ที่แท้นั้น วัดคือสถานศึกษา จึงเป็นแหล่งวิทยามาแต่นานไกล

23 มกราคม 2551
เป็นตอนที่ 3 จาก 6 ตอนของ

ที่แท้นั้น วัดคือสถานศึกษา จึงเป็นแหล่งวิทยามาแต่นาน

โบราณก็บอกอยู่แล้ว ว่าบวชเรียน คำนี้มันก็ชัดนะ ความหมายมันอยู่ในตัวเสร็จแล้ว บวชเรียน บวชก็คือต้องเรียน บวชเพื่อเรียน การที่ได้บวช ก็คือการที่จะได้เรียน

ในสมัยโบราณ คนยังไม่มีการศึกษาแบบตะวันตก ก็ยิ่งชัดใหญ่ การที่จะบวช ก็คือการที่จะเรียน เด็กไปอยู่วัดตั้งแต่ ๗ ขวบ หรือบางที บางคนไป ไม่อยู่ คือ เด็กสมัยก่อนนี้ ๗ ขวบ ก็ไปอยู่วัด หรือไม่อย่างนั้น ก็ไปวัดประจำวัน เช่น ไปส่งปิ่นโต หลวงพี่ หลวงน้า หลวงอา บวชเป็นพระ เด็กก็เป็นลูกศิษย์ เด็กก็ไปส่งปิ่นโต แล้วก็ไปกลับ แล้วก็ได้เรียนหนังสือกัน วัดก็เป็นแหล่งวิชาการ สอนทุกอย่าง จนกระทั่งแม้แต่วิชาฟันดาบ ใช่ไหม?

อย่างสำนักอะไร ที่มีชื่อเสียง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีชื่อดังติดมาจากโบราณ วัดอะไรนะ? เก่งนัก ดาบที่นั่นมีชื่อเสียงมาก อ้อ สำนัก พุทไธศวรรย์ นี่ก็คือ ครั้งโบราณนั้น วัดเป็นแหล่งวิชา เป็นศูนย์กลางการศึกษา เพราะฉะนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เมื่อทรงรับระบบการศึกษาตะวันตกมา จึงให้วัดเป็นศูนย์กลางจัดการศึกษา ในต่างจังหวัด ทั่วประเทศ แล้วก็จัดการให้วัดเป็นที่เล่าเรียนศึกษา

ในการศึกษานั้น แม้แต่สมัยใหม่ ก็เอาวัดเป็นศูนย์กลาง แล้วก็เอาพระเป็นผู้บัญชาการ ก็คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่ทรงตรวจการดูแลการศึกษาของประชาชนด้วย ทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะพระ เพราะว่าวัดเป็นศูนย์กลาง แล้วพระก็ต้องเป็นอันดับหนึ่ง ในการที่จะมาสอน เพราะในชนบทนี่ พระเป็นผู้มีการศึกษามากกว่าใครหมด เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มการศึกษา ก็ต้องเอาพระก่อน

พระก็เท่ากับว่าสอน ทั้งที่เขาเรียกสมัยก่อนว่าวิชาทางโลก และวิชาทางธรรม สอนทั้งวิชาการทางพระศาสนา แล้วก็เรื่องของวิชาภาษาไทย เลขคณิต อะไรต่างๆ ก็เป็นมาอย่างนี้

แต่ว่าไป สังคมไทยเรานี่ เรื่องการศึกษา ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังสักเท่าไร มีคติในเรื่องชอบความสนุกสนาน ไปๆ มาๆ พอถึงอีกยุคหนึ่ง ก็มีปัญหาอื่นแทรกเข้ามา

พอเปลี่ยนรัชกาล สิ้นรัชกาลที่ ๕ แล้ว ก็เริ่มแยกพระออกจากการศึกษา จะเห็นว่า แม้แต่หน่วยราชการ ก็เปลี่ยนไป

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ทรงตั้งกระทรวง ทบวง กรม แบบสมัยปัจจุบัน เรื่องนี้เริ่มในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในสมัยนั้น รัฐมนตรี เรียกว่าเสนาบดี เช่นว่า เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย อย่างสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นฝ่ายอุปถัมภ์ คือ ในฝ่ายพระ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงดำเนินการศึกษา แล้วทางกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย ก็เป็นฝ่ายอุดหนุน ร่วมกันทั้ง ๒ กระทรวง

ทีนี้ กระทรวงที่เกี่ยวกับการศึกษาเวลานั้น เรียกว่ากระทรวงธรรมการ รัชกาลที่ ๕ ทรงตั้งกระทรวงธรรมการ และในกระทรวงธรรมการ ก็มีกรมหนึ่งที่ชื่อว่ากรมธรรมการซ้อนอีกที

พอสิ้นรัชกาลที่ ๕ แล้ว ก็แยกการศึกษากับพระออกจากกัน เปลี่ยนชื่อกระทรวงธรรมการ เป็นกระทรวงศึกษาธิการ แล้วก็ย้ายกรมธรรมการไปไว้ในวัง ไปขึ้นต่อวัง ก็เป็นอันว่า เรื่องพระก็อยู่กับกรมธรรมการ ที่เป็นหน่วยย่อยนั้นแหละ ส่วนกระทรวงธรรมการก็หมดไป เปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< “บวชเรียน” ทำท่าว่าเหลือแต่บวช แถมแชเชือนฟุ้งซ่านกันไปให้วัดเลิกเป็นที่เล่าเรียน ชาวบ้านสูญเสียโอกาสในการศึกษา >>

No Comments

Comments are closed.