ศิลปวัฒนธรรมสืบจากพระศาสนา แล้วมาสื่อคุณค่าของพระศาสนา

3 กันยายน 2546
เป็นตอนที่ 10 จาก 15 ตอนของ

ศิลปวัฒนธรรมสืบจากพระศาสนา
แล้วมาสื่อคุณค่าของพระศาสนา

อาตมภาพอยากจะแทรกเข้ามาตรงนี้นิดหนึ่ง คือเรื่องศิลปวัฒนธรรม ซึ่งควรจะศึกษากันว่า ในสังคมไทยนั้นศิลปวัฒนธรรมเป็นส่วนขยายงอกออกมาจากพระศาสนา แล้วก็มาเป็นส่วนประกอบช่วยเสริมพระศาสนาขึ้นไป แล้วก็มาด้วยกันโดยตลอด

ตอนนี้เราคงต้องมาดูว่า งานทางศิลปวัฒนธรรมนั้น มีอะไรที่พระจะทำได้บ้าง โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องเนื่องกับวัด เพราะวัดนี่ที่จริงเดิมเป็นแหล่งเกิดของวัฒนธรรมที่แพร่หลายออกไป ศิลปวัตถุ ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม เกิดขึ้นที่วัดทั้งนั้น

ศิลปวัฒนธรรม ตอนนี้ก็ตั้งเป็นกระทรวงไปแล้ว ถ้าเราจับอันนี้ได้ ก็ต้องมองว่า ทำอย่างไรจะเอามาโยงกับเรื่องของพระศาสนา เพราะที่จริงแยกกันไม่ได้โดยเด็ดขาด

เรื่องวัฒนธรรมก็ไปจากพระศาสนาและเพื่อพระศาสนา ทำไมเราทำงานสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมขึ้นมา ก็เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากพระศาสนา จึงทำให้เกิดวัฒนธรรม ทำให้เกิดศิลป และการที่เกิดการสร้างสรรค์ผลงานที่เขาเรียกว่า งานรังสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรม ขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่อมาจรรโลงพระศาสนาอีกนั่นแหละ

ศิลปวัฒนธรรมเป็นที่แสดงออกของศรัทธา และจินตนาการจรรโลงใจจากพระศาสนา และพร้อมกันนั้นมันก็มาเกื้อหนุนพระศาสนา เพื่อมาช่วยกิจการพระศาสนาต่างๆ ไม่ว่าดนตรี ไม่ว่าจิตรกรรม ไม่ว่าศาสนวัตถุต่างๆ อย่างที่เราหล่อพระพุทธรูปอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็มาจากเรื่องพระศาสนาทั้งนั้น

ที่พูดนี้ มิได้หมายความว่าทุกอย่างในศิลปวัฒนธรรมไทยมาจากพระพุทธศาสนา แต่บอกได้ว่ามีพระพุทธศาสนาเป็นหลัก เป็นแหล่งใหญ่แห่งแรงบันดาลใจ และวัดเป็นศูนย์รวมใหญ่แห่งชีวิตของชุมชน

อย่างที่รู้กันดีว่า ในสังคมไทยแต่เก่าก่อน แม้แต่เรื่องสนุกสนานบันเทิงของชาวบ้าน การมหรสพในคราวใหญ่ๆ ก็ไปมีกันที่วัด ถึงจะว่าไม่ใช่กิจของพระ แต่ในเรื่องอย่างนี้ คนโบราณก็มิใช่โง่ เขารู้ว่า ในเรื่องนั้นๆ ส่วนของธรรมกับส่วนของกาม จะโยงกันที่จุดไหน จะแยกกันที่จุดใด และจะร่วมหรือจะเริดกันในแง่ไหนๆ

ถ้าเราไม่สามารถโยงเรื่องนี้ได้ ต่อไปวัฒนธรรมก็จะลอยเคว้งคว้างด้วย พอวัฒนธรรมขาดลอยออกไป วัฒนธรรมนั้นก็จะหยุดจะนิ่งตาย กลายเป็นเพียงเรื่องของอดีต คือเป็นซากของอดีต ที่มีค่าเพียงด้านพาณิชย์ หรือเป็นเรื่องของธุรกิจไปเลย จึงต้องสืบสานให้ได้ เพราะวัฒนธรรมสืบเนื่องมาจากเก่า ถ้ากระบวนความสืบเนื่องขาดตอนไป มันก็ขาดความหมาย ความหมายก็ด้วน แล้วต่อไปมันก็เสื่อม

เพราะฉะนั้นจะต้องผูกโยงกัน กับตัวปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือองค์ประกอบที่ร่วมกันอยู่เดิมนี้ให้ได้ ถ้าเป็นคนที่เก่งจริง ก็จะต้องสืบให้ได้ว่า ศิลปวัฒนธรรมส่วนนี้ แง่นี้ มันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร

อย่างเรื่องวรรณคดี ส่วนใหญ่ก็มาจากเรื่องทางพระศาสนา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจและจินตนาการขึ้นมา หรือไม่ก็แฝงความเชื่อ ความหมาย หรือคติทางพระศาสนาไว้ เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ แม้แต่ดูงานของพระ พระเก่าๆ ก็มีงานทางศิลปวัฒนธรรมด้วย เพราะเป็นงานพระศาสนา

ทีนี้พอสังคมเชื่อมทุกส่วนประกอบได้หมด ก็จะมองเห็นโยงกันหมดเลยทั้งสังคม แต่เวลานี้มันโยงกันไม่ได้ สังคมไทยจึงเหมือนกับเป็นสังคมแยกส่วน ตอนนี้แม้แต่เรื่องวัฒนธรรมก็เหมือนจะแยกไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว สังคมที่จะดีต้องสามารถสานโยงองค์ประกอบทุกอย่างให้สัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ทั้งหมดก็คืออันเดียว แล้วแต่ละอย่างก็เป็นแง่มุมด้านต่างๆ ของสิ่งเดียวนั่นแหละ และส่วนเหล่านั้นก็มาหนุน มาเกื้อ มาเป็นปัจจัยเสริมกันในแง่ต่างๆ แล้วก็ไปด้วยกัน ถ้าไม่เห็นความสัมพันธ์อย่างนั้นมันจะไปด้วยกันได้อย่างไร

ศิลปวัฒนธรรมนั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องใหญ่มากที่เจริญคู่มากับพระศาสนา โดยมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้พระศาสนาสื่อออกไปสู่สังคมในวงกว้าง ไปสู่ประชาชนได้ทุกระดับ แล้วก็มีความหมายถึงการสื่อความเป็นชาติอีกด้วย กลายเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่โยงอะไรต่ออะไรไปหมด จนถึงเอกลักษณ์อะไรๆ มากันเป็นแถวเลย

ถ้าเราโยงไม่ได้ ก็หมายความว่าเราจะไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์สังคมโดยรวม เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นจุดหนึ่งที่ควรจะพยายามทำให้ได้ แล้วพระกับโยมก็มาร่วมมือกันในเชิงศิลปวัฒนธรรมด้วย เพราะนี่เป็นส่วนที่จะโยงจากตัวเนื้อแก่นคือธรรมะ ออกไปสู่สังคม โดยอาศัยสื่อทางวัตถุและรูปธรรม ตลอดจนนามธรรมที่พอสัมผัสได้ง่าย

หมายความว่า พระจะเอาเนื้อไปพูดทันที บางคนก็รับได้ บางคนก็รับไม่ได้ จึงเกิดมีรูปแบบที่พัฒนาเป็นศิลปวัฒนธรรมขึ้นมา แม้แต่ประเพณีการกราบไหว้ เริ่มต้นก็ต้องมีการกราบพระเป็นแบบ มีคำไหว้พระเป็นแบบ มีการรับศีล มีการอาราธนาศีล มีการอาราธนาธรรม อะไรต่างๆ เหล่านี้

วัฒนธรรมประเพณี ทั้งวัตถุ ทั้งนามธรรม เกิดขึ้นมา ก็เพื่อสื่อกับประชาชน เอาเนื้อหาสาระออกไปสู่สังคมวงกว้าง โดยวิธีการที่หลากหลาย ให้สนองความต้องการของประชาชน ในระดับต่างๆ กัน

คนที่เอาเนื้อมาปุ๊ป ให้ไปปั๊ป รู้ปั๊ป ได้ปุ๊บ ก็มีอยู่ แต่น้อยเหลือเกิน ส่วนใหญ่ต้องมีเครื่องสื่อ เพราะฉะนั้นศิลปวัฒนธรรมก็คือ เครื่องมือสำคัญที่เป็นสื่อ เพื่อให้พระศาสนาส่วนเนื้อแท้ที่เป็นสาระของธรรมะแพร่ออกไปสู่สังคม ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน แล้วก็ออกมาในรูปของความงดงาม เป็นความงดงาม ที่มากับความดีงาม

ศิลปวัฒนธรรมนี่เป็นเรื่องของความงาม เรามีพระศาสนาเป็นความดี แล้วก็มีศิลปวัฒนธรรมที่เป็นความงามมาด้วย ความงามเข้าถึงประชาชนง่ายกว่าความดี เมื่อดีได้รับการแต่งสรรให้งาม หรือแม้แต่สวยงาม แล้วมันก็ล่อใจให้คนอยากจะรับดีด้วย

ทีนี้เราต้องให้งามไปกับดี ถ้าจะให้แต่งามไปอย่างเดียว บางทีก็ไม่มีเนื้อหาสาระ ตอนนี้สังคมกำลังจะมีปัญหา เพราะจะเอาแต่งาม ซึ่งเมื่อขาดดี ในไม่ช้าก็หมดงามไปด้วย เพราะเมื่องามนั้นไปเปื้อนด้วยความสกปรก ก็หมดงาม กลายเป็นว่าที่จริงไม่งามเลย เพราะฉะนั้นจะติดแต่งามโดยไม่มีดี จึงไปไม่ตลอด

ให้งามไปกับดี ก็คือ ศิลปวัฒนธรรมนั้นสืบออกมาจากพระศาสนา แล้วก็มาสื่อพระศาสนาด้วย ให้โยงกันอยู่ แล้วมันก็ได้ทั้งดี ทั้งงาม

พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมมีประสบการณ์เรื่องนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ สรุปเรื่องของท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่พูดทั้งหมด ที่มีปัญหาเพราะผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในบ้านเมืองไม่เข้าใจ

กระผมพบด้วยตัวเอง คือมีการประชุมเรื่องเอกลักษณ์ของชาติ โดยกระทรวงวัฒนธรรม กระผมก็ติดต่อกับผู้ที่เข้าไปร่วมประชุมว่า อยากจะไปพูดเรื่องของพระพุทธศาสนา เพราะว่าจะเชื่อมโยงเข้าไป

ทางผู้ที่มีอำนาจที่มาประชุมเรื่องเอกลักษณ์ก็บอกไม่เกี่ยว วัฒนธรรมเอกลักษณ์ของชาติไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

พระธรรมปิฎก: แสดงว่า ขออภัย ความรู้ของท่านที่พูดมานั้นไม่มี ท่านไม่รู้เรื่องราวเป็นมา

พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ผู้ที่พูดเป็นผู้อยู่ระดับสูงอย่างน่าตกใจ ที่พูดคำนี้ออกมา กระผมก็เลยต้องถอย

กระผมก็พิจารณาว่า ตราบใดก็ตามถ้าเราเป็นคนอื่นที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงไปพูด ไม่มีความหมาย

เพราะฉะนั้น บัดนี้มีโอกาสแล้ว ก็จะรับคำแนะนำสั่งสอนไปทำต่อนะครับ

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< พูดและทำเชิงสร้างสรรค์ รู้จักสื่อสารและสลายปัญหาจะพบพระพุทธศาสนา เมื่อศรัทธามาบรรจบกับปัญญา และปัญหาที่หมักหมมมาก็จะหายไป >>

No Comments

Comments are closed.