จะพบพระพุทธศาสนา เมื่อศรัทธามาบรรจบกับปัญญา และปัญหาที่หมักหมมมาก็จะหายไป

3 กันยายน 2546
เป็นตอนที่ 11 จาก 15 ตอนของ

จะพบพระพุทธศาสนา เมื่อศรัทธามาบรรจบกับปัญญา
และปัญหาที่หมักหมมมาก็จะหายไป

กระผมเองก็มีความเดือดร้อนในเรื่องการเข้าไปคราวนี้ รู้ตัวว่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เป็นกันต่างๆ ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะกลัว แต่ก็เป็นเรื่องของเหตุผลอย่างที่กราบนมัสการไว้แล้ว

ประเด็นนี้ติดอยู่ในใจ ก็คงอยากนมัสการถาม แต่ก็ไม่ชัดเจนไม่แน่ใจ เรื่องความควรมิควร แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับเอกสารมาชิ้นหนึ่ง ผู้ที่มาในคณะนี้ก็อยากให้กระผมได้สอบถาม ซึ่งก็ตรงกับความคิดกระผมอยู่พอดี

ถามว่า ตามแนวความคิดของท่านเจ้าคุณอาจารย์ ในการแก้ไขต่อการที่องค์กรของชาวพุทธซึ่งหลากหลาย ทำให้ชาวพุทธเกิดความแตกแยก ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้การพัฒนาของชาวพุทธมีผลกระทบนั้น จะมีการแก้ไขได้อย่างไร

อันนี้เป็นเรื่องที่หลายส่วนเข้าไปขายบุญกัน หลายส่วนไปขายอะไรกันก็ไม่ทราบ แล้วเช็คไปเช็คมา กระผมสรุปได้เลย “ผลประโยชน์” แล้วบอกได้เลย เป็นเรื่องของกลุ่มผู้ใกล้ชิด โดยที่ท่านเองอาจจะไม่ทราบ ท่านเองอาจจะนึกไม่ถึงก็มีอยู่ เป็นเรื่องดังที่ปรากฏเป็นข่าวสารกันเยอะแยะเลย ก็ขอกราบนมัสการว่า ปัญหาดังกล่าวจะแก้อย่างไร

พระธรรมปิฎก: เจริญพร อันนี้เป็นปัญหามานานแล้ว ในหมู่พุทธศาสนิชนหรือพุทธบริษัทไทยเรานี่ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีเอกภาพ กระจัดกระจายมาก แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นผลของความเสื่อมที่สะสมเหตุปัจจัยมานานแล้ว จึงปรากฏอาการขึ้นมา แม้แต่พฤติกรรมไม่ดีไม่งามอะไรต่างๆ ของพระที่มีมานานหลายปีนั้น ก็เป็นผลของการสะสมเหตุปัจจัยมายาวนาน

เคยพูดนานแล้ว ตอนที่เกิดแผลพุพองขึ้นมานี่ มันเป็นปรากฏการณ์จากปัจจัยที่สะสมมานาน ที่เลือดมันเสีย ฉะนั้นอย่าไปมัวติดอยู่แค่ฝีพุพองเลย ต้องไปดูข้างใน ว่าเหตุปัจจัยที่แท้เป็นอะไร แล้วไปจัดการที่นั่น จึงจะแก้ไขระยะยาวได้

การแก้ข้างนอก ก็ทำเฉพาะหน้าไปก่อน แต่ก็ต้องทำด้วย เป็นเรื่องชะงักกระแสไว้ระยะสั้น แต่จะแก้ให้ได้ผลจริงๆ ต้องแก้ระยะยาว

เรื่องของชาวพุทธที่ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี่แหละ ก็เลยเป็นช่องทางให้เกิดการอาศัยแอบแฝง เพื่อมาทำอะไรต่ออะไรที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา แล้วก็โผล่ออกเป็นอาการฝีพุพองอย่างที่ว่า

เพราะฉะนั้นปัจจัยอย่างหนึ่งก็คือ ขาดความต่อเนื่อง หมายความว่างานพระศาสนาที่เป็นเนื้อหาสาระนั้นขาดตอนไป เช่น แม้แต่ประเพณีบวชเรียนก็เหลือแต่รูปแบบเสียมาก เมื่อประเพณีตัวแท้เดิมขาดตอนไป ความหมายก็เสียหมด แม้ว่าประเพณีจะยังอยู่ แต่เนื้อหาสาระไม่มี ความหมายมันหายไป

จะเห็นว่า ประเพณีต่างๆ ที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ ค่อยๆ กลายความหมายและกลายรูปไป อย่างกฐินก็กลายเป็นกฐินทัศนาจร ทั้งๆ ที่ว่าประเพณียังสืบต่ออยู่ ในแง่หนึ่งก็แสดงว่าสังคมไทยดี ที่ประเพณียังอยู่ได้ แต่ความหมายชักจะหมด ต่อไปสาระก็จะไม่เหลือ

เราควรจะรู้ว่า ทัศนาจรนั้นมีได้ แต่ต้องเป็นส่วนประกอบ แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่า จัดกฐินเพื่อมุ่งไปทัศนาจร แล้วก็กฐินหาเงิน หาผลประโยชน์ ทำนั่นทำนี่ ไปๆ มาๆ ตัวสาระก็หาย

สาระทางนามธรรมก็เริ่มที่ความสามัคคี การที่ชาวบ้านหรือชาวจังหวัดนี้ นำกฐินไปทอดให้จังหวัดนั้น ก็เป็นการผูกไมตรี ส่วนทางโน้นก็มาแสดงน้ำใจทางนี้บ้าง เป็นความสามัคคีระหว่างพุทธศาสนิกชน และระหว่างพระกับชาวบ้าน ที่พูดอย่างนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น

ประเพณีที่สืบมาถึงปัจจุบันนี้ บางทีบางอย่างแทบจะเหลือแต่ซากแล้ว เพราะเนื้อไม่มี สาระและความหมายมันหมดไป ฉะนั้นก็ยิ่งเป็นช่องโหว่ให้เกิดปัญหาซ้อนขึ้นมาอีก

เหมือนกับขวด เมื่อเนื้อข้างในหายไป แต่ขวดยังอยู่ ท่านเอาขวดไปใส่เหล้าเสียนี่ ขวดของเดิมนั้นใส่ของดีอยู่ แล้วทีนี้เนื้อในมันหายไป เขาก็เลยนำขวดนั้นไปใส่ของไม่ดี ถึงตอนนี้รูปแบบก็อันเดิม แต่เนื้อไม่ใช่ และอาจจะกลายเป็นของเสียไปแล้วก็ได้

เรื่องนี้เราต้องยอมรับความจริงแล้วค่อยๆ แก้กันไป บางทีมันเป็นอาการที่ยังจัดลงตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ให้โอกาส อย่างเวลานี้ที่มีองค์กรชาวพุทธกลุ่มต่างๆ ขึ้นมา ชาวบ้านก็ไม่มีศักยภาพที่จะทันกับสถานการณ์ ไม่มีกำลังเช่นความรู้ความเข้าใจที่จะมาตัดสิน หรือที่จะมาเรียกร้องเอากับองค์กรพวกนี้ แต่กลับเป็นเหยื่อถูกชักจูงไปด้วยซ้ำ

ถ้าชาวบ้านยังเป็นพุทธบริษัทที่มั่นคง ยังอยู่ในวิถีชาวพุทธจริงๆ เขาก็รู้เข้าใจรู้เท่าทันหมด เวลาเกิดองค์กรหรือจะเรียกว่ากลุ่มอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำการไม่ถูกต้อง ชาวบ้านก็ไม่สนับสนุนเลยหรือบีบเลย มันก็อยู่ไม่ได้

แต่ตอนนี้ทุนในทางมวลชนไม่มี มวลชนชาวพุทธเหมือนเป็นอัมพาต ไม่มีกำลัง ไม่มีความสามารถอะไรที่จะมาช่วยกันดูแล แม้แต่จะดูออกว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นพุทธไม่เป็นพุทธก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นระบบควบคุมก็เสียไปหมด ใครจะมาอ้างว่าอะไรเป็นพุทธ ก็ตั้งองค์กรขึ้นมา ต่อไปก็อาจจะมีองค์กรหวยพุทธเลยได้ไหม ถ้าองค์กรหวยพุทธเกิดมีขึ้นมาจะว่าอย่างไร ชาวพุทธไม่รู้เรื่อง ใครไปสนองความต้องการของแกอาจจะเอาก็ได้นะ

เพราะฉะนั้น ในระยะยาวต้องค่อยๆ แก้ แต่รวมความก็คือเราต้องดูด้วยความรู้เท่าทัน ว่าอ๋อมันเป็นอย่างนี้ สภาพสังคมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา อันนี้คืออาการแสดงออก

แต่เมื่อมองในแง่ดี มันก็เป็นโอกาสให้ตะล่อม เพราะมันโผล่ขึ้นมาแล้ว เมื่อมันโผล่ขึ้นมาแล้วเป็นองค์กรนี้ กลุ่มนี้ เป็นอย่างไร เราศึกษาเลย ว่ามีกลุ่มที่แสดงภาวะอาการของโรคอะไรบ้าง แล้วก็ค่อยๆ ตะล่อมเข้าสู่การแก้ไข

อีกสิ่งหนึ่งที่เราขาดก็คือ ผู้นำชาวพุทธ หมายถึงผู้นำที่เป็นแกน ที่พูดอะไรขึ้นมาคนก็ฟัง เชื่อ แล้วก็เห็นคุณค่า แล้วก็ทำให้หมู่ชนมีแนวทางที่จะพิจารณาตัดสินสิ่งต่างๆ

ความเป็นผู้นำตอนนี้เรายังน้อย ยังอ่อน เพราะฉะนั้นพร้อมกับการแก้ปัญหาต่างๆ ต้องสร้างผู้นำขึ้นมา ถ้าทำอันนี้ได้ พอถึงจุดหนึ่งองค์กรกลุ่มอะไรต่ออะไร จะค่อยๆ หายละลายไป

ก็มองไปในแง่ดีก็แล้วกัน ว่านี่คือ อาการของโรคที่เราจะได้มีโอกาสรู้ตัวโรค ถ้าอาการของโรคไม่ปรากฏ เราจะไม่สามารถไปสืบหาสมุฏฐานได้ ตอนนี้เราจะได้อาศัยอาการของโรค ไปสืบสาวตรวจดูให้รู้สมุฏฐาน เพื่อหาทางแก้ให้ถูก

พร้อมกันนั้นก็พัฒนาในเชิงบวกไปด้วย คือ สร้างความเป็นผู้นำชาวพุทธที่แท้ขึ้นมา เมื่อความรู้ที่เป็นปัญญามันมี อะไรๆ ก็ค่อยๆ มา ถ้าเขาเชื่อถือแล้ว ปัญญากับศรัทธามาบรรจบกันเมื่อไร พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้น

ตอนนี้มีศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา ศรัทธายังมี ก็ยังดีนะ ถ้าไม่มีศรัทธาเหลือซิแย่ ตอนนี้ศรัทธายังอยู่ เรายังมีแง่ดีอยู่ ทุนเดิมยังเหลืออยู่ เมื่อศรัทธายังอยู่ ก็ต้องเดินหน้าว่า ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาด้านปัญญาขึ้นมา พอปัญญากับศรัทธามาบรรจบกันปั๊บ พุทธศาสนาเด่นเลย

เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อใจ อาศัยศรัทธาที่มี แม้มันจะไม่ค่อยถูก ก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ต้องดึงเข้ามาสู่ทางด้วยปัญญา

พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กราบขอบพระคุณครับ ก็เป็นเรื่องที่กระผมเองคงจะต้องไปรับเรื่องนี้ เพราะว่า พอเขามองว่าผมไม่ไปเป็นพวกเขา เขาก็คงจะเพ่งจะจ้องมอง คือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่กระผมไม่สามารถจะเข้าไปร่วมได้ เนื่องจากเขาไม่ปฏิบัติไม่ดำเนินการในหลักของพระพุทธศาสนา

แต่ในขณะเดียวกัน กระผมเองก็มีประสบการณ์เรื่องนี้ในขณะที่เป็นผู้บัญชาการศึกษา คือ ในที่ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา กระผมก็ต้องถอนออกมา ตอนนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร

แต่ต่อไปนี้อาจจะเกิดปัญหาขึ้น เพราะถ้ามีการถือเป็นพวกเป็นฝ่ายขึ้นมา อันนี้ก็คงจะลำบาก กระผมก็คงจะรับเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ ในแง่ที่ว่าถ้าไม่ใช่หลักในพระพุทธศาสนา แล้วไปทำให้เกิดการเบี่ยงเบนขึ้นมา

อย่างที่ได้เมตตาเคยแนะนำสั่งสอนไว้ว่า ยิ่งเอาพุทธศาสนิกชนไปเข้าเรื่องเหล่านั้นมากเท่าไร ยิ่งเสียหายมากเท่านั้น จะไปเอาเรื่องศีลธรรมอย่างเดียว มันไม่ได้ ฉะนั้นกระผมก็ยังยืนยันอยู่เหมือนเดิมนะครับ

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ศิลปวัฒนธรรมสืบจากพระศาสนา แล้วมาสื่อคุณค่าของพระศาสนาความหมายที่แท้ของนารายณ์อวตาร ก็ยังไม่รู้ จะได้บทเรียนอะไรที่จะมารักษาพระพุทธศาสนา >>

No Comments

Comments are closed.