ตรวจสอบความเจริญก้าวหน้า ให้แต่ละวันเวลาได้ทั้งงานและความสุข

17 พฤศจิกายน 2535
เป็นตอนที่ 6 จาก 6 ตอนของ

ตรวจสอบความเจริญก้าวหน้า
ให้แต่ละวันเวลาได้ทั้งงานและความสุข

การที่จะเจริญก้าวหน้าขึ้นไปนี่ถ้าจะให้เห็นชัดก็ต้องดูจากหน่วยย่อย เพราะความเจริญก้าวหน้าในปีหนึ่งๆ นั้นก็มาจากแต่ละเดือน มาจากแต่ละวัน รวมกันเข้า เพราะฉะนั้น คนที่จะเจริญจริงๆ จึงต้องทำการสำรวจประจำวันว่า ในแต่ละวันนี้เราได้พัฒนา ได้ผลเพิ่มพูนขึ้นหรือเปล่า ถ้ามัวสำรวจช้าๆ รอเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่งนั้นไม่ทันหรอก คนที่จะมีฐานะดีขึ้นตั้งตัวได้และเจริญรุ่งเรืองนี่ เขาต้องสำรวจในแต่ละวัน พระท่านจึงสอนเตือนไว้ เป็นพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง จำไว้ได้ก็ดี เอาไว้สำรวจตัวเอง ท่านบอกว่า

เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง

ถ้าจำอันนี้ได้และนำมาใช้ละก็เจริญงอกงามแน่เลย เพราะแต่ละวันเราจะสำรวจตนเองว่า วันนี้เราได้อะไรไหม ก่อนจะนอนก็สำรวจก่อน ทีนี้ถ้าสำรวจแล้วปรากฏว่าได้ก็มีความพอใจ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้ ก็เท่ากับเป็นเครื่องเตือนสติว่าพรุ่งนี้เราจะต้องพยายามทำให้ได้ผล ต้องแก้ตัว และต่อไปจะต้องให้รู้สึกว่าได้ทุกวัน พอได้ทุกวันแล้ว ครบปีหนึ่งไม่รู้ว่าได้เท่าไร เดือนหนึ่งก็เยอะแล้ว ปีหนึ่งยิ่งมากมาย เพราะฉะนั้น ให้สำรวจดูในแต่ละวัน ทางพระท่านบอกเป็นคาถาภาษาบาลีว่า

อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน วา

จำเป็นคาถาไว้ก็ได้ คาถาอย่างนี้มีประโยชน์ คาถาบางอย่างคนท่องไปไม่รู้เรื่อง ท่องไปโดยไม่รู้ความหมายเลย แต่คาถาที่อาตมาให้คราวนี้ใช้ได้ ศักดิ์สิทธิ์ด้วย เป็นคาถาที่ได้ผลชะงัดเลยทีเดียว และเราก็รู้ความหมาย มองเห็นประโยชน์แท้จริง ทวนอีกทีว่า อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน วา เท่านี้ แปลว่า เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อย ต้องให้ได้อะไรบ้าง เอาแค่นี้ละ แต่ละวันแต่ละคืนนี่ให้สำรวจตัวเอง

ทีนี้ ที่ว่าได้นี่ หลายคนก็มองไปในแง่ว่าได้เงิน อย่าไปคิดแค่นั้น ชีวิตของเราไม่ใช่ได้แค่นั้น แม้แต่เอาอย่างง่ายๆ ที่พูดกันว่าชีวิตของเราอยากได้ความสุข ถ้าเราได้เงินมากก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะหล่อเลี้ยงให้เรามีความสุข แต่ไม่ใช่ว่าได้เงินแล้วจะมีความสุขแน่นอน เงินไม่ใช่หลักประกันของความสุข มันเป็นเพียงตัวเอื้อให้มีความสุข แต่หลายคนได้เงินมามากก็ไม่มีความสุข ก็เห็นๆ รู้ๆ กันอยู่ ไม่ต้องยกตัวอย่าง

เพราะฉะนั้น ได้เงินอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องได้อย่างอื่นด้วย ถ้าได้เงินอย่างเดียวก็ได้แค่วัตถุ ได้สิ่งที่เป็นรูปธรรม ได้เพียงด้านร่างกาย แต่ที่จะให้มีความสุขจริงนั้น ได้ทางร่างกายอย่างเดียวไม่พอ ต้องได้ทางด้านจิตใจด้วย ทางใจจะได้อย่างไร การได้ทางใจที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือการที่รู้สึกว่าเราได้ทำชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ งานนี่ละเป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเราเป็นประโยชน์

งานเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เรารู้แล้วนี่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อมนุษย์ ทั้งในการพัฒนาตน และในการที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติ สังคม วันนี้เราได้งานแล้ว ได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้ว พอรู้สึกอย่างนี้ก็ได้ผลทางจิตใจ

การที่เราทำอะไรต่างๆ นี่เพื่ออะไร หาเงินหาทองเพื่ออะไร ก็เพื่อจะให้มีความสุข เสร็จแล้วเราได้ความสุขจริงหรือเปล่า ลองสำรวจดูในแต่ละวัน บางคนไม่เคยสำรวจเลยว่า เป้าหมายที่แท้คือความสุขเราได้หรือเปล่า แต่ไปมองแค่ว่าได้เงินหรือเปล่า ไม่ได้ดูต่อไปให้ถึงเป้าว่า ได้เงินมาแล้วเรามีความสุขหรือเปล่า เสร็จแล้วหาเงินตลอดชาติ แต่ไม่พบความสุขแท้สักที ก็ไม่ได้เรื่อง

ตกลงว่ามาสำรวจกันเลย สำรวจตั้งแต่วันนี้นี่แหละ ทั้งด้านเงิน ด้านงาน ด้านการทำประโยชน์ และอะไรต่ออะไรแล้วแต่จะคิดได้ แต่ให้มาลงท้ายที่จิตใจ ว่าได้มีความสุข มีความสงบ มีความเจริญขึ้นไหม ถ้าจิตใจมีการพัฒนาก็จะมีความสุขอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ คือมีความร่าเริงเบิกบานใจ มีความอิ่มใจ มีความผ่อนคลาย สงบเย็นกายใจ มีความปลอดโปร่งคล่องใจ และมีความสงบมั่นคงแน่วแน่ของจิตใจ

ถ้าดูจนถึงจุดนี้แล้วก็สบายใจได้ เรียกว่าดูครบวงจร ไม่ใช่ดูแค่เงินอย่างเดียว ติดอยู่ต้นวงจร ได้วัตถุอย่างเดียวไม่พอ การสำรวจรายได้แต่ละวันต้องสำรวจให้ครบวงจร ตั้งแต่ได้วัตถุที่หยาบไปจนถึงได้สาระในจิตใจที่เป็นนามธรรมละเอียด บริสุทธิ์ ว่าเราได้ความสุข ความสงบของจิตใจ ความร่าเริงเบิกบานใจบ้างไหม ต้องพยายามให้ได้ แต่ละวันก่อนจะนอนหลับ อย่างน้อยมันเครียดมาทั้งวันแล้ว มันเศร้าหมองขุ่นมัวมามาก เอาละก่อนจะนอน ให้มันยิ้มกับตัวเองได้ก็ยังดี ยิ้มในใจและทำใจให้ร่าเริง แม้แต่จะนอนก็ยังปรุงแต่งจิตใจของเราได้

เวลาจะนอน พอล้มตัวลงไป ก็วางตัวให้สบาย แล้วปล่อยมือปล่อยเท้า บอกกับตัวเองว่า สบาย และทำใจให้รู้สึกสบายอย่างที่ว่านั้น ทำใจอย่างนี้ให้เป็นการนำตัวเอง จิตใจของคนเรานี้มันทำตัวเองได้ พอเรานอนแล้วเราก็บอกตัวเองว่าสบาย แล้วก็ทำใจให้สงบสบายจริงๆ บางคนไม่เคยนึกไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ ใจไม่มีเวลาพักเลย ร่างกายก็เหมือนกันไม่ได้มีเวลาพัก แต่ถึงกายจะพักใจก็ไม่พักอีก คิดวุ่นวายงุ่นง่าน อย่างที่คนโบราณว่า กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว หมายความว่า ร้อนรุ่มตลอดเวลา

ฉะนั้น จึงต้องมีวิธีการ อย่างน้อยพอพักผ่อนกายแล้วก็ให้ใจได้พักด้วย บอกตัวเองว่าสบาย แล้วก็ทำใจให้ผ่อนคลายโปร่งเบา ให้ร่าเริงเบิกบาน ให้มีความสุข

ถ้าเกิดนอนไม่หลับ ก็อย่าไปทุกข์มัน บางคนนอนไม่หลับแล้วยังไปซ้ำเติมตัวเองอีก นอนไม่หลับอย่างเดียวก็แย่อยู่แล้ว ยังไปทุกข์กระวนกระวายเพราะความไม่หลับอีก โอย ทำไมเราจึงไม่หลับสักที กลุ้มใจ กังวลใจ ก็นอนทรมานเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น พอถึงตอนเช้าก็หวิวๆ โหวงเหวง จะเป็นลมเอา

ทีนี้ เอาใหม่ ถ้านอนไม่หลับ ก็ไม่เป็นไร ช่างมัน มีเทคนิคที่จะแก้ไขตั้งหลายอย่าง ลองอย่างพระท่านบอกว่าให้กำหนดลมหายใจ นับลมหายใจ หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ สัก ๕๐ ครั้ง บางคนนับไม่ทันครบหรอก หลับไปเมื่อไรไม่รู้ ก็ขอให้ลองนับลมหายใจดู

ทีนี้บางคนนับแล้วก็ไม่หลับ มีเหมือนกัน ๕๐ ครั้งก็ไม่หลับ ๑๐๐ ครั้งก็ไม่หลับ ไม่ต้องเป็นห่วง จะบอกให้อีก คาถาหนึ่งว่าหลับก็ช่าง ไม่หลับก็ช่าง ภาวนาเลย หายใจเข้า หลับก็ช่าง หายใจออก ไม่หลับก็ช่าง ทำใจให้สบาย มันไม่หลับทั้งคืนก็ช่างมัน ฉันไม่แคร์ พอทำอย่างนี้แล้วถึงเช้าก็ไม่เห็นค่อยเพลียเลย

อาตมาเคยป่วยแล้วนอนไม่หลับ ความเจ็บป่วยมันก่อกวน ก็ทำอย่างที่ว่านี้แหละ บอกในใจว่า หลับก็ช่าง ไม่หลับก็ช่าง เหมือนจังหวะรถไฟ ก็ได้ผล ถึงจะไม่หลับก็ไม่ค่อยเพลีย แต่คนที่ไม่หลับแล้วใจว้าวุ่นเป็นห่วงตัวเอง กังวลกับความไม่หลับนี่ พอถึงเช้าก็เพลียแทบแย่เลย

ฉะนั้น ไม่ต้องกลัว ถึงมันจะไม่หลับก็ช่างมัน เราได้พักใจของเราไปพอสมควรแล้ว พักใจเถอะ ถึงกายไม่พักก็ให้ใจมันพัก หลับก็ช่างไม่หลับก็ช่าง นี่ใจพักสบายเลย พอใจพักแล้วกายก็พลอยได้พักไปด้วย แม้ว่าจะไม่เต็มที่อย่างหลับ ก็สบายไปไม่น้อยเลย นี่แหละเป็นวิธีการต่างๆ

ตกลงว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว ได้ทุกวัน ชีวิตนี้ไม่สูญเสียเปล่า ได้กำไรเรื่อยไป เพราะฉะนั้น เอาคาถาของพระพุทธเจ้าไปใช้ คาถานี้ชะงัดศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ท่านว่า

อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหุเกน วา

เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง

ทีนี้ สำหรับคนที่มีความเพียร ขยันมากยิ่งกว่านี้ พระพุทธเจ้าทรงบอกคาถาไว้ให้สั้นกว่านี้อีก เมื่อกี้ยังยาวไป คราวนี้คาถาก็สั้นเข้าไป เวลาก็สั้นลงอีก ท่านว่า

ขโณ โว มา อุปจฺจคา

แปลว่า เวลาแต่ละขณะอย่าให้ล่วงไปเปล่า

นี่สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ท่านให้เพียรพยายามขนาดนี้ แม้กระทั่งแต่ละขณะก็อย่าให้ผ่านไปเสีย ถ้าแปลตามตัวอักษรก็ว่า เวลาแต่ละขณะอย่าล่วงท่านไปเสีย อย่าล่วงนี่หมายความว่า อย่าให้ข้ามตัวเราไป โดยเราไม่ได้ทำอะไร

นี่ก็เป็นคติต่างๆ ซึ่งอาตมาคิดว่าจะเป็นผลดี เป็นประโยชน์ในการทำงาน และในการดำเนินชีวิตของทุกๆ ท่านทุกๆ คน ก็ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นข้อคิดในทางธรรม

วันนี้อาตมาได้ใช้เวลาของที่ประชุมไปมากแล้ว คิดว่าพอสมควรแก่เวลา ก็ขออนุโมทนาแก่คุณโยมผู้เป็นประธานกรรมการ และท่านกรรมการอำนวยการ พร้อมทั้งคุณโยมโสภณ และคุณชาญวิทย์ เป็นต้น รวมทั้งพนักงานของบริษัททุกๆ ท่านที่ได้ต้อนรับ

เราได้มาพบกันในบรรยากาศของความยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งเป็นส่วนช่วยทำให้มีความสุข ก็ขอให้ความสุขเกิดขึ้นในใจของทุกท่าน แล้วคงอยู่ยั่งยืนและพัฒนาเพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป

แม้ท่านนายอำเภอ และท่านปลัดที่ได้มาเยี่ยมเยียน ก็ถือว่าเข้ามาอยู่ในวงแห่งความมีไมตรีจิตมิตรภาพนี้ด้วย ก็ขอให้ท่านได้รับพรจากความตั้งใจดีต่อกันทั้งทางฝ่ายบริษัทที่ตั้งใจดีต่อท่านนายอำเภอ และทั้งฝ่ายท่านนายอำเภอและท่านปลัดที่มีความปรารถนาดี มีมิตรไมตรีมาเยี่ยมเยียนชาวบริษัท ทั้งหมดนี้เป็นกุศลธรรมเกิดขึ้นในจิตใจของทุกๆ ท่าน

ในโอกาสนี้ อาตมา คณะพระสงฆ์ ก็ขอตั้งใจดีต่อทุกท่านด้วย ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร รตนตฺตยานุภาเวน รตนตฺตยเตชสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศล มีศรัทธาและเมตตาไมตรีธรรมที่เกิดขึ้นในจิตใจของทุกท่านนี้ จงเป็นปัจจัยอันมีกำลังอภิบาลรักษาให้ทุกท่าน เจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ประสบสรรพสิริสวัสดิพิพัฒนมงคล เจริญงอกงาม ร่มเย็นเป็นสุข ในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั่วกันทุกท่าน ตลอดกาลนาน เทอญ

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ปรุงแต่งสิ่งอื่นได้หลากหลาย ทำไมไม่ปรุงแต่งใจตัวเองให้เป็นสุข

No Comments

Comments are closed.