งานที่ต้องเพ่งและเร่ง คือฟื้นฟูชนบทที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย

3 กันยายน 2546
เป็นตอนที่ 3 จาก 15 ตอนของ

งานที่ต้องเพ่งและเร่ง คือฟื้นฟูชนบทที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย

– ไม่ให้ความเสื่อมแบบเมืองไหลเข้าชนบท
แต่ให้ชนบทเป็นสติแก่เมือง

อยากพูดถึงเรื่องเฉพาะกาลเทศะ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย

เมื่อสักครู่นั้นเป็นการพูดถึงหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เป็นเรื่องยืนตัวตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนบัดนี้ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของประเทศไทย ก็เป็นเรื่องของกาลเทศะโดยเฉพาะ ซึ่งต้องเน้นเป็นจุดๆ ว่า เวลานี้เรามีปัญหาอะไร ปัญหาเด่นอยู่ตรงไหน และเราจะต้องทำอะไร

ประเทศไทยนี้ เมื่อโยงกับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สังคมของเรา ก็เป็นสังคมที่ประกอบด้วยชุมชนย่อยๆ มากมาย และชุมชนเหล่านั้นเวลานี้ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในชนบท ชนบทจึงเป็นฐานสำคัญของประเทศไทย ยิ่งกว่านั้นชุมชนชนบทยังมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม กับอดีต กับประวัติศาสตร์มาก ชุมชนเมืองเสียอีกกลับมีภาวะที่เหมือนกับว่า ไม่ชัดเจน แปรปรวน หรือขาดตอน

ในเมื่อชนบทเป็นส่วนที่โยงกับพื้นฐานและภูมิหลังทางวัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องของพระพุทธศาสนา แล้วยังเป็นส่วนใหญ่ของประเทศชาติในปัจจุบันด้วย จึงเป็นจุดที่น่าจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ

ชนบทน่าเอาใจใส่พิเศษ ทั้งในแง่ของสภาพเอื้อ ทั้งในแง่ของภาวะที่จำเป็น ทั้งในแง่ที่สำคัญต่อความดำรงอยู่ของประเทศชาติ และทั้งในแง่ที่เป็นจุดล่อแหลม หรือกำลังอยู่ที่ทางสองแพร่ง จะไปตามอย่างสังคมเมืองหรือไม่

เวลานี้ชุมชนในชนบท เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ประเทศของเรานี้ราว ๗๐% ยังถือว่าเป็นชนบท และชนบทเวลานี้ กำลังทรุด

เมืองไทยเรามีปัญหามากอยู่แล้ว เช่น ในเรื่องบริโภคนิยมที่โถมเข้ามา ปัญหาอย่างที่ทราบๆ กันอยู่ หนึ่ง ทำอย่างไรจะป้องกันไม่ให้ความเสื่อมแบบเมืองเข้าไปสู่ชนบท ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ

พร้อมกันนั้นก็ สอง ทำอย่างไรจะฟื้นของดีที่มีอยู่ในชนบทให้มีชีวิตและมีกำลังขึ้นมา ถ้าทำได้ นอกจากจะป้องกันชุมชนชนบทไม่ให้เสื่อมทรุดแล้ว ชนบทนั้นจะกลับมาเป็นส่วนช่วยประเทศทั้งประเทศ

แต่เวลานี้ชุมชนในชนบทกำลังอ่อนแอมาก บางทีพูดกันว่า ถึงขั้นแตกสลายแล้ว

เรื่องนี้เริ่มมาตั้งแต่ยุคที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟู เด็กๆ ในชนบทเข้ามาเป็นแรงงานในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าปัจจุบันนี้ ทั้งหญิงทั้งชาย หนุ่มสาว มาในวิถีของการเคลื่อนย้ายเพื่อเศรษฐกิจ ซึ่งในบางแง่ก็เป็นประโยชน์ต่อชนบท แต่ในแง่เสีย เมื่อจัดการไม่ดี ก็เกิดผลร้ายมากกว่า

คนที่สามารถเป็นกำลังของชนบท แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ กลับกลายเป็นปัญหาของเมือง ถ้าเขาอยู่ในชนบท เขาจะเป็นกำลังสำคัญ เป็นทรัพยากรที่มีค่า เป็นผู้นำของชนบท แต่คนเดียวกันนั้น พอเข้ามากรุงเทพฯแล้ว เขากลับกลายเป็นคนที่ก่อปัญหาแก่เมือง อย่างนี้ลำบาก

กลายเป็นว่า คนที่จะเป็นขุมกำลังของชนบทนี้ออกจากชนบท ไปเป็นปัญหาในเมือง แล้วชนบทก็ขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ ขาดแคลนกำลังคนในระดับที่จะเป็นผู้นำ อันนี้คือภาวะอย่างที่ว่า แทบจะแตกสลาย

ส.ส.บางท่านก็เอามาพูด โดยมีความเห็นตรงกันว่า ชนบทบางถิ่นแทบจะไม่เหลือคนหนุ่มสาวเลย มีแต่คนแก่เลี้ยงหลาน ส่วนหนุ่มสาวที่เป็นพ่อแม่เด็กมาอยู่ในกรุงเทพฯ มาเป็นแรงงานประเภทกรรมกร อะไรทำนองนี้ แล้วส่งเงินไปให้ และผูกปิ่นโตให้ ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลานไป แล้วก็กินอาหารปิ่นโตนั้นไป

งานการในชนบทก็เหมือนกับถูกทอดทิ้ง การพัฒนาในชนบทก็ไม่มี นอกจากนั้น เมื่อมองดูองค์ประกอบของชุมชนชนบทก็ล้วนแต่เสื่อมทรุดลงไป

ถ้าชนบททรุด และคนบ้านนอกเข้ามาเป็นปัญหาแก่เมือง คนในเมืองต้องช่วยเสริมกำลังให้ชนบทฟื้นขึ้นมา ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาของเมืองเองด้วย

ที่ว่านี้ มิใช่ว่าจะไม่ให้ชาวชนบทเข้ามาหาโชคในเมือง แต่ต้องหาทางบริหาร และจัดการให้เข้ามาในปริมาณที่พอควรพอดี และมีทางพัฒนาคุณภาพ พร้อมกับที่ตัวชนบทเองต้องไม่ถูกทอดทิ้งให้ขาดกำลัง

วัดเป็นทุนเดิมของชุมชน ซึ่งมีอยู่แล้ว ถ้ารู้จักจัดให้ถูก ในฐานะที่เป็นศูนย์รวม และเป็นแหล่งธรรมแหล่งปัญญาของชุมชนนั้น วัดก็จะช่วยแก้ปัญหาและช่วยพัฒนาชนบทได้มากมาย

– ฟื้นฟูบทบาทที่แท้ของวัดขึ้นมา
ให้ประสานบ้านกับโรงเรียน พาชุมชนก้าวไปด้วยกัน

ชุมชนชนบทนั้น เรียกกันมาในวงการศึกษาว่า “บวร” (ประกอบด้วย บ้าน วัด โรงเรียน)

แต่ตอนนี้ก็แย่ไปตามๆ กัน บ้านก็แย่แล้ว เพราะว่าพ่อแม่ออกมา ก็ไม่มีกำลัง และพ่อแม่เองก็ไม่มีหลักที่จะรับมือกับสภาพความเจริญสมัยใหม่ ตั้งรับไม่เป็นเลย ได้แค่กลายเป็นเหยื่อของความเจริญปัจจุบันที่เป็นปัญหา ส่วนโรงเรียนก็มีปัญหาอย่างหนัก อย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว แล้วเหลืออะไร ก็เหลือวัด แต่พอมาดูวัด ปรากฏว่า วัดก็ทรุดอีก

วัดจำนวนมากไม่มีบทบาทต่อชุมชน คนจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น มองไม่เห็นความหมายของวัด ถ้าวัดไม่มีบทบาทต่อชุมชน หรือไม่ทำบทบาทที่ควรจะทำแล้ว ก็เป็นอันว่าหมดความหมาย นี่แหละเป็นภาวะที่ชุมชนแตกสลาย เมื่อชุมชนแตกสลาย สังคมก็แตกสลาย แล้วประเทศชาติก็จะแตกสลายไปด้วย

ตอนนี้เราพูดได้ว่า พระในชนบทกำลังจะหมดบทบาทต่อชุมชน ส่วนที่หมดไปแล้วก็มาก ทำอย่างไรจะให้ฟื้นขึ้นมาได้ ก็ต้องให้พระมีบทบาทที่ถูกต้องต่อชุมชน

ถ้าพระทำบทบาทที่ถูกต้องไม่ได้ ท่านก็ต้องทำบทบาทอื่น เพราะท่านมีชีวิตที่สัมพันธ์กับประชาชน ต้องพึ่งพากันกับประชาชน ฉะนั้นท่านจึงต้องตอบสนองความต้องการของประชาชน เมื่อตอบสนองด้วยบทบาทที่ถูกต้องไม่ได้ ก็เกิดบทบาทที่ไม่ดีขึ้นมา

กลายเป็นว่ามีเรื่องของไสยศาสตร์ เรื่องนอกลู่นอกทางนอกพระศาสนาก็เจริญกันใหญ่ ถ้าเราไม่สามารถพัฒนาบทบาทที่ถูกต้องได้ ท่านก็ต้องออกไปสู่แนวทางนั้น เพราะท่านต้องอยู่กับชาวบ้าน มันเป็นธรรมดา อย่าไปว่าท่านอย่างเดียวไม่ถูก

เราจะต้องไปพื้นฟู ฉะนั้นจึงขอย้ำว่า เวลานี้ต้องพื้นฟูชุมชนในชนบทให้ได้ และในการฟื้นฟูชนบท วัดจะต้องเป็นผู้นำ จึงต้องให้พระมีคุณภาพ

ต้องให้พระมีการศึกษาที่ดีและถูกต้อง มีความสามารถรู้ธรรมวินัยที่จะสอนประชาชนได้ นำประชาชนในทางที่ถูกต้องถูกทาง

เมื่อพระทำบทบาทที่ถูกต้อง ก็ยึดชุมชนอยู่ ยึดพ่อแม่ยึดบ้านไว้ได้ พ่อแม่ก็ส่งต่อไปยังโรงเรียน แล้วโรงเรียนก็มาร่วมมือกับวัด ในการที่จะเอื้อธรรมะ เอื้อศีลธรรม เอื้อความดีความงาม เอื้อการศึกษาการเรียนรู้อะไรต่างๆ แก่ประชาชนในชุมชนนั้น

ถ้าพระมีคุณภาพขึ้นมา ก็สามารถจะร่วมมือกับครูอาจารย์ในวงการศึกษาได้ ถ้าพระไม่มีคุณภาพก็ไม่รู้จะไปร่วมมือกับครูได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น เวลานี้เราต้องการส่วนใดส่วนหนึ่งหรือองค์ใดองค์หนึ่งของชุมชนชนบท ให้มีคุณภาพ มีกำลังเข้มแข็ง

แต่ครูปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นหลักได้เท่าไร นอกจากปัญหาเรื่องความเสื่อมสถานะทางสังคมแล้ว สังคมก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อครู

อาตมภาพเคยพูดฝากไว้กับหลายท่าน บอกว่า เวลานี้นักการเมืองบางที ต้องขออภัยนะ ท่านอาจจะไม่รู้ตัวว่า ท่านไม่ให้เกียรติแก่ครู บางทีนักการเมืองเอาครูเป็นคนรับใช้ ซึ่งไม่น่าจะทำ

ในชนบทเดี๋ยวนี้ ครูกลายเป็นคนรับใช้ของนักการเมืองไป ถ้าจะทำให้ถูกต้อง ครูไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนก็แล้วแต่ ต้องถือเป็นครูหมด เมื่อเป็นครูแล้ว ในสังคมไทยถือเป็นบุคคลที่ควรได้รับการเคารพบูชา อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติ

เพราะฉะนั้น นักการเมืองควรทำเป็นตัวอย่าง ไปถึงชนบท ถ้าเห็นครูต้องให้เกียรติทันที โดยแสดงออกให้ประชาชนเห็น แล้วครูจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมา

พร้อมกันนั้น ประชาชนก็จะเห็นความสำคัญของครู ครูพูดอะไรก็จะมีความหมายขึ้น และครูจะได้ระวังตัวขึ้นด้วย เพราะคนเรานั้น ถ้าตัวเองไม่มีใครเห็นคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีเกียรติ ก็จะรู้สึกว่าทำอะไรก็ได้ แต่เมื่อได้รับเกียรติแล้วก็จะทำให้ตระหนักระวังตัวเองขึ้นมา

เพราะฉะนั้นจะต้องให้เกียรติครู นักการเมืองต้องแสดงเป็นตัวอย่าง เมื่อเห็นครูต้องให้เกียรติเป็นพิเศษ อย่างนี้เรียกว่าสังคมร่วมมือกัน ก็มีทางที่จะเจริญก้าวหน้าขึ้นมา แต่เวลานี้ครูอยู่ในฐานะลำบากอย่างที่ว่า

นอกจากนั้น ครูก็ไม่ได้อยู่แน่นอนในชุมชนนั้น แต่พระอยู่เป็นหลักเลย เจ้าอาวาสก็อยู่ตลอด ฉะนั้น ถ้าเราพัฒนาพระให้มีคุณภาพดีๆ พระก็จะเป็นศูนย์กลางและเป็นศูนย์รวม ซึ่งก็เป็นมาก่อนแล้วแต่โบราณ ศูนย์รวมนี้ก็จะทำให้บ้าน วัด โรงเรียน มาประสานกัน เป็นขุมกำลังของชุมชนนั้น และจะพัฒนาชุมชนให้ไปสู่ความเจริญงอกงามได้อย่างแท้จริง

งานบ้านเมืองด้านอื่นๆ นั้น เขามักถนัดด้านในเมืองในกรุง และเขาก็เน้นกันอยู่ที่นั่นมาก แต่งานพระศาสนาโยงสนิทกับชุมชนชนบท และศาสนบุคคลก็ถนัดด้านนั้น

ฉะนั้น ต้องเน้นชุมชนชนบทยิ่งกว่าในเมือง ว่าจะต้องฟื้นฟูคุณภาพของพระและบทบาทของพระ ให้พระทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ต่อชาวบ้านและต่อชุมชน แล้วเอาวิถีที่ถูกทางของชนบทมาช่วยเมือง และช่วยทั้งประเทศ

อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าในทางลบ มันก็เหมือนกับว่าแข่งกัน คือ ความเสื่อมกำลังแข่งกับงานของเรา โดยเฉพาะเวลานี้เรื่องพฤติกรรมนอกลู่นอกทางก็ขยายมากขึ้นทุกที

– สมัยก่อน เณรมาก หลวงตาไม่ค่อยมี
สมัยนี้ เณรหมด มีแต่หลวงตา

นอกจากขาดพระที่มีคุณภาพแล้ว บางทีขาดพระที่เป็นตัวบุคคล คือไม่มีพระอยู่วัด แล้วก็ขาดศาสนทายาทรุ่นใหม่ที่จะมาสืบต่อ คือ ขาดสามเณร เป็นอันว่าขาดหมด ขาดทั้งพระที่จะทำหน้าที่ในปัจจุบัน ขาดทั้งผู้ที่จะมาสืบต่อเบื้องหน้า

เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เป็นสภาพที่ทั้งเอื้อและเรียกร้องให้มีบุคคลอื่นแทรกเข้ามา อย่างน้อยก็มารักษาวัดไว้ก่อน ก็จึงมีผู้ที่บวชเข้ามาในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะผู้บวชในวัยที่สูงอายุเยอะ จนกระทั่งเวลานี้มีการล้อกันในวงการพระสงฆ์ว่า เกิดวัดหลวงชนิดใหม่ โยมคงได้ยินแล้ว

คนก็จะถามว่า วัดหลวงอะไร เอ ไม่เคยได้ยิน วัดหลวงก็มีอยู่เท่าเดิมนี่แหละ ไม่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรืออะไรสักนิดหนึ่งว่า มีวัดหลวงชนิดใหม่ ไปๆ มาๆ ก็ตอบว่า วัดหลวงตา นี่ไง วัดหลวงตากำลังเกิดมากขึ้น

วัดหลวงชนิดใหม่นี้ ในแง่หนึ่งก็เป็นอันตราย เพราะแสดงถึงความเสื่อม เพราะไม่มีพระที่จะอยู่ดูแลวัด ได้แค่มีผู้ที่บวชเข้ามาเมื่อแก่ ถึงแม้ท่านจะมีเจตนาดี ท่านก็ไม่มีกำลังที่จะทำอะไร แต่ผู้ที่เจตนาไม่ดีก็มี เช่นหมดทางไปจึงเข้ามาบวชก็มี ได้แต่อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ

แต่เราต้องมองในแง่ดีด้วย เพราะมีผู้ที่ตั้งใจดี อย่างน้อยก็คิดว่า ในวัยนี้เลิกทำงานแล้ว อยากมาหาความสงบ ซึ่งเป็นเจตนาดี แต่ท่านก็ไม่มีกำลังที่จะเล่าเรียนอะไรได้มาก

อันนี้เป็นสภาพความเป็นจริง คือมีหลวงตามากมาย เป็นสภาพที่มีมา ๑๐–๒๐ ปีแล้ว อาตมภาพไปเจอพระตามวัดในชนบท เห็นท่านอายุ ๖๐,๗๐ ปี ลองถามดู องค์หนึ่งบอกว่าอายุ ๗๐ ปี แต่ถามพรรษา ได้ความว่าบวชมา ๒-๓ ปี ส่วนอีกองค์หนึ่งอายุ ๖๐ ปี บวชมาได้พรรษาเดียว

ญาติโยมแยกไม่เป็น ก็ไม่รู้ว่าพระเหล่านี้เป็นอย่างไร เห็นพระอายุมาก นึกว่าเป็นหลวงพ่อ หลวงปู่แล้ว นี่คือเข้าใจผิดหมด ที่จริงท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่จะพาเขวไปด้วยกัน เพราะฝ่ายพระก็ไม่รู้หลักพระศาสนา เมื่อญาติโยมไปขอโน่นขอนี่ ท่านก็สนองความต้องการไปตามที่พบเห็น บทบาทที่ไม่ถูกต้องที่เขวไปก็เกิดขึ้นมาแพร่หลายกันใหญ่

ฉะนั้นจึงเคยเสนอว่า เมื่อสภาพความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จะต้องเอาใจใส่เรื่องหลวงตา เพราะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเผชิญหน้าอยู่ ถึงแม้ไม่ปรารถนา เราไม่อยากให้มีหลวงตามาก แต่เราต้องคิดว่า เมื่อมีหลวงตามาก เราจะทำอย่างไรกับหลวงตา

จะมีได้ไหม? การจัดกิจกรรมอะไรก็ตาม ที่เป็นการฝึกอบรมหรือการพัฒนาหลวงตาด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง อย่างน้อยให้ท่านทำประโยชน์ได้ในระดับหนึ่ง หรือรักษาบทบาทในระดับหนึ่งให้แก่วัดให้แก่พระศาสนาหรือต่อชุมชน อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิด

แล้วระยะยาว ก็คือ ทำอย่างไรจะให้มีคนมาเป็นศาสนทายาทสืบต่อพระศาสนา

เรื่องการที่จะมีเด็กมาบวชสามเณร เป็นศาสนทายาท สืบต่อพระศาสนา เป็นเรื่องหลักใหญ่เรื่องหนึ่ง

ตอนที่แล้วมาทางรัฐบาลได้ปรับระบบการศึกษา ให้เด็กอยู่ในโรงเรียนถึง ๑๒ ปี ตอนนั้นก็เป็นห่วงกันว่า นี่จะเป็นการดึงให้เด็กไม่สามารถมาบวช เพราะว่าเด็กสมัยก่อนนี้ พอจบประถมปีที่ ๔ เมื่อการศึกษาไม่มีโอกาสเสมอภาคจริง ในชนบทการศึกษามวลชนยังเป็นเพียงอุดมคติ เป็นจุดหมายที่ยังไปไม่ถึง เด็กจบประถมปีที่ ๔ แล้วมาบวชเป็นสามเณรกันมาก ฉะนั้นกำลังในพระศาสนาจึงเหมือนกับว่าได้มาจากผู้ที่ไม่มีทางไป

ถ้าไม่มีทางไปในทางเศรษฐกิจก็ลำบาก เป็นทางเสื่อมมากกว่าดี แต่ถ้าไม่มีทางไปในทางการศึกษานี่กลับดี ขอให้เขาอยากศึกษาเป็นใช้ได้ เมื่อเด็กเหล่านั้นไม่มีทางไปในทางศึกษาก็มาบวช เป็นทางเจริญงอกงาม

เพราะฉะนั้นในสมัยก่อน วัดในชนบทเป็นที่รับเด็กที่จบประถมปีที่ ๔ ที่ไม่สามารถไปเรียนในโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งมาบวชกันเยอะแยะ ต่อมารัฐขยายระดับการศึกษาขึ้นสู่ประถมปีที่ ๖ แล้วต่อมาประถมปีที่ ๗ แล้วกลับลงมาประถม ๖ อีก พอดีเริ่มเข้ายุคมีแรงงานเด็ก ตอนนั้นเริ่มเกิดปัญหา เด็กหมดวัด ไม่มาบวชเป็นสามเณร เพราะเข้ามาเป็นแรงงานในกรุงเทพฯเสียหมด

นั่นคือเรื่องเก่า พอถึงตอนนี้ก็เกรงว่าเมื่อมีการศึกษา ๑๒ ปี เด็กต้องอยู่ในโรงเรียนนานขึ้น โตขึ้นแล้วเลยไม่บวช แต่ตอนนี้ทราบจากโยมทางภาคอีสานบางจังหวัดเป็นนิมิตดีว่า เด็กมาบวชมาเรียนกันในเพศเป็นสามเณรนี่ กลับเพิ่มขึ้นบ้างเป็นบางถิ่น

ที่ว่าเป็นนิมิตดีมีสามเณรบวชมาก คือจะมีศาสนทายาท เราจะต้องเอาใจใส่เอาใจช่วยว่า จะทำอย่างไรให้สามเณรเหล่านี้มีการศึกษาที่ดี นี่เป็นเรื่องของการสร้างศาสนทายาท แม้ว่าการจะมีเด็กมาบวชสามเณรเป็นศาสนทายาท เป็นเรื่องยาวที่ต้องทำกันอีกนาน

แต่มีเรื่องชั่วคราวอันหนึ่งที่มาช่วยผ่อน คือเด็กที่อยู่ในโรงเรียนต่างๆ ซึ่งทางพระไปเอื้อได้คือ การบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งขณะนี้กำลังแพร่หลายขยายมาก

บางวัดได้สามเณรที่บวชภาคฤดูร้อนนี่แหละมาเป็นศาสนทายาท เช่น วัดพยัคฆาราม จังหวัดสุพรรณบุรี จัดบวชสามเณรภาคฤดูร้อนทุกปี ญาติโยมประชาชนก็หนุนเต็มที่ บวชเรียนกันเป็นเดือน สามเณรหลายองค์ไม่สึกก็เรียนต่อ ปรากฏว่าจบประโยค ๙ หลายองค์แล้ว

นี่เป็นวิถีทางหนึ่งที่ช่วยสร้างศาสนทายาท แม้จะสึกไปก็ไม่เป็นไร ทางพระศาสนาก็ได้เอื้อต่อสังคม ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมะ มีศีลธรรมมีคุณความดี อยู่ในทางที่ถูกต้อง

อันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกันไปหมด แต่ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องของการเน้นชุมชนชนบทนั่นเอง ซึ่งก็คือชุมชนทั้งหลายทั่วไปของประเทศไทย

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< งานพระพุทธศาสนาทั้งหมด เป็นองค์รวมเพื่อจุดหมายหนึ่งเดียว – จัดการปกครองขึ้นมา เพื่อให้การศึกษาได้ผลถ้าบอกว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ต้องเลิกเป็นทาสของความไม่รู้ >>

No Comments

Comments are closed.