การจะเป็นผู้นำนั้นเราจะต้องมองดูสภาพการศึกษาทั่วๆ ไปในโลกนี้ มองทั้งประเทศนี้และนอกประเทศ ว่าเขามีการศึกษาพระพุทธศาสนากันอย่างไร มีใครบ้างที่ต้องการเป็นผู้นำในการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เราจึงจะรู้ว่าเรานี่เป็นผู้นำได้หรือเปล่า สภาพการศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ขอให้มองกันกว้างๆ ก่อน มองไปนอกประเทศกวาดมาจากตะวันออก ประเทศสุดอาทิตย์อุทัย ก็คือญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นถือว่าเขาเป็นหนึ่งละคือมีความรู้สึกในเรื่องชาตินิยมแรง อะไรๆ ก็ต้องเป็นหนึ่ง เพราะฉะนั้นในเรื่องพระพุทธศาสนา เขาเป็นหนึ่งจริงหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่เขาถือว่าเป็นหนึ่ง อาตมภาพเคยไปเยี่ยมประเทศญี่ปุ่นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนั้นไปในฐานะเป็นผู้เยี่ยมเยียนสถาบันการศึกษาชั้นสูงทางพระพุทธศาสนา ก็มีพระญี่ปุ่น พระมหายาน เป็นผู้นำชมกิจการต่างๆ และนำชมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาต่างๆ ตอนหนึ่งเขาบอกว่า นอกจากประเทศของ ผมแล้ว ก็เห็นประเทศของท่านนั่นแหละที่เรียกว่าพระพุทธศาสนาเจริญ หมายความว่าฉันเป็นหนึ่งก่อน ต่อจากฉันแล้วก็ท่านพอไปได้ ญี่ปุ่นมีลักษณะเช่นนี้
ทีนี้ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ อาตมภาพลองทำรายชื่อมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา ก็รวมได้ ๑๖ แห่ง มีขนาดใหญ่สมเป็นมหาวิทยาลัยจริงๆ บ้าง และเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ น้อยๆ เป็นสักว่าชื่อมหาวิทยาลัยก็มี ลองอ่านชื่อมาดูกันว่ามี โกซาว่า, โตโย, ไตโช, ริชโช, ชุชิอิน, บุกเกียว, ริวโกกุ, สตรีแห่งเกียวโต, โอตานี, ฮานาโซโน, ไอชิฮะกุอิน, โดโฮ, สตรีโอตานี, สตรีโซไอ, โกยาซัน, นี่ ๑๖ แห่ง ที่รวมรายชื่อมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นนั้น เมื่อ ๑๖ ปีมาแล้ว อย่างท่านอาจารย์เสฐียร พันธรังษี ก็สำเร็จมาจากมหาวิทยาลัยโอตานีที่ว่า นี้เขียนให้เห็นถึงสภาพการศึกษาพระพุทธศาสนาของเขา
การที่เขาคุยว่าเขาเป็นหนึ่งนั้น ก็มีเค้ามูลอยู่ไม่ใช่คุยโดยไร้เหตุผล แล้วมาในสมัยปัจจุบันนี้ ตอนนี้ได้ยินข่าวว่าประเทศญี่ปุ่นมองเห็นว่า ตนเองนี้ได้มีความก้าวหน้าเจริญในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจนี้ก็อยู่ในฐานะเป็นผู้นำมาแล้ว ขนาดอเมริกาก็ยังร้องโอดครวญเรื่องการค้าเสียดุลกับญี่ปุ่น เช่นเรื่องเหล็กกล้าต้องเอาผู้เชี่ยวชาญของญี่ปุ่นไปให้คำแนะนำในการผลิตเหล็กกล้าที่สหรัฐอเมริกา ก็ในเมื่อแง่เศรษฐกิจเขาเป็นผู้นำพอแล้ว ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นก็เลยหันมาให้ความสนใจขยายอิทธิพลในทางวัฒนธรรม อันเป็นการแสดงอิทธิพลออกมาไกล
ตัวอย่างเรื่องหนึ่งพอเป็นเครื่องแสดงเช่นว่า เขาเชิญอาจารย์อเมริกาคนหนึ่ง ซึ่งมาศึกษาเรื่องจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ให้ไปแสดงนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังทางพระพุทธศาสนาในช่วงเวลา ๖๐๐ ปีในประเทศไทยที่ประเทศญี่ปุ่น อาจารย์อเมริกันนั้นซึ่งมาศึกษาค้นคว้าเรื่องจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอยู่ ๑๐ กว่าปี ได้รับคำเชิญแล้วก็ขอเวลาตระเตรียมตัวสองปี นี้ก็เป็นข้อสังเกตที่แปลกว่า เขาเชิญผู้แสดงนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย แต่เชิญคนอเมริกัน และคนที่เชิญก็เป็นญี่ปุ่นไปแสดงที่ประเทศญี่ปุ่น และตอนนี้ได้ทราบว่าญี่ปุ่นก็ไปให้ทุนมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาธิเบต ยังมีข่าวอื่นๆ อีก
แต่ข่าวเหล่านี้อาตมภาพไม่ค่อยติดตาม คือเป็นเรื่องได้ยินตรงๆ มาก็มาเล่าสู่กันฟัง แต่โดยสาระก็คือว่าญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่น่ามองดูในแง่ความเป็นผู้นำทางการศึกษาพุทธศาสนาเหมือนกัน และถ้ามีคนญี่ปุ่นมายอมเป็นลูกศิษย์ศึกษาอะไรๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ก็อย่านึกเลยว่าเขาจะยอมรับให้ไทยเป็นหนึ่ง เขายอมศึกษาเพื่อจะเอาไปเสริมความเป็นหนึ่งของเขาให้บริบูรณ์เท่านั้น
มองดูต่อไปมาทางลังกา ลังกานี้ก็ได้เป็นดินแดนสำคัญของพระพุทธศาสนา มีการศึกษาพระพุทธศาสนารุ่งเรืองและเพราะเหตุที่ได้เกี่ยวข้องกับยุโรปถึงกับได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษก็เลยได้รับอิทธิพล ได้รับระบบแบบแผนของอังกฤษมามาก การจัดการศึกษาก็มีทั้งแผนเก่าที่ติดมาจากประเพณีของลังกาเอง และที่ได้รับจากประเทศตะวันตก แต่เขามีการศึกษาพระพุทธศาสนาขั้นสูง ในมหาวิทยาลัยของรัฐเอง
มหาวิทยาลัยศรีลังกาก็มีการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา ได้รับปริญญาขั้นสูง และทางด้านวิทยาลัยของพระ เมื่อสมัยที่อาตมภาพไปเยี่ยม ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ก็มีวิทยาลัยวิทยาลังการและวิทโยทัย ซึ่งเป็นวิทยาลัยของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ต่อมา ได้ทราบว่าได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว มีการเปลี่ยนชื่อ ก็มีการศึกษากว้างขวางขึ้น การศึกษาพระพุทธศาสนาและบาลีเสื่อมทรามลงไปจนเป็นเหตุให้ปัจจุบันนี้ทางลังกาได้ตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่เมื่อ ๒ ปีมานี้ ชื่อว่ามหาวิทยาลัยบาลี (Pali University) อันนี้ก็แสดงแนวโน้มในการที่เขาพยายามที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองในการศึกษาภาษาบาลีและพระพุทธศาสนา
แต่เรื่องลังกา รายละเอียดเป็นอย่างไร อาตมภาพก็คงจะพูดไม่ได้มากเท่ากับท่านอาจารย์ที่เคยไปศึกษาที่ประเทศลังกามาแล้ว อันนี้เป็นแค่เพียงข่าวคราวมาเล่าสู่กันฟัง
มองไปในยุโรป ในยุโรปโดยเฉพาะที่เราพอจะติดต่อได้ง่าย เพราะภาษาพอรู้กันง่าย คือประเทศอังกฤษ นี้ก็ได้มีการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนามานานพอสมควร มีนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา อย่างที่เรารู้จักดีเช่น โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิดส์ ที่เป็นหัวหน้าทำพจนานุกรม บาลี-อังกฤษ และตำรับตำราคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาทั้งพระไตรปิฎกบาลีและพระไตรปิฎกแปลเป็นภาษาอังกฤษเขาก็พิมพ์ไปมากมายแล้ว จนถึงอรรถกถาฎีกา คัมภีร์รุ่นหลัง บางคัมภีร์ก็ปรากฏว่า ในประเทศไทยเราเองยังไม่พิมพ์ก็มี และแม้แต่ตัวตำรา อย่างหนังสือพจนานุกรมบาลี ประเทศไทยเราปัจจุบันนี้ก็ไม่มีฉบับที่จบครบถ้วนเลย เราทำขึ้นมาบ้าง ติดๆ ขัดๆ มีอุปสรรค บางทีล้มไปหรือทำได้แต่เพียงบางส่วน หรือทำเฉพาะบางคัมภีร์ เช่น อักขรานุกรมธรรมบท ศัพทานุกรมสมันตปาสาทิกา ที่เก่าแก่แล้วก็หายไปไม่มีใครรู้จักแล้วบัดนี้ แต่พจนานุกรมบาลีที่สมบูรณ์เราก็ยังไม่มี ต้องอาศัยฉบับของอังกฤษ ปัจจุบันนี้พจนานุกรมบาลีของท่านริส เดวิดส์ก็ยังเป็นที่อ้างอิงใช้กันอยู่ทั่วไปในหมู่นักวิชาการพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ทั้งที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก แต่เราก็ยังไม่มีฉบับของไทยที่จะเทียบเสมอได้ นี้ก็แสดงว่าถ้ามองที่จุดนี้อย่างน้อย อังกฤษก็มีความเป็นผู้นำทางพระพุทธศาสนาอยู่
มองต่อไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริกาขณะนี้ก็มีการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนามากขึ้น อันนี้เป็นการฟังเสียงจากอาจารย์ชาวอเมริกันเอง อาตมาถามดูว่าเป็นไงความสนใจวิชาพระพุทธศาสนาในช่วงระยะเวลานี้เพิ่มขึ้นหรือลดลง เขาก็บอกว่าเพิ่มขึ้นและดูสภาพการศึกษาทั่วไป ก็มีการศึกษามากขึ้นด้วย
การศึกษาวิชาพระพุทธศาสนาทางอเมริกานั้นหนักไปทางมหายาน เซนนี้ขึ้นชื่อมาก รุ่งเรืองได้รับความนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกาตลอดถึงยุโรปมานานพอสมควรจนกระทั่งมาในช่วงสัก ๑๐ ปีมานี้ พระพุทธศาสนาแบบธิเบตจึงได้ขึ้นมาแข่งรัศมี ตอนนี้แบบธิเบตชักจะล้ำหน้าไปบ้างเหมือนกัน ในระยะเวลาเดียวกันนี้พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกัน ก็เริ่มมีผู้รู้จักเพิ่มขึ้นมีการศึกษาเพิ่มขึ้น ทั้งสายวิชาการและสายปฏิบัติ สายวิชาการโดยมากก็เป็นอาจารย์ฝรั่งชาวอเมริกันนั่นเองมาศึกษาในประเทศพระพุทธศาสนาและนำเอาพระพุทธศาสนากลับไป ไม่ใช่ว่าพระของเราเป็นผู้นำไปเผยแพร่ แต่ฝรั่งเองเอาไปสอน ส่วนในสายของการปฏิบัติคล้ายกัน ก็มีพวกฝรั่งอเมริกัน เช่นพวกพีซคอร์พ (หน่วยสันติภาพ) เก่ามาเมืองไทยแล้วมานับถือพระพุทธศาสนาบวชเป็นพระได้ปฏิบัติถึง ๑๐ ปี กลับไปประเทศของตนแล้วก็ไปสึก แล้วไปสอนการเจริญสมาธิ การบำเพ็ญวิปัสสนา จนตั้งสำนักขึ้นมา พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ก็เริ่มเจริญงอกงามขึ้นมาเป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้น
มีเหตุการณ์หนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มความเป็นไปของพระพุทธศาสนา โดย เฉพาะในแง่การศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสัก ๒ เดือนมานี้ วิทยุแห่งประเทศไทยก็ออกข่าว ไม่ทราบว่าท่านได้ยินบ้างหรือเปล่า บอกว่าคณบดี Divinity School (คณะศาสนศาสตร์) ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจะทูลขออุปภัมภ์เกี่ยวกับการศึกษาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ในมหา วิทยาลัยฮาวาร์ด โดยเขามีเหตุผลว่า ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดนั้นได้มีการสอนพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและเถรวาท แต่มหายานนั้นเป็นที่ทราบกันทั่วไป อย่างที่อาตมภาพได้กล่าวมาเมื่อกี้ว่า ทางยุโรปและอเมริกาได้รู้จักและสนใจกันมากกว่า เพราะฉะนั้นการสอนก็เป็นไปด้วยดีโดยง่าย เพราะมีผู้เรียนและมีทุน ปีนี้การศึกษาแบบเถรวาทยังไม่ค่อยแพร่หลาย ทางมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด พยายามรักษาการสอนพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทให้คงอยู่และให้มีเป็นประจำ
ความจริงที่อาตมภาพไปสอนมากับที่โปรเฟสเซอร์ซึ่งเป็นคณบดีคนนี้มาก็ที่เดียวกันนั่นแหละ ที่นั้นก็มีอาจารย์สอนภาษาบาลีเป็นชาวญี่ปุ่น ชื่อโปรเฟสเซอร์มาซาโตชิ นาลาโตมิ เป็นอาจารย์ญี่ปุ่น แต่สอนภาษาบาลี โดยมากเขาจะสอนวิชาพระพุทธศาสนาไปทางเซนทาง ธิเบต มีการสอนพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีอยู่ เขาก็อยากจะให้การสอนพระพุทธศาสนาเถรวาทคงอยู่ยั่งยืนในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ก็เลยอยากจะมีทุนถาวรไว้ และหวังว่าจะได้จากประเทศไทย เพราะเห็นว่าเป็นหลักแหล่งสำคัญเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา ถึงกับเข้าเฝ้าในหลวง เหตุผลที่เขาทูลก็คือว่า พระราชบิดาก็สำเร็จจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด พระองค์เอง ในหลวงก็ประสูติที่โรงพยาบาล เมาท์ออร์เบิร์น เมืองเคมบริดจ์ติดกับเมืองบอสตันเคียงเขตของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดนั่นแหละ ที่โรงพยาบาลเขาก็ยังเขียนป้ายบอกไว้ว่าเป็นที่ในหลวงของเราประสูติ และพระองค์ก็จะมีพระชนมายุครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษาใน ๓ ปีข้างหน้านี้ ในโอกาสนี้เพื่อเป็นเครื่องระลึกแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างในหลวงกับมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมืองเคมบริดจ์ และเมืองบอสตันของประเทศอเมริกา ก็ขอทูลเชิญทรงเป็นผู้อุปภัมภ์ทุนในการที่จะสอนพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และเขาทำเป็นโครงการคือจะจัดตั้งเป็นทุนถาวรแบบมูลนิธิ ๒ แบบ แบบที่หนึ่งเป็นทุนสำหรับให้มี Professor เป็นอาจารย์ประจำวิชาพระพุทธศาสนา อันนี้ใช้เงินมากหน่อย คิดเป็นเงินไทยประมาณ ๔๐ ล้านบาท แบบที่สอง ให้เป็นทุนสำหรับเชิญ Visiting Scholor ของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เป็นอาจารย์รับเชิญไปเป็นระยะสั้นๆ นี่ใช้ทุนน้อยหน่อยราว ๒๐ ล้านบาทก็ตั้งเป็นมูลนิธิเหมือนกัน
ทีนี้ก็ย้อนกลับไปกล่าวถึงตอนที่อาตมภาพไปอยู่ที่นั้น คือ ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ซึ่งมีคณะศาสนศาสตร์ (Divinity School) ในคณะศาสนศาสตร์นี้ก็มีเซนเตอร์หนึ่งซึ่งเรียกว่า Center for the Study of World Religions แปลว่าศูนย์ศึกษาศาสนาแห่งโลก หรือศูนย์ศึกษาศาสนาสากล ศูนย์นี้ตั้งมาเป็นเวลา ๒๖ ปีแล้ว ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๑ ก็ได้เชิญนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาจากประเทศต่างๆ ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน บางท่านก็ไปสอนระยะสั้นๆ ด้วย ในระยะเวลาที่อาตมาไปอยู่ที่นั้น ซึ่งร่วมในการสอนบ้าง ในการประชุมบ้าง ในการพบปะกันนี้ เราได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาเรียกว่า Buddhist Study Group เป็นกลุ่มศึกษาพระพุทธศาสนา มีการพบปะ ประชุมกันทุกวันพฤหัสบดี ในการคุยกันก็มีการพูดกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยเฉพาะในแง่มหายานกับเถรวาท
คราวหนึ่งมีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งพระหรือนักศึกษาของเราไปอยู่ที่นั้น นี้ก็เป็นเรื่องที่เขาฝากมาเหมือนกัน แต่อาตมภาพค่อนข้างจะลืม พอกลับมาก็เพลินกับเรื่องงานเกี่ยวกับหนังสือที่ทำค้างอยู่ตลอดเวลา และเมื่อนึกขึ้นมาก็ยังมีอุปสรรคเกี่ยวกับเรื่องความเป็นอยู่ของพระเป็นต้น ที่จะต้องพิจารณา ซึ่งยังไม่ได้คิดแก้ปัญหาให้จริงจัง นี่ก็ต้องเอามาเล่าสู่กันฟังด้วย
เรื่องที่เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดนี้ ในแง่หนึ่งก็แสดงถึงเจตนาดีของเขาที่ต้องการส่งเสริมวิชาการ แต่ถ้าเรามองดูลักษณะนิสัยของคนอเมริกันแล้ว อาจจะแสดงถึงแนวโน้มบางอย่าง เรารู้กันว่า อเมริกันนี้มีลักษณะที่ต้องการ academic excellence คือ ความเป็นเลิศทางวิชาการ เขาต้องการมาก ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของสังคมที่มีการแข่งขันมาก เป็นสังคมแบบมี competition สูง มหาวิทยาลัยชั้นนำก็แข่งกันว่าใครจะแน่กว่ากัน ในเรื่องพระพุทธศาสนาที่คนกำลังสนใจ ใครจะเด่นกว่า ใครจะดังกว่า อะไรทำนองนี้ ฮาวาร์ดอาจจะต้องการชิงฐานะอันนี้ เพราะแนวโน้มอาจจะเป็นไปได้ว่า ต่อไปนี้พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจะเจริญก้าวหน้ามาก ฮาวาร์ดมองการณ์ไกล ก็รีบเตรียมก่อนอะไรทำนองนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา
ที่ไปอยู่ที่นั้นได้เห็นว่า ไม่เฉพาะในแง่ของการศึกษาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทเท่านั้น แม้ในแง่ของการปฏิบัติ อเมริกาก็ไปได้ไกล ห่างจากที่พักโดยทางขับรถไปประมาณ ๒ ชั่วโมง มีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ชื่อเมืองบาร์เลย์ เป็นเมืองค่อนข้างชนบท ก็มีสำนักวิปัสสนาใหญ่แห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ประมาณ ๒๐๐ กว่าไร่ สำนักวิปัสสนาแห่งนี้ นายโจเซฟ โกลด์สทีน กับคนอื่นๆ มี ๓ คน ที่เป็นตัวหลัก แจค คอร์นฟิลด์
โจเซฟ โกลด์สทีน ก็ดี เขาเคยเป็นพีชคอร์พเก่ามาก่อน มาเมืองไทยเมื่อนานมาแล้ว ประมาณ ๑๕-๒๐ ปี ก็ได้มานับถือพระพุทธศาสนาและบวชได้ประมาณ ๑๐ กว่าพรรษา จนกระทั่งมีความสามารถสอนวิปัสสนาได้ แกก็กลับไปประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับไปประเทศสหรัฐอเมริกา คงจะสึกไปก่อน และก็ไปสอนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนแรกแกก็สอนทั่วๆ ไป สอนที่โน่น สอนที่นี่ ไปบรรยาย เคยไปพบที่ Naropa Institute ซึ่งเป็นสถาบันพระพุทธศาสนาแบบธิเบต ที่เป็นศูนย์กลางใหญ่ เมื่อปี ๒๕๑๙ ตอนนั้นแกไปสอนช่วยอยู่ที่วิทยาลัยแห่งนั้น เพราะที่นั่นก็สอนพระพุทธศาสนา ให้ปริญญาเหมือนกัน ตอนล่าสุดนี้พบเมื่อปี ๒๕๒๔ แกไปตั้งสำนักวิปัสสนาใหญ่แห่งนี้แล้ว ที่เมืองบาร์เลย์ ซึ่งมีเนื้อที่ ๒๐๐ กว่าไร่ คือ ๘๕ เอเคอร์ เราไปเยี่ยม ขณะนั้นมีคนกำลังปฏิบัติรุ่นนั้น ๑๕๐ คน เรามองดูมีแต่คนหนุ่มสาวทั้งนั้นเลย ไม่มีคนแก่เลย ก็แปลกใจว่า เอ ! เมืองฝรั่งนี้เขาสนใจพระพุทธศาสนากันมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะในแง่วิชาการ หรือในแง่ของการปฏิบัติ มันไปกันแล้วถึงขนาดนี้
มองในแง่วิชาการ ถ้าเราประมาท ก็อาจเป็นไปได้ว่า ต่อไปเราอาจจะต้องเชิญอาจารย์พระพุทธศาสนาจากประเทศอเมริกามาสอนที่ประเทศไทย ซึ่งไม่แน่ มหาวิทยาลัยทางโลกอาจจะเริ่มก่อน เพราะว่าอาจารย์จากมหาวิทยาลัยทางโลกของไทยในปัจจุบันนี้ก็ไปเรียนพระพุทธศาสนาได้ปริญญาเอกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมาแล้วก็ อาจต้องเชิญอาจารย์อเมริกันมาเป็น Visiting Professor ก็ได้
ในแง่ปฏิบัติก็เหมือนกัน ในเมื่อเขาสอนเขาปฏิบัติกันจริงจังต่อไปเขาก็มีอาจารย์ชำนาญสอนในทางวิปัสสนากรรมฐานมากขึ้น ถ้าหากเราประมาทในการปฏิบัติหรือมัวทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ ต่อไปเราก็อาจต้องเชิญอาจารย์สอนปฏิบัติกรรมฐานมาจากประเทศอเมริกาก็ได้ มันก็ไม่แน่เหมือนกัน เคยมีคนกล่าวว่า ต่อไปพระพุทธศาสนาอาจจะไปเจริญในประเทศยุโรป อเมริกา ซึ่งในทางตรงกันข้าม คริสต์ศาสนาก็จะมาเจริญในเอเชีย อันนี้มองๆ ไปแล้ว มันชักจะมีข้อมูล มีเค้าที่จะเป็นไปได้อยู่
ตัวอย่างเรื่องการศึกษาทางวิชาการ ตอนนี้อาจารย์ฝรั่งหลายคนเขาแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาของไทยกันอยู่บ้าง เสร็จแล้วบ้าง เช่น คัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง ก็คงจะเห็นแล้วว่า ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ดร.แฟรงค์ เรโนลด์ส์ แกแปลจบพิมพ์เป็นเล่มแล้ว และก็ส่งกลับเข้ามาขายที่เมืองไทยด้วย ทีนี้ โปรเฟสเซอร์อีกคนหนึ่งก็กำลังแปลคัมภีร์จามเทวีวงศ์ แกแปลมาหลายปีแล้ว ปีหน้าแกจะเร่งอาจจะจบก็ได้ คัมภีร์ต่างๆ อย่างที่ Cornell เขาก็แปล ตำนานเมืองเหนือ ตำนานพระพุทธศาสนาทางลำพูน อะไรต่ออะไรเขาก็แปลมาแล้ว มีคัมภีร์เรื่องเก่าๆ หลายเล่ม ตอนนี้พวกเราก็ไปเรียนประวัติศาสตร์ไทยขั้นปริญญาเอกกันที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา ฉะนั้นเรื่องนี้มีทางเป็นไปได้อย่าประมาทเลย
No Comments
Comments are closed.