คนตายเมื่อสมองตาย จะว่าอย่างไร

14 ธันวาคม 2542
เป็นตอนที่ 6 จาก 6 ตอนของ

คนตายเมื่อสมองตาย จะว่าอย่างไร

ผู้อำนวยการฯ : ในช่วง ๓๐ – ๔๐ ปีที่ผ่านมานี้ วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้เจริญก้าวหน้ามาก ก็เลยมีการบัญญัติคำใหม่ คือคำว่า “สมองตาย” หมายความว่าสมองได้สูญเสียการทำงานอย่างถาวร เพราะว่าสมองได้ถูกทำลายจนไม่สามารถจะแก้ไขหรือฟื้นขึ้นมาโดยวิธีการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น ในการรักษาทางการแพทย์คือคนๆ นั้นได้เสียชีวิตแล้ว ในแง่พระพุทธศาสนามีอะไรที่จะพูดเชื่อมโยงกับตรงนี้ได้

พระธรรมปิฎก : ตอบง่ายๆ คือทางพระเราเอาที่จิต เพราะว่าคนเรามีชีวิตประกอบด้วยจิตและกาย ทีนี้ตัวที่จะตัดสินว่าสิ้นชีวิตนั้น กายเราก็เห็นอยู่ แต่ส่วนสำคัญคือจิตเรามองไม่เห็น แต่จิตนั้นก็อาศัยกายนี้อยู่ ถ้าจิตดับครั้งสุดท้ายในภพนี้หรือในชีวิตนี้ ก็เป็นอันว่าสิ้นแล้ว

ฉะนั้นก็อย่างที่ว่าแล้ว ในทางร่างกายที่ตาเรามองเห็นนั้น เราจะกำหนดอย่างไร เพราะว่าจุติจิตเราก็มองไม่เห็น ก็เลยเป็นเรื่องของคนในยุคนั้นๆ ว่าจะกำหนดอย่างไรให้แน่ใจ คนโบราณกำหนดที่ลมหายใจ หัวใจเต้นหรือไม่ ถ้ายังไม่แน่ใจก็ต้องพยายามปล่อยรอก่อนจนแน่ใจ จึงก็เป็นเรื่องของคนในยุคนั้นๆ ว่าจะดูแค่ไหน

ปัจจุบันก็เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ด้านการแพทย์ ที่จะต้องพัฒนาความสามารถ ที่จะพิสูจน์เรื่องของการสิ้นชีวิตนี้ เพื่อจะให้โยงไปประสานกับการวินิจฉัยที่ว่า จิตดวงสุดท้ายในภพนี้ได้ดับแล้ว

เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้อาตมาวินิจฉัยว่าสมองตายใช้วินิจฉัยได้หรือไม่ อาตมาก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ถ้าสมองตายนี้หมายถึงว่าจุติจิตไปแล้ว ก็ใช้ได้ ก็จบกัน

แต่ทีนี้ทางการแพทย์นั้นเราแน่ใจได้แค่ไหน เท่าที่รู้นั้น ปัจจุบันนี้เราอาจจะแน่ใจ แต่ต่อไปก็อาจจะไม่แน่ขึ้นมาอีก เพราะว่าเรื่องความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นการพยายามค้นหาความจริง เมื่อยังไม่ถึงตัวแท้ ก็ต้องพัฒนากันไปเรื่อยๆ

แต่บอกได้ว่า ในทางพระพุทธศาสนา เราตอบชัดลงไปว่า กำหนดด้วยจุติจิตหรือจิตสุดท้ายในภพนี้ได้ดับไป

ผู้อำนวยการฯ : แพทย์ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับผู้บริจาคอวัยวะ

พระธรรมปิฎก : เขาบริจาค เขาเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีคุณธรรม เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมองว่าเราต้องยกย่องให้เกียรติ และอีกประการหนึ่ง ถือว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม ช่วยให้เพื่อนมนุษย์อยู่ดี หายโรค หายภัย และเป็นอยู่ดีขึ้น เขาได้ทำบุญ เราจึงควรจะแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่งในการที่ยอมรับหรือเห็นคุณค่า ซาบซึ้ง ในประโยชน์ที่เขาได้ทำไปแล้ว การปฏิบัติต่อกันตามระเบียบหรือธรรมเนียมของสังคมนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเรามีจิตดี ทำด้วยใจที่ถึงกันแล้ว การปฏิบัติที่แสดงออกก็จะดีจริงๆ

ผู้อำนวยการฯ : ในนามของศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ขอกราบนมัสการขอบพระคุณท่านที่ได้ให้ข้อคิดต่างๆ เกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะตามหลักพระพุทธศาสนา ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ก็จะนำไปเผยแพร่และปฏิบัติตามต่อไป

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< บริจาคอวัยวะ จะทำใจอย่างไร ให้เกิดใหม่ยิ่งงาม

No Comments

Comments are closed.