การศึกษาเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งของชาติ และของพระศาสนา

1 กรกฎาคม 2532
เป็นตอนที่ 2 จาก 7 ตอนของ

การศึกษาเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งของชาติ และของพระศาสนา

ในการนี้ เราก็มาให้ความสำคัญแก่การศึกษา ซึ่งมองในแง่ของพวกเราเอง ก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามีความสำคัญ แต่ถ้ามองไปถึงสถานการณ์ของพระศาสนาและสังคมปัจจุบัน จะเห็นว่า เรื่องการศึกษานี้ ยิ่งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอีก

อาตมภาพนี้ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้สึกมาเป็นเวลานานแล้วว่า การพระศาสนาของเรานี้ อยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย มีความเสื่อมโทรม มีความอ่อนแอ มีความบกพร่อง ย่อหย่อนหลายอย่าง และในความบกพร่องย่อหย่อนอ่อนแอนั้น ปัจจัยสำคัญก็คือ ความเสื่อมโทรมในทางการศึกษา

ปัจจุบันนี้ การบวชก็ยังมีตามประเพณีสืบต่อมา การบวชนั้นไม่ได้ลดน้อยลง พระเณรก็มีจำนวนมากขึ้น ปัจจุบันนี้ มีสถิติเข้าไปถึง ๔๐๐,๐๐๐ แล้ว แต่ว่าตัวเลขนี้ก็ยังไม่ค่อยแน่นอน อาตมภาพดูสถิติเมื่อสัก ๑๐ ปี มาแล้ว ก็ ๓๐๐,๐๐๐ กว่าแล้ว และต่อมาๆ ได้เห็นตัวเลขในรายงานการพระศาสนาเพิ่มขึ้น บางปีมีถึง ๕๐๐,๐๐๐ กว่า แต่บางปี ลดมาสัก ๔๐๐,๐๐๐ แต่ตอนหลังนี้ ไม่ค่อยแน่ใจกับรายงานของกรมการศาสนา ว่าจะเป็นรายงานที่ถูกต้องแท้จริงหรือไม่ เพราะว่าทำไมตัวเลขมันขึ้นๆ ลงๆ ปีหนึ่งเป็นแสน

แต่ดูแล้ว รวมความก็คิดว่า ปัจจุบันนี้มีพระเณรไม่ต่ำกว่า ๔๐๐,๐๐๐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มาก แสดงว่าการบวชยังสืบต่อมาตามปกติ แต่พร้อมกับการบวชนั้น สิ่งหนึ่งที่เราหวัง ก็คือการเรียนหรือการศึกษา เพราะคำว่าบวชของเรานี้ มาคู่กับการเรียน จนกระทั่งเราเรียกว่าการ “บวชเรียน”

แต่สภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ น่าเป็นห่วง นี่ก็คือว่า การบวชยังคงมีอยู่ ยังแพร่หลายอยู่มากมาย แต่การเรียนดูเหมือนว่าจะไม่พ่วงมาด้วยกับการบวชเท่าที่ควร บางแห่งมีการบวช แล้วก็มีการเรียน แต่หลายแห่ง มีการบวช แต่ไม่มีการเรียน ประเพณีบวชเรียน ชักจะกร่อนลงไป เหลือแต่การบวช

ถ้าเรื่องเป็นอย่างนี้ ก็น่าเป็นห่วง เพราะว่า การบวชนั้นจะมีความหมายได้ ก็ด้วยการเรียนที่ตามการบวชนั้นมา

การบวชนั้น เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อจะได้นำคนเข้าสู่การศึกษา หรือสู่การฝึกหัดอบรม แต่ปัจจุบันนี้ เรามีการเข้ามาสู่เพศบรรพชิตจริง แต่เมื่อไม่มีการศึกษาเล่าเรียน การบวชนั้นก็ค่อนข้างจะเลื่อนลอย ได้แต่รูปแบบ คือว่า เนื้อหาสาระของการบวชนั้น ก็เพื่อจะได้มีการศึกษาอบรมและเล่าเรียน แต่เมื่อบวชมาแล้ว ไม่ได้เล่าเรียน ก็ถือว่าไม่ได้สาระของการบวช

คนจำนวนมากมาบวชแล้ว ก็กลับออกไป โดยไม่ได้รับการศึกษาอบรม บางทีไม่เห็นคุณค่าของพระศาสนา หรือสึกออกไปแล้ว ยิ่งกลับไม่เห็นคุณค่าหนักขึ้นไปอีก กลายเป็นว่า ก่อนบวชนั้น ยังมีความรู้สึกเห็นคุณค่าเลื่อมใสศรัทธาอยู่บ้าง แต่สึกออกไปแล้วกลับมีความรังเกียจหรือดูถูกอะไรทำนองนี้ คือดูถูกบุคคลที่อยู่ในพระศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ ก็แสดงถึงความเสื่อมโทรม

ถึงแม้ที่ว่านี้จะเป็นการมองในแง่ของส่วนที่ร้าย โดยส่วนที่ดีก็ยังมีอยู่ เรายังไม่ถึงกับหมดหวัง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสภาพที่ไม่ดีนี้มันเพิ่มขยายมากขึ้น ก็จะน่าเป็นห่วงมาก

ทีนี้ ไม่เฉพาะผู้ที่บวชตามประเพณี เพียงระยะสั้นๆ ๓ เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน จนกระทั่งที่สั้นลงเหลือแค่ ๗ วัน ที่ว่าบวชแล้วไม่ได้เรียน ไม่ได้เห็นคุณค่าของพระศาสนาเท่านั้น แม้แต่คนที่บวชนานๆ บางทีก็ไม่ได้เรียน กลายเป็นการบวชแบบที่ว่า เข้ามาอาศัยพระศาสนาเลี้ยงชีพ บวชอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานทำการ แค่ได้เข้ามาพักผ่อน อะไรต่างๆ เหล่านี้ ดูเหมือนจะมากขึ้น

สภาพอย่างนี้เป็นอย่างที่หลายท่านเคยได้ยินแล้วว่า มีวัดหลวงชนิดใหม่เพิ่มมากขึ้น คือ วัดหลวงตา หมายความว่า พระที่อยู่ในวัด เป็นผู้ที่เข้ามาบวชในช่วงวัยที่มีอายุมากๆ คือ เมื่อแก่แล้ว ทำอะไรไม่ได้ จึงมาบวช เมื่อบวชแล้ว ก็ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาอะไร ไม่มีความรู้ ได้แต่อยู่รักษาวัดเฉยๆ ผู้บวชในวัยที่จะศึกษาเล่าเรียนจริงๆ มีน้อยลง

ที่พูดมานี้ คือสิ่งที่ฟ้องถึงสภาพความเสื่อมโทรม ในหมู่ผู้บริหาร ในหมู่ผู้ปกครองสงฆ์เอง ก็รู้กันอยู่ถึงปัญหานี้ว่า เวลานี้มีวัดหลวงชนิดที่ ๔ คือวัดหลวงที่ต่อจากชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี มาเป็นวัดหลวงตา เพิ่มมากขึ้น ปัญหานั้น พอจะตระหนักรู้ แต่ทำอย่างไรจะแก้ได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญ

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< วัดหลวงชนิดใหม่มีแต่การบำรุงที่รับเข้ามา ไม่ได้ศึกษาที่จะให้ธรรมออกไป >>

No Comments

Comments are closed.