- เปิดประเด็น
- งานพระพุทธศาสนาทั้งหมด เป็นองค์รวมเพื่อจุดหมายหนึ่งเดียว – จัดการปกครองขึ้นมา เพื่อให้การศึกษาได้ผล
- งานที่ต้องเพ่งและเร่ง คือฟื้นฟูชนบทที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย
- ถ้าบอกว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ต้องเลิกเป็นทาสของความไม่รู้
- รู้ตรงปัญหา พัฒนาตรงจุด – จุดเน้นแห่งภารกิจ ที่จะต้องปฏิบัติ
- ของดีที่มีสืบมา ทำท่าจะกลายเป็นของเสีย ต้องรีบจัดการใช้ให้เป็นประโยชน์
- ส่งเสริมและประสานบทบาทของพุทธบริษัททุกฝ่าย พระ-โยม หญิง-ชาย ส่วนกลาง-ท้องถิ่น ราชการ-ประชาชน
- ทำพุทธคติแห่งโลกานุกัมปตาให้เป็นจริง โดยให้พระทำงานตามบทบาทที่แท้
- พูดและทำเชิงสร้างสรรค์ รู้จักสื่อสารและสลายปัญหา
- ศิลปวัฒนธรรมสืบจากพระศาสนา แล้วมาสื่อคุณค่าของพระศาสนา
- จะพบพระพุทธศาสนา เมื่อศรัทธามาบรรจบกับปัญญา และปัญหาที่หมักหมมมาก็จะหายไป
- ความหมายที่แท้ของนารายณ์อวตาร ก็ยังไม่รู้ จะได้บทเรียนอะไรที่จะมารักษาพระพุทธศาสนา
- คนกับระบบ คนที่เข้าถึงระบบ คนประสานกันภายในระบบ
- เรื่องพุทธมณฑลจะจัดการอย่างไร ต้องใช้ปัญญาว่าให้ชัด แต่ไม่ใช่เป็นที่มาอวดความใจกว้างบนฐานแห่งโมหะ
- เอากำลังปัญญา อาศัยความสามัคคี มาบริหารกุศลเจตนา สู่ความสัมฤทธิ์แห่งประโยชน์สุขเพื่อปวงประชา
คนกับระบบ คนที่เข้าถึงระบบ
คนประสานกันภายในระบบ
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ก็กราบนมัสการขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยนะครับ คงยังมีปัญหาอีกมากมาย เพราะว่าการเข้าไปคราวนี้ คงจะมีปัญหาหมักหมมมานานพอสมควร และจากประสบการณ์ของกระผมเอง กระผมก็พบว่า เรื่องของคนกับเรื่องของระบบ ในทางปฏิบัติจริงๆ คนนี่สำคัญ จะทำอย่างไรที่จะให้เราสร้างคนขึ้นมาได้
ก็อย่างที่กระผมกราบนมัสการไว้แล้วว่า ก็จะต้องเอาอย่างลักษณะของการคัดสรรมา ซึ่งกระผมก็ได้กราบนมัสการ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์จะเห็นด้วยในประเด็นนี้หรือเปล่า
พระธรรมปิฎก: คัดสรรอย่างไรนะ เจริญพร
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: คัดสรรนี่กระผมขอยกตัวอย่าง เช่นผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท.(องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย) ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท.ในสมัยก่อนนั้นเขาแต่งตั้งมาจากราชการ แต่ในขณะนี้เขามีการคัดเลือก ถ้าไม่มีประสิทธิภาพพอ ทำให้บริษัทเขาแย่ เขาจะเอาออก
ทีนี้ลักษณะนี้ถ้าหากมีการคัดสรร ก็หมายความว่า มีคฤหัสถ์จำนวนหนึ่ง มีบรรพชิตจำนวนหนึ่งมาพิจารณา แต่อย่างที่ท่าน ดร.วิษณุ เครืองาม ได้บอกไว้เมื่อปีที่แล้วว่า คณะกรรมการนี้จะมาหาตัว ผอ. นั้นมีลักษณะในเชิงของการแต่งตั้ง
แต่ถ้ามีการคัดสรรนี่ หมายความว่าเลือกเลย และคณะกรรมการนี้ก็จะพิจารณาตามดูการเคลื่อนไหว การทำงานของตัวผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติตลอดเวลา ถ้าดีก็ปกป้อง ถ้าไม่ดีก็ตักเตือน ตักเตือนแก้ไม่ไหวแล้ว ก็ต้องถอดถอนออกไป อาจจะอยู่ในวาระ ๒ ปี ๓ ปี ก็แล้วแต่
อยากจะกราบนมัสการถามว่า ในประเด็นนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันเหมาะสมหรือเปล่าครับผม
พระธรรมปิฎก: การคัดสรรใช่ไหม ขอเจริญพร เป็นวิธีการใหม่ที่ค่อนข้างแพร่ขยายมากขึ้น นิยมใช้กันมากขึ้น แง่ดีก็มี แต่ทำอย่างไรจะให้มันดีจริงๆ คือ ต้องวางระบบให้ดีนั่นเอง เพราะถ้าตัวหลักการดี แต่ถ้าวิธีจัดการไม่ดี หลักการนั้นก็ไม่สัมฤทธิผล
เพราะฉะนั้น ตอนนี้หลักการก็ดีอยู่ แต่วิธีการโดยเฉพาะที่จัดวางเป็นระบบนี่ มันไม่ใช่แค่วิธี แต่เป็นระบบวิธี และระบบวิธีนี่ต้องมีความรัดกุม เป็นต้นว่า แค่ไหนจึงจะให้ความมั่นใจ โดยมีองค์ประกอบหรือปัจจัยที่จะเป็นตัวประกัน ให้เกิดผลที่ดีได้แน่นอน
ตัวระบบที่จะเป็นหลักประกัน ต้องทำให้มั่นคง ถ้าระบบไม่เป็นหลักที่มั่นคง ไม่เป็นประกัน มีช่องโหว่มาก ก็เกิดปัญหา แม้ตัวหลักการจะดีก็มาเสียอีก ที่ระบบวิธี
ฉะนั้น การคัดสรรเราก็พูดได้ว่าโดยหลักการดี แต่วิธีการต้องทำให้รัดกุม วางระบบให้ชัด จนกระทั่งคนเห็นระบบวิธีแล้ว ก็มั่นใจเลย ว่ามันเป็นหลักประกันว่าจะได้คนที่เหมาะสม
ตรงนี้ยากเหมือนกันนะ เมื่อวางระบบวิธีแล้ว จะมีตัวแทรกแซงอะไรเข้ามาอีกหรือเปล่า คือระบบนี้ จะต้องป้องกันตัวแทรกแซงได้ด้วย
ตรงนี้ยาก คือจะต้องมีระบบที่สามารถป้องกันตัวแทรกแซงและปัจจัยในฝ่ายเสียไม่ให้เข้ามา อันนี้ก็คงตอบได้แบบมีเงื่อนไข คือไม่สามารถจะตอบได้แบบผางลงไปเลย อันนี้คิดว่าอยู่ที่การวางระบบวิธี
ก็เลยอยากจะพูดอีกนิดเป็นการพูดรวม เพราะเมื่อสักครู่นี้ได้พูดถึงวัฒนธรรมด้วย ว่าถ้าเราจะนำประเทศชาติไปให้ดี ผู้ที่ทำงานจะต้องมองเห็นองค์ประกอบทุกส่วนของสังคม ว่ามันเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยแก่กันอย่างไร แล้วมันรวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร ถ้ายังมองไม่ได้ ยังมองแยกส่วนอยู่ ก็ไปดีไม่ได้
เพราะฉะนั้น ท่านที่พูดอย่างเมื่อสักครู่ว่าวัฒนธรรมเป็นเรื่องต่างหากจากพระศาสนา ก็คือ ท่านไม่เข้าใจวัฒนธรรม ว่ามันเป็นองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับส่วนอื่นของสังคมไทยนี้อย่างไร ทั้งในเชิงราบและเชิงตั้ง
เชิงราบ ก็คือ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เชิงตั้ง ก็คือ ตามแนวประวัติศาสตร์ ความเป็นมาในอดีตสืบสายกันมาอย่างไร ต้องเข้าใจให้ตลอด
ถ้ามิฉะนั้นก็จะทำงานโด่เด่ เคว้งคว้าง ขาดลอยไปหมด ต้องสานได้ ต้องโยงได้ ต้องเชื่อมเหตุปัจจัยได้ ทั้งปัจจัยฝ่ายบวก ฝ่ายลบ ฝ่ายกระทบ แล้วก็ฝ่ายเสริมหนุน ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ
งานของพระศาสนาก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ก็คือกลับไปสู่ข้อแรกที่บอกว่า มองพระศาสนาทั้งหมด ให้มีจุดรวมอันเดียว แล้วให้เห็นว่า มันกระจายออกไปเป็นองค์ประกอบต่างๆ ที่มาสัมพันธ์กันอย่างไร เพื่อไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน แล้วจะโยงกันอย่างไร เพราะจะทำงานอะไรก็ตาม ทุกส่วนนั้นจะต้องโยงกลับเข้ามาหาแกนนี้ได้ แล้วก็นำไปสู่จุดหมายที่แท้จริง
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมขอกราบนมัสการถามเป็นการส่วนตัวสักนิดหนึ่งว่า ในฐานะที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธ-ศาสนาแห่งชาติ ต้องไปเป็นเลขาธิการของมหาเถรสมาคม ตรงจุดนี้กระผมขอรับโอวาท มีข้อแนะนำสั่งสอนประการใด ช่วยกระผมด้วย เพราะว่ากระผมไม่เคยมีประสบการณ์ ควรจะดำเนินการในลักษณะใด จึงจะถูกต้องเหมาะสม
พระธรรมปิฎก: ขอเจริญพร อันนี้อาตมภาพคิดว่าก็คงจะเป็นระบบงานแบบอิงอาศัยเอื้อกันไป เพราะว่าท่านนายพลก็ถนัดงานที่รู้ทางด้านองค์ประกอบทางสังคมมาเยอะ ส่วนทางด้านเนื้อหาสาระทางปริยัติเป็นต้น และทางด้านความสัมพันธ์กับพระสงฆ์ เรื่องความรู้ความเข้าใจประเพณีความเป็นอยู่วัตรปฏิบัตรของพระ ก็จะมีท่านที่ชำนาญอยู่แล้ว
ก็ต้องประสานกันตรงนี้แหละ เพราะว่าตอนที่สัมพันธ์กับมหาเถรสมาคมนั้นจะมีเรื่องในแง่นี้มาก เพราะว่าท่านเป็นพระสงฆ์ ซึ่งมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของท่านแบบหนึ่ง มีเรื่องราวเกี่ยวข้องที่เป็นแบบของท่านโดยเฉพาะ คราวนี้คนที่เจริญเติบโตมาแบบนั้น ก็จะมาหนุนได้ คือเป็นการทำงานที่คงต้องประสานไปด้วยกัน โดยมีท่านที่ชำนาญด้านนั้นเข้ามา ก็อยู่ที่จุดเชื่อมว่า จะเอามาเป็นองค์ประกอบร่วมได้อย่างไร เพื่อจะมาทำงานไปด้วยกัน ขอเจริญพร
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมเข้าไปคราวนี้ กระผมก็ได้แสดงบอกทางสื่อมวลชนที่มาซักถามอย่างชัดเจนว่า กระผมมิได้เข้ามาในฐานะผู้บังคับบัญชา แต่กระผมเข้ามาในฐานะของเพื่อนร่วมงานจริงๆ ด้วยความจริงใจ
ก็มีกระแสออกมาว่า มีความแตกแยกกันอย่างนั้นอย่างนี้ กระผมก็ตอบไปว่า เรื่องความแตกแยกในบ้านเมืองของเรา ตราบใดที่เป็นปุถุชนนั้นมีทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร พลเรือน ทุกแห่งมีเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่าพวกเรายึดโยงกันให้ชัดเจนในเรื่องความจริงใจที่จะทำงานต่อบ้านเมือง ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักสำคัญแล้ว กระผมมั่นใจว่าเอกภาพต้องเกิดขึ้น เหตุการณ์ทุกประการน่าจะเรียบร้อยและมีความเข้าใจต่อกันได้ กระผมขอคำแนะนำในประเด็นดังกล่าวนี้ด้วยครับ
พระธรรมปิฎก: เจริญพร ก็คงต้องใช้ความแตกต่างเป็นส่วนเติมเต็ม หมายความว่า ความแตกต่างเป็นธรรมชาติ และเพราะความแตกต่างนี่แหละ จึงทำให้สิ่งทั้งหลายมีความหลากหลาย โลกนี้เป็นอยู่ได้เพราะความแตกต่าง ถ้ามีอยู่อย่างเดียวแม้แต่ร่างกายของเรา ก็มีแต่ตายอย่างเดียว ไปไม่รอด เครื่องยนต์ก็มีส่วนที่แตกต่างแล้วมาเติมเต็มกัน ทำให้องค์รวมสมบูรณ์ขึ้นมา
อันนี้ก็อยู่ที่จะใช้ความแตกต่างนั้นอย่างไร อยู่ที่การประสานเชื่อมโยงเข้ามาเป็นระบบ ให้เป็นหน่วยรวมอันเดียวกัน แล้วก็หาช่องทางให้มันมาหนุนซึ่งกันและกัน ให้เป็นปัจจัยร่วมและเป็นปัจจัยหนุน ไม่ใช่เป็นปัจจัยที่มาหักล้างกัน
เหมือนอย่าง ในเรื่องที่ต้องสัมพันธ์กับคณะสงฆ์ ตรงนี้จะต้องเป็นจุดที่เด่น คือการเข้าได้กับพระ เช่น กรรมการมหาเถรสมาคม
การรู้วิถีชีวิตของท่าน รู้วัตรปฏิบัติแนวทางอะไรต่างๆ ซึ่งผู้ที่ชำนาญในด้านนี้ ก็จะมีแน่นอนในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คงจะต้องใช้หรืออาศัยท่านเหล่านั้น มาเป็นส่วนร่วมหรือมาเป็นองค์ประกอบที่เสริมซึ่งกันและกัน แล้วก็รู้กัน เข้าใจกัน มาทำงานแบบไปด้วยกัน ขอเจริญพร
No Comments
Comments are closed.