- เปิดประเด็น
- งานพระพุทธศาสนาทั้งหมด เป็นองค์รวมเพื่อจุดหมายหนึ่งเดียว – จัดการปกครองขึ้นมา เพื่อให้การศึกษาได้ผล
- งานที่ต้องเพ่งและเร่ง คือฟื้นฟูชนบทที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย
- ถ้าบอกว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ต้องเลิกเป็นทาสของความไม่รู้
- รู้ตรงปัญหา พัฒนาตรงจุด – จุดเน้นแห่งภารกิจ ที่จะต้องปฏิบัติ
- ของดีที่มีสืบมา ทำท่าจะกลายเป็นของเสีย ต้องรีบจัดการใช้ให้เป็นประโยชน์
- ส่งเสริมและประสานบทบาทของพุทธบริษัททุกฝ่าย พระ-โยม หญิง-ชาย ส่วนกลาง-ท้องถิ่น ราชการ-ประชาชน
- ทำพุทธคติแห่งโลกานุกัมปตาให้เป็นจริง โดยให้พระทำงานตามบทบาทที่แท้
- พูดและทำเชิงสร้างสรรค์ รู้จักสื่อสารและสลายปัญหา
- ศิลปวัฒนธรรมสืบจากพระศาสนา แล้วมาสื่อคุณค่าของพระศาสนา
- จะพบพระพุทธศาสนา เมื่อศรัทธามาบรรจบกับปัญญา และปัญหาที่หมักหมมมาก็จะหายไป
- ความหมายที่แท้ของนารายณ์อวตาร ก็ยังไม่รู้ จะได้บทเรียนอะไรที่จะมารักษาพระพุทธศาสนา
- คนกับระบบ คนที่เข้าถึงระบบ คนประสานกันภายในระบบ
- เรื่องพุทธมณฑลจะจัดการอย่างไร ต้องใช้ปัญญาว่าให้ชัด แต่ไม่ใช่เป็นที่มาอวดความใจกว้างบนฐานแห่งโมหะ
- เอากำลังปัญญา อาศัยความสามัคคี มาบริหารกุศลเจตนา สู่ความสัมฤทธิ์แห่งประโยชน์สุขเพื่อปวงประชา
พูดและทำเชิงสร้างสรรค์
รู้จักสื่อสารและสลายปัญหา
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมเองปฏิบัติอยู่ เมื่อเช้าวิ่งไป ๑๐ กิโลเมตร พอวิ่งเสร็จก็เข้าสมาธิครึ่งชั่วโมง หรือ ๔๐ นาทีก็พยายามทำ เห็นจากการปฏิบัติชัดเจนว่า ทำมากทุกข์น้อย ทำน้อยทุกข์มาก ไปปฏิบัติงานคราวนี้ถามว่ากลัวหรือไม่ ตอบว่ากลัว แต่มีความเชื่อมั่นอยู่ ๒ เรื่อง
หนึ่ง เชื่อมั่นในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สิ่งที่พระองค์ได้สั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความมีสติคือไม่ประมาท แล้วก็อยู่กับปัจจุบันถึงจะเกิดสัมปชัญญะ แล้วจะแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นกระผมจะต้องไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคตอะไรทั้งสิ้น จดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะทำ แล้วทำให้ดีที่สุด แล้วก็นึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อุทิศถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธศาสนา
กระผมมั่นใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะต้องมีคนเห็น เพราะถ้าไม่มีคนเห็น กระผมเองก็คงไม่ได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ ที่จะไปทำงานสำคัญของบ้านเมืองขนาดนี้ได้แน่นอน ก็แสดงว่าที่ทำมาทั้งหมดด้วยจิตที่ยึดมั่นในประโยชน์ของส่วนรวม ต้องมีคนเห็น ฉะนั้นจึงเกิดเป็นความรู้สึกฮึกเหิมใจ
แต่อย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้สั่งสอนอยู่เสมอว่า จะต้องกระทำการด้วยปัญญา แต่ตรงนี้ก็เป็นโอกาสที่เรียกว่าเข้าไปสู่กระบวนการที่หลายๆ ฝ่าย ได้บอกกับกระผมว่า นี่จะต้องเจอปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้ ที่สื่อมวลชนลงเต็มที่แล้ว แต่พบว่าในทางปฏิบัติจริงๆ พุทธบริษัทมหาศาลที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเมตตาส่งข้อมูลนั้นมา ส่งข้อมูลนี้มา แล้วก็ปวารณาตนที่จะทำงาน
กระผมมีอยู่เรื่องหนึ่ง ในการไปคราวนี้ อย่างที่ได้เมตตาสั่งสอนว่า หางานให้พระท่านทำในชนบท ซึ่งกระผมเห็นด้วย
ทีนี้ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระผมขาดผู้ปฏิบัติงาน แล้วก็มีลักษณะในเชิงราชการ ถ้ากระผมจะกราบนมัสการนิมนต์พระคุณเจ้าที่มีศักยภาพ ที่มีความพร้อม ไปช่วยทำงานที่สำนักงานพระพุทธศาสนาบ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ไปช่วยกันทำงานที่ตรงนั้น จะเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียหรือไม่ จะพิจารณาเป็นประการใดครับ
พระธรรมปิฎก: ก็ต้องระวัง ประชาชนเขามองดู บางส่วนก็เพ่งอยู่ เพราะฉะนั้นจุดอะไรที่ล่อแหลมหรือที่เรียกว่า sensitive จะต้องระวังหน่อย เพราะว่าแม้ทำถูก แต่ภาพที่ออกไป ถ้ามีคนไปพูดสะกิดในทางที่ไม่เข้าใจนิดเดียว ก็ไปเลย
เพราะฉะนั้นบางอย่างต้องรอไว้ให้เกิดความเข้าใจ ให้เห็นแนวทางกันชัดเจนก่อน พอชัดเจนแล้วหลายอย่างเข้ามาได้ ทำได้
ทีนี้จุดแรกที่สำคัญ เราต้องให้ชัดว่าพระไปที่นั่นในฐานะอะไร
เพราะว่าชาวบ้าน โดยเฉพาะในชนบท เขามีความรู้สึกไวในเรื่องนี้ แม้เขาไม่ได้เพ่งไม่ได้จ้อง แต่เป็นเรื่องความรู้สึกทางด้านวัฒน-ธรรม ฉะนั้นบางอย่างอาจจะต้องรอให้ความเข้าใจชัดเจน เมื่อใดเขารู้ความมุ่งหมาย เขามั่นใจมีศรัทธาขึ้นมา เช่นมีศรัทธาต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตอนนี้ทำอะไรก็เชื่อหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็มองไปในแง่ดีหมด
ด้านหนึ่งที่ต้องให้เขาชัด คือในแง่ความสัมพันธ์ และสถานะของพระในการไปนั้น แม้แต่คำพูดเช่น พระไปช่วยงาน ชาวบ้านก็เริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ไปช่วยอะไร จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเคลื่อนไหวก้าวกันไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท แล้วก็อย่างมั่นคง
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ที่กระผมต้องขอกราบนมัสการถามเรื่องนี้ก็เพราะอย่างนี้ครับ ขณะนี้เราจะพบว่าในช่วงค่ำคืนหรือตลอดทั้งวัน มีรายการธรรมะมากมาย ซึ่งญาติโยมก็มีความเหงามากในจิตใจ แล้วก็วังเวง ก็เลยมาช่วยทำบุญเป็นค่ารายการสถานี แล้วให้พระท่านมาพูดให้ญาติโยมฟังนะครับ เป็นสัญญาณส่อออกมาว่า สังคมเริ่มเห็นแล้วว่า ความทุกข์มีเยอะเหลือเกิน
ตรงจุดนี้กระผมก็ได้ยินทางพระอาจารย์ พระภิกษุทั้งหลาย ก็ด่า ใช้คำพูดว่าต้องด่า พวกญาติโยมทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า ทำอะไรกันอยู่ ทำไมเงียบ ทำไมปกปิด
กระผมพิจารณาง่ายๆ เบื้องต้นว่า ไม่เห็นมีอะไรที่จะดีไปกว่านิมนต์พระคุณเจ้าไปนั่งดูเลยว่านี่เขาทำกันอย่างนี้ แล้วถ้าพระคุณเจ้ามีอะไรที่จะแนะนำได้ก็ยิ่งดี แล้วพระคุณเจ้ามีอะไร พระคุณเจ้าก็จะได้เอาสิ่งเหล่านี้ไปพูด นี่ครับที่เป็นความคิดที่ริเริ่มออกมา แต่ว่าก็ไม่แน่ใจ จึงขอกราบนมัสการถาม
พระธรรมปิฎก: อันนี้อาจจะมาในรูปของการให้ข่าวด้วย ต้องใช้คำพูดให้ถูกต้อง ให้เห็นว่านี่เรานิมนต์พระมาให้ช่วยดูแลในเรื่องพระ ถ้าอย่างนี้ก็เข้าเรื่องแล้ว
หมายความว่า เดี๋ยวนี้มีงานที่พระทำอยู่แล้ว เช่น ทางสื่อมวลชน ทางวิทยุกระจายเสียง และในเรื่องเหล่านี้โยมก็ได้ยินกัน ในสังคมก็พูดกันมาก ว่ามีปัญหาบ้าง ไม่มีปัญหาบ้าง ทำดีก็มี ทำไม่ดีก็มี ทีนี้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเอง จะทำอะไรก็ลำบาก เพราะเป็นเรื่องของพระ ต้องเคารพท่าน
เราต้องพูดในทางดีว่าเคารพท่าน เราก็เลยต้องขออาศัยพระคุณเจ้าให้ท่านมาช่วยกันดูแลในเรื่องนี้ด้วย อะไรแบบนี้ ถวายสถานที่ให้ท่าน คือ ไม่ใช่ไปบอกว่าเราเอาท่านมาช่วยงานเรา แต่เราไปพึ่งท่าน แล้วเพื่อความสะดวก ก็เลยถวายสถานที่ให้ท่านมาใช้ ท่านจะได้ดูแลเรื่องงานที่เกี่ยวกับพระ อะไรแบบนี้ อย่างนี้ก็ดูสบายใจ
ญาติโยมได้ฟังว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดูแลเอาใจใส่พระสงฆ์มาก ช่วยหนุนพระสงฆ์ให้ท่านทำงานได้ดี ก็กลับมองภาพบวกไปเลย ดังนั้นจึงอยู่ที่ลักษณะวิธีดำเนินการ และแม้แต่ถ้อยคำในการให้ข่าวสาร เพราะฉะนั้นฝ่ายให้ข่าวสารคงสำคัญมาก ต้องเน้นการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ แล้วก็สื่อสารและให้ข่าวสารต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจที่ดี
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมขอน้อมรับเรื่องนี้ไปดำเนินการ แล้วผลจะเป็นประการใด ก็จะมากราบนมัสการในโอกาสต่อไป
มีอีกเรื่องหนึ่งครับ เขาบอกว่าตำรวจมาแล้ว จะมาจับพระสึกหรืออย่างไร
พระธรรมปิฎก: ท่านก็ต้องพูดเล่นๆ ซิ ใช่ ตำรวจมาแล้วก็ต้องจับพระไม่ดีสึก แต่ตำรวจคนนี้ไม่เหมือนกับที่คุณคิดหรอก ไม่ใช่เป็นตำรวจประเภทจับโจร แต่เป็นตำรวจที่ทำงานมาเยอะทางด้านการศึกษา ผ่านมาแต่ในเรื่องการสร้างคน สร้างตำรวจที่จะให้ดี จึงไม่ใช่มุ่งมาปราบ แต่มาปลุกมาช่วยกันปั้น ช่วยหนุนพระที่ท่านทำดีให้ท่านมีกำลังต่างๆ เราก็ดึงเข้าทางดีไปเลย
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กราบนมัสการว่า เรื่องนี้กระผมได้ตอบไปอย่างที่เมตตาแนะนำบางส่วนแล้ว แต่เรื่องนี้จริงๆ แล้วถ้าจะให้มีผลออกมาจริงๆ ต้องเป็นเรื่องที่พระคุณเจ้าช่วยกรุณาเมตตากระผมด้วย ถ้าหากพระคุณเจ้าพูดคำเดียว มันมีน้ำหนักมากกว่ากระผมพูดตั้งล้านคำ
แต่กระผมก็ได้แสดงไป บอกว่ากระผมและเพื่อนข้าราชการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาสนองงานเป็นผู้รับใช้คณะสงฆ์ ไม่ใช่ว่ามาดำเนินการในลักษณะที่ไปชี้ไปทำอะไรได้ทั้งสิ้น ไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นก็บาปตายเลย
เราต้องการมาหาบุญ เราไม่ต้องการมาหาบาป เพราะฉะนั้นการดำเนินการต่างๆ ในเรื่องของสิ่งที่ไม่ถูกต้องในวงการของคณะสงฆ์ซึ่งมีอยู่แน่นอน ทั้งนี้เพราะเหตุผลหลายประการ ก็เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ต้องจัดการกันเอง
กระผมในฐานะเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้แต่เพียงเสริม ส่งเสริม แล้วก็ช่วยเหลือรับใช้ อย่างเช่นเสริมเรื่องประสิทธิภาพในเรื่องของพระวินยาธิการ และด้านพระวินัยธรให้ไปดำเนินการ เมื่อเสร็จจากพระคุณเจ้าแล้ว ผ่านคณะสงฆ์แล้ว อันนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายกระผมเป็นฝ่ายบ้านเมือง จะต้องไปดำเนินการต่อไป
การดำเนินการทางด้านกฎหมาย แม้จะมีอำนาจ อย่างเช่นตำรวจ ก็ควรจะต้องใช้ความละมุนละม่อม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน กระผมได้ตอบไปอย่างนี้
ไม่ทราบว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์เห็นเป็นประการใด และมีอะไรจะแนะนำ กระผมขอน้อมรับ
พระธรรมปิฎก: ที่สำคัญก็มีเรื่องการแก้ปัญหาพระสงฆ์ด้วย อย่างที่พูดเมื่อสักครู่นี้ เรื่องพฤติกรรมนอกลู่นอกทาง อันนี้เราก็คงต้องเน้นเหมือนกัน เพราะว่าปัญหามันเยอะ แต่การแก้ปัญหาโดยวิธีไปรบกับพวกทำผิดทำร้ายนี่มันไม่รู้จักจบ การแก้ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ การแก้โดยไม่ต้องแก้ ซึ่งต้องทำไปด้วยกัน
การแก้ด้วยการแก้ ก็คือการแก้โดยการคุมการกำจัดอะไรแบบนี้ ก็ต้องทำอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้
การแก้ปัญหาที่แท้ก็คือ เปลี่ยนเป็นการสร้างสรรค์ เมื่อเอาการสร้างสรรค์เข้ามาแทน เหมือนอย่างที่ว่า ถ้ามีอะไรต้องทำที่เป็นการสร้างสรรค์ดีๆ แล้วเขาเกิดมีแรงใจชอบ อยากจะทำ มีศรัทธามีฉันทะ พอเขาหันมาทำเรื่องที่ดี ก็เลยไม่มีเวลาที่จะไปทำเรื่องไม่ดี ก็เลยลืมทำเรื่องไม่ดีไปเอง
จึงเคยพูดบ่อยๆ ว่า เด็กที่ไปทำอะไรต่ออะไรที่ไม่ดี บางทีก็เป็นเพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะทำที่เป็นการสร้างสรรค์ ถ้าเขามีอะไรต้องทำ มีสิ่งที่เขานึกจะทำอยู่เรื่อยนี่ เขาก็เลยลืมเรื่องร้าย เขาก็เลยไม่เอาใจใส่เรื่องเหลวไหล
นอกจากนั้นก็คือใจ พอมีงานสร้างสรรค์ที่จะต้องมาร่วมกันทำ ใจก็จะมาร่วมกันในการที่จะทำ ก็เลยกลายเป็นว่าเลิกขัดแย้ง เลิกทะเลาะกัน แต่ถ้าไม่มีอะไรจะทำ ที่เป็นการสร้างสรรค์ เขาก็ได้แต่มองกันไปมองกันมา แล้วก็ขัดหูขัดตาเกิดเรื่อง แต่ถ้ามีเรื่องจะทำ เขาจะเรียกร้องความร่วมมือจากกัน แล้วจะแก้ปัญหาไปเลย
ทีนี้เด็กปัจจุบันนี้ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรจะทำ มีแต่เรื่องเสพ เรื่องบริโภค ก็คิดแต่ว่าจะไปกินอะไร จะไปดูอะไร จะไปหาความสนุกสนานที่ไหน เข้ากระบวนการแย่งกันสุข แย่งกันเสพ ก็มองกันเป็นคู่แข่ง หรือจะหาทางกีดกั้นกันออกไป เดี๋ยวก็ขัดใจกัน เพ่งจ้องว่าใครมันอย่างไร ไอ้พวกโน้นมันไม่ถูกกับเรา จะต้องไปจัดการมัน ไปเพ่งจ้องคนเพราะไม่มีงานสร้างสรรค์ที่จะทำ ฉะนั้น เรื่องการแก้ปัญหาพระไม่ดี ก็ต้องเน้นเรื่องในทางสร้างสรรค์ที่ว่าเมื่อสักครู่นี้ คือการที่จะให้ทำอะไร
No Comments
Comments are closed.