หันกลับมามองใกล้ตัว ในประเทศไทยเรานี้เอง มามองดูว่า มีใครบ้างที่จะมีฐานะเป็นผู้นำ หรือสามารถเป็นผู้นำการศึกษาทางพระพุทธศาสนา หรือว่าต้องการที่จะเป็นผู้นำบ้าง ผู้ที่มีท่าที อาจจะต้องการความเป็นผู้นำการศึกษาพระพุทธศาสนาสถาบันหนึ่ง ก็คือ วาติกัน ย้อนหลังไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง หลายท่านในที่นี้ก็คงจำกันได้ว่า ทางคณะหรือชุมนุมผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนา ได้พิมพ์เอกสารที่เรียกว่า ปกปิด หรือเป็นความลับที่ได้มาจากคริสตศาสนาขึ้น ในนั้นก็มีเอกสารรายงานการประชุมของบาทหลวงผู้ใหญ่ของคริสตศาสนา ซึ่งเป็นชั้นบิชอพ เรียกตามศัพท์ทางสภาคาทอลิกว่าสังฆราช ได้ประชุมกันที่วิทยาลัยแสงธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันแล้ว ได้อ่านแล้วก็เอามาทบทวน เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องนี้ อ่านให้ฟังหน่อยก็ได้
การประชุมพิจารณาที่ประชุมบาทหลวงใหญ่นั้น ประธานนำภาวนาเปิดประชุม และแจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงวัตถุประสงค์ของการประชุม ซึ่งพอสรุปได้ว่า พระคุณเจ้า ยอน ยาโด ประธานสำนักเลขาธิการ เพื่อผู้ไม่นับถือคริสตศาสนาโรมันคาทอลิก ได้เสนอผ่านทางพระสมณทูต เรนาโต ราฟาเอเล มาร์ติโน ให้จัดตั้งสถาบันพุทธศาสน์ หรือ Buddhist Institute ขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อ เป็นศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาสำหรับเอเชีย โดยทางกรุงโรมมีทุนก้อนหนึ่งเพื่อโครงการนี้ สภาพระสังฆราชได้รับหลักการแล้ว และแต่งตั้งให้พระคุณเจ้ารัตน์ (นี้หมายถึง บิชอพรัตน์ บำรุงตระกูล ที่เมืองเชียงใหม่โน้น) เป็นผู้รับผิดชอบ จัดการประชุมเพื่อริเริ่มงานชิ้นนี้ วาระที่ ๒ เปิดอภิปรายประเด็นต่างๆ ที่สำคัญคือ สถาบัน วัตถุประสงค์ บุคลากร สถานที่ การเงิน ซึ่งสรุปเป็นข้อตกลงได้ดังนี้
๑. ชื่อสถาบัน ในสภาพการณ์ เช่นในประเทศไทย ที่ประชุมเห็นว่า ชื่อที่เหมาะสมที่สุดคือ ศูนย์ศาสนสัมพันธ์ หรือ Center for Interreligious Dialogue หรือชื่อเดิมนั้นว่า Buddhist Institute หรือสถาบันพุทธศาสน์ แต่ชื่อที่ใช้สำหรับปัจจุบันว่า ศูนย์ศาสนสัมพันธ์ ซึ่งแม้ว่า จะเป็นชื่อที่กินความกว้างมาก แต่ศูนย์นี้จะเน้นหนักด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
๒. วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมงานด้านศาสนสัมพันธ์ เป็นต้น เพื่อเป็นศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งด้านวิชาการและด้านปฏิบัติ ดังนั้นเป้าหมายใหญ่ ๔ ประการ ที่จะต้องจัดทำเพื่อ บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว มีดังนี้คือ
๒.๑ ห้องสมุดศูนย์รวมหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ สำเนาหนังสือต้นฉบับที่หายาก รวมทั้งอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ เช่น ไมโครฟิล์ม เป็นต้น
๒.๒ สถานที่ทำงานหรือออฟฟิศ สำหรับพนักงานประจำ
๒.๓ จัดให้มีการศึกษาในรูปสัมมนาหรือปาฐกถา หรือทำสมาธิ ที่ศูนย์ หรือตามสถาบันต่างๆ
๒.๔ จัดให้มีการออกวารสารหรือเอกสารต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้และกิจกรรมของศูนย์
และก็มีอะไรต่อๆ ไป เป็นเรื่องของการประชุม
อันนี้ก็มองได้ว่า ทางวาติกัน หรือโดยเฉพาะเข้ามาในวงแคบ คือ ทางศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย ก็แสวงความเป็นผู้นำในทางการศึกษาพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ซึ่งอันนี้น่าจะเป็นไปได้เพราะเป็นส่วนสำคัญในการสนองแนวความคิดที่ทางศาสนจักรคาทอลิกได้ริเริ่มขึ้นมาแล้ว คือ แนวความคิดที่จะให้ถือว่า พระพุทธศาสนาเป็นส่วนเบื้องต้น ซึ่งเป็นทางเดินที่จะนำเข้าสู่คริสต์ศาสนา อันนี้อาตมภาพกล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่า เราได้ประมวลความคิด ประมวลหลักฐาน เท่าที่ทางวาติกันและศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย ได้เขียนทฤษฎีคำสอนคำอธิบายอะไรต่างๆ ออกมามากมาย พอที่จะสรุปเป็นคำกล่าวนี้ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่จะพูดขึ้นมาลอยๆ หรือโดยที่อยากจะชวนเชื่ออะไร ก่อนที่จะพูดก็ต้องคิดก่อนว่า เขาทำอย่างนี้จริงหรือไม่ เราได้ประมวลแล้ว เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง จึงกล้าพูด ในเมื่อแนวความคิดนั้นเป็นไปในแบบที่ว่า ให้ถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนเบื้องต้น ซึ่งเป็นทางดำเนินเข้าสู่คริสตศาสนา เพราะฉะนั้น การที่จะศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาก็เป็นเรื่องสำคัญ
อย่างที่วิทยาลัยแสงธรรมที่ฝึกบาทหลวง หลายท่านก็รู้อยู่แล้ว บางท่านก็ไปสอนอยู่ที่นั่น ก็รู้อยู่ว่ามีหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนา บาทหลวงที่จะเรียนจบไปทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส (แอบบอท) เป็นต้น ก็ต้องเรียนวิชาพระพุทธศาสนาด้วย วิชาพระพุทธศาสนาเท่าที่จำได้มี พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาทั่วไป ประวัติพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พุทธจริยศาสตร์ พิธีกรรมในพระพุทธศาสนา สมถวิปัสสนากรรมฐาน
นี้เป็นตัวอย่าง หมายความว่าบาทหลวงก็เรียนพระพุทธศาสนามาก ซึ่งมันอาจจะเป็นไปได้ว่า ต่อไปผู้ที่เรียนจบเป็นบาทหลวงเกิดมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาดีกว่าผู้ที่เรียนจบ ป.ธ.๙ หรือพุทธศาสตรบัณฑิต หรือ ศาสนศาสตรบัณฑิต ถ้าหากเป็นอย่างนั้นมันก็น่าขำ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ทีนี้การที่จะแสวงหาความเป็นผู้นำนี้ มันก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน แต่ละหน่วย แต่ละกิจการ แต่ละประเทศ ที่จะทำได้ เราจะว่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิที่จะทำ แต่ข้อที่น่ารังเกียจ สำหรับศาสนจักรคาทอลิก ก็ตรงที่ว่าดูจะเป็นนโยบายที่ไม่ค่อยซื่อตรงต่อกัน โดยเฉพาะเรื่องของธรรม เรื่องของศาสนา ควรจะมีความซื่อตรงจริงใจ ถ้ามีการทำแบบซ่อนเร้น หรือการมาลักลอบเอาไป เพื่อจะใช้สนองนโยบาย หรือดำเนินกลอุบายในการที่ทำพระพุทธศาสนาให้เป็นทางที่จะนำเข้าสู่คริสตศาสนาอะไรอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี ซึ่งเราควร บอกกล่าวว่าไม่ควรทำ หรือขอร้องว่า อย่าทำเลย
ที่พูดเมื่อกี้นี้ว่ามีคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาอาจจะไปเจริญทางยุโรป อเมริกา แล้วคริสต์ศาสนาอาจจะมาเจริญทางเอเชีย หรือในประเทศพวกด้อยพัฒนาทั้งหลายนี้ก็มีเค้าอยู่ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ ก็ได้พูดไปแล้วว่าพระพุทธศาสนาไปเจริญที่ยุโรป อเมริกาอย่างไร ทีนี้ทางตรงกันข้าม เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน มีบริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ส่งฝรั่ง ๒ คนไปที่วัด พอไปถึงก็ปรากฏว่าเป็นนักหนังสือพิมพ์ชาวฝรั่งเศส เขาไม่ได้สนใจพระพุทธศาสนามาก่อน แต่เกิดมาสนใจขึ้นในเมื่อมาเห็นความเป็นอยู่ของประชาชนในกรุงเทพฯ ก็จึงอยากจะถามเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แกก็ไปที่วัด แกบอกว่า แกได้มาเห็นชีวิตของชาวพุทธแล้วประทับใจ ได้เห็นคนตักบาตร และเห็นหน้าตาคนไทยมีความสุข แกมานึกว่า เอ! พวกชาวพุทธนี่ยังสนใจศาสนาดีอยู่ แล้วก็มีความสุข ศาสนานี้มีลักษณะไม่ violent (ไม่รุนแรงหรือไม่เบียดเบียน) เป็น non-violent ก็เลยเกิดความประทับใจ
แล้วเขาก็เล่าต่อไปว่าต่างจากประเทศฝรั่งเศส ที่ประเทศฝรั่งเศสนั้น ตอนนี้ประชาชนไม่สนใจศาสนากันเลย โบสถ์ปิดตามๆ กันไปหมด แล้วก็ไม่มีคนมาบวชเป็นบาทหลวง เป็นแม่ชี หาผู้ทำพิธีได้ยาก เวลาจะทำพิธี บางทีต้องไปเอาบาทหลวงมาจากที่อื่น บาทหลวงที่เดียวต้องไปทำพิธีข้ามถิ่นหลายๆ ถิ่น แล้วทีนี้โบสถ์ที่ปิดนั้น ก็มีรูปหล่อ รูปปั้นของพระแม่มาเรียบ้าง ของพระเยซูบ้าง ทำด้วยทองก็มี ทำด้วยเงินก็มี คนก็มาลักเอารูปหล่อนั้นไปหลอม เอาทองไปขาย เขาบอกว่า นี้เป็นสภาพของคริสต์ศาสนาในประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน แล้วในแง่ของการศึกษาก็ตรงกันข้าม คือ คนที่จะเข้าโรงเรียนคริสต์ศาสนาได้ต้องเป็นคนร่ำรวย มีเงินมีทอง ตรงกันข้ามในประเทศไทย คนที่มาเรียนวัด เป็นคนจน อย่างเช่นพวกพระนี่ก็เป็นคนชนบท ไม่มีเงินมีทอง เป็นลูกหลานตาสีตาสา
อันนี้เป็นสภาพที่เขามาเล่า ซึ่งเป็นเรื่องเดิม เราก็ได้ยินกันอยู่แล้วว่า ในยุโรปในอเมริกานั้น เรื่องการขายโบสถ์ ให้เช่าโบสถ์ทำกิจกรรม เป็นเรื่องมีแพร่หลายอยู่ทั่วไป แม้วัดไทยเราที่ไปตั้งในอเมริกา บางทีก็ต้องไปซื้อโบสถ์ฝรั่งมาทำวัด แต่เราก็ไม่ได้ยินมากถึงขนาดนี้ เราเป็นห่วงในเมืองไทยว่ามีการลักตัดเศียร เอาพระพุทธรูปไปขาย อะไรต่ออะไร แต่ในเมื่อได้ยินว่าในเมืองฝรั่งก็เป็นเหมือนกันและเมืองฝรั่งอาจจะร้ายกว่า เพราะว่า เมืองไทยเราลักตัดเอาไปในแง่ที่เป็นศิลปวัตถุ ส่งไปขายให้กับฝรั่ง นอกจากนั้น ของเรายังมีคำที่บ่นกันในทางตรงกันข้ามคือ เราบ่นกันว่า คนหล่อพระกันมากมายจนเกินใช้เกินความต้องการ ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็หมายความว่าทางฝรั่งนั้นนะ มีของเก่าแล้วก็หลอมทำลายหมดไป เขาไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ แต่ของเรานี้ของเก่าตัดไป ของใหม่ก็สร้างขึ้นมาจนเหลือล้น นี้ก็เป็นข้อพิจารณาในแง่ต่างๆ
ทีนี้ หันมาดูทางเอเชีย สภาพมันตรงกันข้าม อย่างประเทศเกาหลีตอนนี้มีปัญหามากแล้ว ปรากฏว่า ทางคริสต์ศาสนากำลังเป็นต่อคือกำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เกาหลีในที่นี้หมายถึงเกาหลีใต้ เพราะเกาหลีเหนือนั้นเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่นับในที่นี้ เกาหลีใต้นั้นเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามายืนนานเป็นพันๆ ปี ต่อจากประเทศจีน แต่มาในปัจจุบันนี้ทางคริสต์ศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น อาตมภาพก็ไม่รู้ว่าเจริญรุ่งเรืองถึงแค่ไหน จนกระทั่งครึ่งเดือนมานี้มีพระฝรั่งองค์หนึ่งถ่ายเอกสารหนังสือพิมพ์ในประเทศแคนาดามาให้ดู เป็นจดหมายของพระเกาหลีที่ไปอยู่ในโตรอนโต ในประเทศแคนาดา เขียนไปถึงพระสันตปาปา ในโอกาสที่พระสันตปาปาหรือโป๊ป เสด็จไปเยือนประเทศเกาหลี เป็นจดหมายที่ขอร้องให้โป๊ปช่วยบอกกล่าว สั่งสอน หรือสั่งแก่นักเผยแพร่คริสต์ศาสนาใน ประเทศเกาหลี อย่าให้เบียดเบียนพระพุทธศาสนา แล้วท่านก็ได้บรรยายถึงสภาพการณ์ที่พระพุทธศาสนาถูกนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์เบียดเบียนไว้มากมาย นี่ก็เป็นเรื่องที่เราควรจะพิจารณา หมายความว่า พระพุทธศาสนาในเกาหลีกำลังอยู่ในฐานะย่ำแย่ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นพุทธ แต่คริสต์ศาสนากำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้น แล้วก็มีพลังเหนือกว่า
อาตมภาพจะอ่านข้อความบางตอนให้ฟังพอให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร จะจริงหรือไม่จริงก็ลองสืบสวนกันดู เพราะนี้เป็นจดหมายของพระเกาหลี แต่มีไปถึงพระสันตปาปา ก็คงจะต้องเป็นความจริงอยู่ จะอ่านเฉพาะบางตอน เขาบอกว่า ทางฝ่ายคริสต์ศาสนาทำการข่มเหงเบียดเบียนแก่ทางพระพุทธศาสนา เช่นพระเกาหลีองค์หนึ่งเป็นพระในพระพุทธศาสนา ไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า อยู่ในภูเขา แต่ทางฝ่ายคริสต์เอาชื่อมาโฆษณาลงพิมพ์รูปด้วย บอกว่า พระองค์นี้ได้เปลี่ยนมาเป็นคริสต์แล้ว ทั้งที่พระองค์นี้ไม่รู้เรื่องเลย อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นวิธีการในการเผยแพร่ศาสนา นอกจากนี้ยังใช้วิธีการโฆษณาอะไรต่างๆ บอกว่า พระพุทธศาสนานั้น เป็นศาสนาที่ตายแล้วเป็น dead religion ใครนับถือ พระพุทธศาสนาก็ไปนรกไป hell เขาว่าอย่างนั้นนะ แล้วนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ก็ไปตามวัด ไป convert คือไปเปลี่ยนศาสนาพระภิกษุและพระภิกษุณีชาวพุทธ แล้วก็มีการจัดพิธีบูชาสวดมนต์เพื่อช่วยไถ่ถอนปลดปล่อยภิกษุและภิกษุณีให้พ้นจากอำนาจสิงสู่ของซาตาน มีการเอาสีแดงไปป้าย เอาขยะไปเทที่พระพุทธรูป หรือไม่งั้น ก็เอาขวานฟันพระพุทธรูป หรือเผาเสียด้วยไฟ ดังนี้เป็นต้น นี่เป็นคำบรรยายแสดงถึงสภาพพระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลี หมายความว่า ตอนนี้คริสต์ศาสนามีกำลังแข็งแรงขึ้น ก็แสดงท่าที่เป็นการเบียดเบียนข่มเหง เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ในฐานะที่เป็นชาวพุทธก็ควรติดตาม
แต่ความจริงสำหรับอาตมภาพนั้นไม่ได้ค่อยเอาใจใส่เรื่องนี้ ที่ได้ยินเรื่องอย่างนี้ก็เพราะเป็นเรื่องจรมา ตัวเองจรไปเจอเรื่องบ้าง เรื่องจรมาหาตัวบ้าง ไม่ได้เอาใจใส่ติดตามโดยตรง เพราะฉะนั้น ควรจะมีชาวพุทธที่สนใจคอยติดตามเรื่องนี้ ถ้าหากว่าสนใจติดตามก็คงได้เรื่องราวมากกว่านี้อีกมากมาย คือ ในเรื่องของการข่าว ในเรื่องของข้อมูล ข้อเท็จจริงนี่นะ เป็นสิ่งที่เราควรทราบไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยไว้ ส่วนเรื่องที่จะปฏิบัติก็มาคิดกันอีกทีว่าควรจะทำอย่างไร พระพุทธศาสนานั้นไม่ใช่ศาสนาแห่ง ความรุนแรง แต่เราจะประมาทไม่ได้เหมือนกัน อะไรที่ควรทำ ควรปฏิบัติ ก็ทำไป ที่พูดมาก็กินเวลา บางทีก็นอกเรื่องไปบ้าง เดี๋ยวจะออกไปนอกวง เรื่องการเป็นผู้นำการศึกษาทางพระพุทธศาสนา ขอผ่านเรื่องเหตุการณ์นี้
No Comments
Comments are closed.