ก็ไม่ทราบเมื่อใด ก็ต้องทำให้ดีที่สุด อย่างมีสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน

อันนี้กระผมพิจารณาว่าก็ต้องดำเนินการอย่างนั้น ต้องมีความกระฉับกระเฉง ต้องมีปัญญาที่จะไปแก้ปัญหา แล้วไปบอกประชาชนให้ได้รับทราบ แล้วคำถามเกิดขึ้นอีก แล้วจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร กระผมตอบกับสื่อมวลชนสั้นๆ เนื่องจากขณะนี้ มติคณะรัฐมนตรีออกแล้ว แต่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยังไม่ปรากฏออกมา ก็คงจะออกเร็วๆ นี้

กระผมพูดอะไรลึกไปก็จะเสียหาย แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย สื่อมวลชนก็ตามอยู่ตลอดเวลา เขาอาจจะคิดว่ากระผมมีความหวังอาจจะน้อย และกลายเป็นเรื่องของการโจมตี ในแง่ทำลายขวัญกำลังใจของเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนข้าราชการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่กระผมจะไปรับหน้าที่และร่วมงานกับท่านเหล่านั้นต่อไป ก็ถามกระผมว่า แล้วจะมีวิธีการทำงานอย่างไรให้ปรากฏออกมา

อย่างที่กระผมพูดมานี้กว้างๆ ให้มีความหวัง กระผมก็บอกว่าง่ายๆ คือ เราจะมีพุทธบริษัทมากมาย ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์เข้าไปร่วมกัน ในการทำงานร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเมื่อร่วมกันอย่างไรแล้วปรากฏออกมา ไม่ใช่ตัวกระผมคนเดียวที่จะพิจารณาในเชิงของเผด็จการ

เราจะต้องบริหารงานในลักษณะของธรรมาธิปไตย ด้วยปัญญา ด้วยความเพียรพยายาม วิริยะ ความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ชัดเจนตรงจุดนั้นซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้

ตรงจุดนี้ก็เอาทั้งสองฝ่ายมาร่วมกัน เราจะต้องมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ที่มีอาวุโสมีประสบการณ์ที่จะต้องมาเป็นที่ปรึกษา เพื่อบางเรื่องที่เราทำไม่ได้แล้ว หมดปัญญาแล้ว ก็จะต้องมาขอคำปรึกษา

ในด้านนี้ก็อยากจะมารับเมตตา ในประเด็นที่กระผมได้กราบนมัสการไปแล้ว และมีอะไรบ้างหรือเปล่า ที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์คิดว่าต้องดำเนินการให้รวดเร็ว เพราะกระผมมีความรู้สึกว่า ขณะนี้เมื่อกระผมได้ดำเนินการจากลักษณะที่เคยทำมา ให้เป็นองค์กรเปิดที่ชัดเจน ก็เปรียบเสมือนหนึ่งน้ำที่ไหลออกจากทำนบจนล้น ทำนบอาจเปิดรอยโหว่มาก

เพราะฉะนั้นงานที่มีปัญหาอาจเข้ามามากมาย คำถามต่อเรื่องเหล่านี้ว่าแล้วเราจะทำทันหรือ กระผมมีระยะเวลาเพียง ๑ ปีจะเกษียณอายุราชการในปี ๒๕๔๗ เพราะฉะนั้นจะต้องเรียงลำดับความสำคัญเร่งด่วน

ตรงเรื่องลำดับความสำคัญเร่งด่วนจะต้องมากราบนมัสการถามด้วยว่า จะเอาเรื่องอะไรเป็นประเด็นที่สำคัญ ที่พอจะทำได้ทัน เรื่องปัจจุบันที่พอจะปูเป็นพื้นฐาน ที่กระผมได้กล่าวกราบนมัสการ ในประเด็นที่หนึ่ง คือ เป็นพื้นฐาน ในประเด็นที่สอง คือ ต้องกระฉับกระเฉง ต้องประชาสัมพันธ์ จะถูกต้องแค่ไหนเพียงใด กระผมขอกราบนมัสการไว้แต่เพียงเท่านี้

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ถ้าบอกว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ต้องเลิกเป็นทาสของความไม่รู้ของดีที่มีสืบมา ทำท่าจะกลายเป็นของเสีย ต้องรีบจัดการใช้ให้เป็นประโยชน์ >>

No Comments

Comments are closed.