ให้วัดเลิกเป็นที่เล่าเรียน ชาวบ้านสูญเสียโอกาสในการศึกษา

23 มกราคม 2551
เป็นตอนที่ 4 จาก 6 ตอนของ

ให้วัดเลิกเป็นที่เล่าเรียน ชาวบ้านสูญเสียโอกาสในการศึกษา

ตอนนี้ พระก็ค่อยๆ ต้องถอนตัวออกจากการศึกษา ต่อมา เราก็ประสบปัญหาว่า ในชนบท การศึกษาไปไม่ถึง เป็นปัญหาขาดความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งเป็นมานานมาก อันนี้เป็นปัญหาซับซ้อนมากในสังคมไทย ซึ่งทำให้ทางด้านพระเอง ก็ไม่ค่อยสนใจการศึกษา เพราะถือว่า ตัวไม่มีหน้าที่ แต่แล้วพร้อมกันนั้น ทางด้านรัฐเองก็ไม่สามารถจัดบริการการศึกษาให้ทั่วถึงได้ ชนบทก็ขาดแคลนการศึกษา

สมัยก่อนนั้น การคมนาคมมีน้อย ที่มีก็ลำบากยากเย็นมาก เด็กในชนบทจะเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นมัธยมขึ้นไป ต้องไปในเมือง ในกรุง จึงมาอยู่วัดกันมาก วัดช่วยการศึกษาได้อย่างสำคัญ โดยเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเด็กนักเรียนนักศึกษาจากชนบท หรือถิ่นบ้านนอกห่างไกล แต่พระไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับการสอน ได้แค่ให้วัดเป็นที่อยู่ของเด็กที่ไปเรียน

เด็กในชนบท จะเรียนอุดมศึกษา ไม่มีที่เรียน ถ้าจะได้เล่าเรียน ก็ต้องเข้ามาในกรุงเทพฯ แล้วเด็กชนบทโดยมาก หรือแทบทั้งนั้น ก็ไม่มีญาติเป็นคนกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นก็ไปอยู่วัดกัน

ทีนี้ แค่จะเรียนในชั้นมัธยม ถ้าเข้ามาไม่ถึงกรุง ก็ไปอยู่ที่ตัวเมือง โดยไปอยู่วัดในเมือง หรือไปอยู่วัดในตัวอำเภอ วัดสมัยก่อนนั้นจึงมีลูกศิษย์พระมากมาย เพราะว่าเด็กมาเรียนหนังสือ นี่คือเป็นไปตามสภาพ ที่ขึ้นต่อเหตุปัจจัยทางสังคม วัดสมัยนั้นจึงมีเด็กวัด มีลูกศิษย์วัดมากมาย ซึ่งก็คือเด็กชนบทที่มาอยู่วัดเพื่อเรียนหนังสือ เพื่อไปเรียนมัธยม ในโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ หรือโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด

ทีนี้ เด็กชนบทที่จะมาเรียนในกรุงเทพฯ ได้ แม้จะมาอยู่วัด ก็มักเป็นผู้ที่มีฐานะดีหน่อย แต่ถ้าเป็นชาวบ้านจริงๆ เป็นลูกชาวไร่ชาวนา ที่จะมาอยู่ในกรุง แม้แต่จะมาอยู่วัด ก็ไม่ไหว แล้วจะทำอย่างไร พอจบประถม ๔ ก็จบการศึกษาภาคบังคับ อยากเรียนต่อ จะทำอย่างไร พ่อแม่ก็เอาไปฝากวัดในอำเภอ หรือวัดในเมือง ไม่ใช่ไปเป็นเด็กวัด แต่ให้บวชเณรเสียเลย แล้วเณรนั้นก็มีโอกาสมากหน่อยที่จะได้ไปอยู่วัดเรียนบาลีในกรุงเทพฯ นี่คือกลายเป็นว่า ผู้ที่บวชเณร ก็คือลูกชาวบ้านยากจน ลูกชาวไร่ ลูกชาวนา ที่พ่อแม่ไม่สามารถส่งเข้าสู่ระบบการศึกษาของรัฐ ก็ไปอยู่วัด เพื่อจะมีทางได้เล่าเรียนบ้าง

ทางด้านพระ ในวัด ท่านก็สอนไปตามระบบเก่า คือแบบนักธรรมที่สืบกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ทีนี้ ในต่างจังหวัด พระท่านไม่ค่อยมีทุนรอนอะไร ก็จัดการเรียนการสอนกันไปตามมีตามเกิด บางทีมีคนบวชเข้ามา ก็ให้เอาหนังสือเอาแบบเรียนไปท่องกัน บางวัดในถิ่นเจริญขึ้นมาหน่อย ในอำเภอ ในตำบล ก็จัดสอนกันบ้าง แต่ถึงขนาดนั้น สมัยก่อนก็ยังเอาใจใส่กว่าสมัยนี้ ก็สอนกันไปเท่าที่สอนได้ โดยมากเรียนกันแค่นักธรรมตรี พอถึงชั้นโท-เอก ก็ดูหนังสือเอง ท่องเอาไปสอบแทบทั้งนั้น แทบจะไม่มีการสอน

แม้แต่ในชั้นนักธรรมตรี พระอาจารย์ที่มีความรู้ดี ก็มีน้อย อาจจะเป็นเจ้าอาวาส เป็นรองเจ้าอาวาส สอนนักธรรมตรี พอเข้าพรรษาที่ ๒ ถ้าเกิดได้นักธรรมตรีไปแล้ว จะสอบนักธรรมโท ตอนนี้มักต้องเรียนเอง ก็ให้ตำราคือแบบเรียน เอาไปอ่าน แรงจูงใจให้อยากได้ ก็มีอยู่บ้าง เพราะว่าได้นักธรรม ก็ยังดี จะได้มีชั้น มีขั้นอะไรขึ้นมาบ้าง

แล้วต่อมา มีการเทียบว่านักธรรมตรี เท่ากับได้ประถม ๔ แล้วก็มีเทียบต่อๆ ขึ้นไป ถ้าลาเพศสึกแล้ว ก็เอาไปสมัครราชการได้บ้าง อย่างแต่ก่อนได้นักธรรมโท ก็ไปสมัครเป็นพลตำรวจได้ อะไรๆ อย่างนี้ ก็คือได้มีฐานะขึ้นมาบ้าง ต่อมา ก็มีการเทียบชั้นโน้น ชั้นนี้ ให้ชัดเจนเป็นทางการมากขึ้น ก็เป็นกันมาอย่างนี้

เรื่องก็คือว่า ทางฝ่ายรัฐ ตอนนี้เมื่อมีการศึกษาเป็นระบบของรัฐแล้ว ก็ไม่ได้เหลียวแลเอาใจใส่การศึกษาของคนอีกส่วนหนึ่งที่ออกไปหรือออกมาบวช โดยเฉพาะก็คือเด็กชาวชนบทที่เข้าสู่ระบบของรัฐไม่ได้ เพราะไม่มีทุนรอน แล้วก็ไปบวชเณรอยู่ เด็กพวกนี้ถูกตัดขาดจากระบบการศึกษาของรัฐไปเลย แล้ววัดจะดูแลไปอย่างไร ก็เป็นเรื่องของวัด1

คณะสงฆ์ก็ไม่มีกำลัง หรือไม่ค่อยจะมองดู คณะสงฆ์ก็ถือว่า เอาละ ท่านเหมือนกับบอกว่า ฉันจัดสอบให้ ก็ยังดีนะเธอ คือท่านมีแม่กองบาลี แม่กองนักธรรม ซึ่งมีหน้าที่จัดสอบให้ ไม่มีหน้าที่จัดการเรียนการสอน

เออ ฉันจัดสอบให้ก็แล้วกัน ถึงเวลาจะออกข้อสอบให้ทั่วประเทศ ก็มีธรรมเนียมว่า ท่านจัดพระที่มีความรู้ในกรุงเทพฯ นำข้อสอบไปจังหวัดต่างๆ แล้วก็ไปจัดการสอบ เสร็จแล้วก็เก็บเอาใบตอบมากรุงเทพฯ แล้วก็มีการประชุมตรวจกัน เมื่อมากนัก ต่อมาก็ให้ตรวจกันในระดับจังหวัดต่างๆ แต่ข้อสอบไปจากศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีหน้าที่จัดสอบ

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ที่แท้นั้น วัดคือสถานศึกษา จึงเป็นแหล่งวิทยามาแต่นานไกลอยู่วัด เรียนไม่มี เมื่อให้ธรรมไม่ได้ พระก็วุ่นไปกับการได้ลาภ >>

เชิงอรรถ

  1. ต่อมา ได้มีการตรา พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒

No Comments

Comments are closed.