- การสื่อภาษาเพื่อเข้าถึงสัจธรรม
- ขอบเขตและขีดจำกัดของภาษา
- เบื้องหลังความผิดพลาดและความบกพร่อง ในการสื่อภาษาและการใช้ภาษาเป็นสื่อ
- ระหว่างการใช้ภาษาเป็นสื่อ กับการมุ่งสู่ประสบการณ์ตรง จับจุดพลาดให้ถูก
- งมงายในวิทยาศาสตร์ ย่อมไม่ลุถึงวิทยาศาสตร์
- ฐานที่แท้ของการแก้ความผิดพลาด
- เมื่อรู้จักใช้ ก็ประสานประโยชน์ได้ เมื่อปฏิบัติพอดี ก็เป็นคุณทั้งหมด
- บทสรุป
งมงายในวิทยาศาสตร์ ย่อมไม่ลุถึงวิทยาศาสตร์
ในยุคที่ผ่านมา คนคิดว่าวิทยาศาสตร์จะทำให้เราทำอะไรได้ทุกอย่าง จะเอาชนะธรรมชาติได้ มีความเป็นอยู่สุขสมบูรณ์สร้างสรรค์ขึ้นมาบนดิน แต่นั่นเป็นเพียงความหลงใหลหรืองมงายในวิทยาศาสตร์ เวลานี้คนก็ตื่นรู้ตามฟังมากขึ้นว่า พิษภัยมากมายเกิดแก่มนุษย์จากวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะผ่านทางเทคโนโลยี นี่ก็แง่หนึ่ง
อีกแง่หนึ่ง วิทยาศาสตร์แห่งความไม่งมงาย แต่ปรากฏว่า คนมีความงมงายในวิทยาศาสตร์ คือคนไม่ได้ใช้วิธีวิทยาศาสตร์กับสิ่งที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะคนทั่วไปจำนวนมากจะมีความงมงายในวิทยาศาสตร์มาก โดยหลงเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์สามารถให้หรือตอบความจริงเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ นี้เป็นอีกข้อหนึ่งของความผิดพลาด
ปัจจุบันนี้ คนรู้สึกตัวกันมากขึ้นว่า สิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์นั้น ไม่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับความจริงทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์นี้หลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ จึงไม่สามารถทำให้มนุษย์เข้าถึงความจริง อันนี้เป็นแง่ที่หนึ่งที่ว่า วิทยาศาสตร์เองมีขอบเขตจำกัด ถ้าใครไปยึดว่าวิทยาศาสตร์จะให้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างได้ คนเราเรียกว่ามี scientism คือความหลงยึดติดในวิทยาศาสตร์ หรือความงมงายในวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่คนทั่วไปที่เป็นชาวบ้าน พอเขาบอกว่าวิทยาศาสตร์ว่าอย่างนี้ นักวิทยาศาสตร์ว่าอย่างนี้ ก็ไม่เคยวิเคราะห์วิจัย เอาแต่เพียงว่านี่วิทยาศาสตร์บอก ก็เชื่อไปเลย อันนี้ก็นำไปสู่ความเข้าใจผิดมาก เพราะวิทยาศาสตร์นั้นก็มีการเจริญก้าวหน้าเป็นขั้นตอน มีการค้นคว้าหาความจริงและพิสูจน์กันเรื่อยไป เมื่อพิสูจน์หาความจริงไปได้แค่นี้ เราก็บอกว่า เดี๋ยวนี้ค้นได้แค่นี้ แต่คนจำนวนมากจะคิดว่าความรู้ที่วิทยาศาสตร์บอกไว้คือความจริงที่สมบูรณ์ ต่อมาปรากฏว่าวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าไปอีก ก็ค้นได้ว่าสิ่งที่เคยคิดว่าจริงนั้นไม่จริง วิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงความรู้ความเข้าใจไปเรื่อยๆ
ปัจจุบันนี้เราได้เห็นกันมากมายว่า สิ่งที่สมัยหนึ่งเข้าใจว่าเป็นความจริง แล้วต่อมาก็รู้ว่ามันไม่จริงอย่างนั้น แต่คนส่วนมากหาได้มีท่าทีวิทยาศาสตร์ต่อวิทยาศาสตร์ไม่ พอบอกว่าเป็นวิทยาศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อทันที จึงเป็นความหลงงมงายอย่างหนึ่ง ที่แท้ก็คือการที่จิตใจของคนนั้นยังมีความหลงงมงายอยู่ในตัวนั้นเอง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ในยุควิทยาศาสตร์ หรือมีวิทยาการในด้านวิทยาศาสตร์อย่างไร เขาก็ไปไม่พ้นจากสภาพนี้ สิ่งที่จะต้องแก้ที่แท้จริงก็คือ ในพื้นจิตใจของเขา ที่จะต้องสร้างทัศนคติที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงขึ้นมา แล้วก็ไม่หลงงมงาย แม้แต่ในวิทยาศาสตร์นั้น
อีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องความตื่นเต้นในภาษา เรื่องภาษาก็เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งในการเข้าถึงสัจธรรม หรือการสื่อสัจธรรม อันนี้คือความตื่นเต้นในรสภาษา บางทีเราตื่นเต้นในรสภาษาจนกระทั่งเกิดความรู้สึกอัศจรรรย์ นึกว่า โอ้! สิ่งนี้จะต้องเป็นจริง แต่ความจริงนั้นเป็นความตื่นเต้นเท่านั้นเอง เหมือนอย่างการกล่าวอ้างคำคมที่คนยกมาอ้าง แล้วก็นึกว่า คนนี้เก่งต้องพูดจริงแน่ๆ แต่ที่แท้ไม่ได้วิเคราะห์เขาเลยว่าพูดจริง หรือเพียงเอาคำคมนั้นมาใช้อ้าง ความตื่นเต้นในรสของภาษานำพาชักจูงตนเองให้ไขว้เขวไป
No Comments
Comments are closed.