(อุปสรรคและจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข)

9 ธันวาคม 2527
เป็นตอนที่ 5 จาก 6 ตอนของ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องการเป็นผู้นำเรื่องที่จะต้องทำและวิธีการทำในสิ่งที่จะต้องทำแล้ว เราก็จะต้องคำนึงถึงอุปสรรคด้วย ซึ่งรวมทั้งจุดอ่อนที่จะต้องแก้ไข สำหรับการศึกษาของคณะสงฆ์หรือชี้เฉพาะมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้น ก็มีจุดอ่อนมีอุปสรรค อย่างอุปสรรคอย่างแรกหรือข้อบกพร่อง จะว่าเป็นข้อบกพร่องก็ไม่เชิง ความจริงก็เป็นข้อดีด้วยซ้ำไป แต่ว่าเป็นจุดอ่อนในแง่วิชาการ หรือเป็นจุดเด่นจุดด้อย เป็นทั้งข้อดีข้อเสียอยู่ในตัวพร้อมๆ กัน ก็คือ การที่มหาวิทยาลัยสงฆ์มีภาระสำคัญ ๒ อย่างในเวลาเดียวกัน

อันที่หนึ่ง ก็คือเป็นสถาบันการศึกษาสำหรับเตรียมคนเข้าสู่สังคม อันนี้พูดตามวัฒนธรรมไทยโบราณที่เรามีประเพณีบวชเรียน แล้วเราก็ได้รับอิทธิพลของประเพณีนั้นสืบมาตอนนี้ ประเพณีมันบิด จะว่าบิดเบือนก็ไม่ใช่ แต่มันบิดเบี้ยวไป มันหดเหี่ยวไป ประเพณีบวชเรียนมันผิดเพี้ยนไปจากเดิม คือเดิมนั้นวัดเป็นแหล่งการศึกษาของทุกคนในสังคม แต่ต่อมาในเวลานี้วัดกลายเป็นแหล่งการศึกษาของผู้ด้อยโอกาสในสังคม มันเรียวแคบลงไป

ความจริงภารกิจนี้มันสืบต่อมาจากโบราณ คือการเตรียมคนเข้าสู่สังคม และภารกิจอันนี้ แม้จะหดเรียวกลายเพี้ยนไปแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ในปัจจุบัน เพราะว่าในขณะนี้ประเทศชาติกำลังมีปัญหาเรื่องความไม่เสมอภาคแห่งโอกาสในการศึกษา สถาบันภายนอกให้การศึกษาไม่ทั่วถึง ช่องทางรัฐตีบ ไม่มีกำลังทุนทรัพย์ ก็เข้าไม่ได้ เด็กยากจนก็มาบวชเณร แล้วบวชพระเรียนเพื่อจะออกไปทำงานให้แก่รัฐ คณะสงฆ์โดยส่วนรวมก็ทำหน้าที่นี้ โดยไม่ค่อยจะรู้ตัว ภาระนี้เป็นการช่วยประเทศชาติ ช่วยสังคม แต่พร้อมกันนั้นก็ทำให้ตัวเองแย่ลง ทรุดลง

ทีนี้ภาระที่ ๒ คือภาระในการให้การศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อสร้างบุคลากรของพระพุทธศาสนาเอง ภาระสองอย่างนี้บางทีมันก็ขัดแย้งกัน ทำให้ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ที่เห็นชัดก็คือภาระที่ ๑ นั้น มันอาจจะถ่วง เช่นในแง่ที่ว่าคนของเราส่วนใหญ่จะไม่มีความมั่นคงยั่งยืน คือจะต้องสึกไป เป็นประเพณีมานานแล้วว่าพระไทยคงจะประมาณไม่น้อยกว่า ๙๕ เปอร์เซ็นต์จะต้องสึก ในเมื่อคนของเราส่วนมากจะสึก เราก็ขาดบุคลากร กำลังคนจะขาดอยู่เสมอ อย่างที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นั้น ผลิตบัณฑิตออกมาใช้งานไม่ได้เท่าไร เดี๋ยวท่านก็ไปเสีย แล้วตัวเองก็แย่ไม่มีคนที่ทำงาน สภาวะอย่างนั้นทำให้ยากแก่การที่จะสร้างความเป็นผู้นำการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีบุคคลที่จะทำงานอยู่ยั่งยืน ที่จะสามารถอุทิศตนมีความมั่นใจในตนเองในการทำงานพระศาสนา เพราะสำเร็จการศึกษาออกมาแล้วก็ชักหวั่นใจ บางองค์ก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าอยู่สัก ๒ ปี ทำงานให้ ๒ ปี ก็ไป บางท่านที่อยู่ต่อก็ยังไม่มั่นใจ มีความหวั่นไหวอยู่ในตัว ในเมื่อไม่มีความมั่นใจอยู่ในตัว ทำงานไม่อุทิศตัว ก็ได้ผลไม่เต็มที่ เป็นอันว่ากำลังคนที่มีอยู่ก็ไม่มีความมั่นใจในอนาคตของตน มีความหวั่นไหวง่าย

ทีนี้ มหาวิทยาลัยสงฆ์จะแก้ปัญหาอย่างไร ในเมื่อสภาพความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องหาทางออกของเรา เช่นอาจจะต้องมีระบบการคัดแยกบุคคล เลือกเก็บสงวนบางส่วนที่จะเอาไว้เป็นผู้นำในการศึกษาพระพุทธศาสนา ต้องมีวิธีการ จะไม่หาวิธีการไม่ได้ หมายความว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์จะต้องมีลักษณะพิเศษของตนเองในการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาไม่เหมือนกับสถาบันอื่น เพราะปัญหาของเราไม่เหมือนเขา สภาพไม่เหมือนกัน ปัญหาไม่เหมือนกัน จะทำเหมือนกันไม่ควร จะไม่เป็นผลดี จะต้องมีอะไรพิเศษด้วย นี้ก็เป็นข้อพิจารณาอันหนึ่ง

ต่อไปที่เป็นอุปสรรคคือทัศนคติของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ในปัจจุบันก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทัศนคติในเรื่องบุญกุศลของเรานั้นหนักไปทางด้านการก่อสร้าง ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ โดยทั่วไปที่นิยมเรียกว่าการบุญ การกุศลที่หนักไปทางการรื่นเริงสนุกสนาน เพราะฉะนั้น เราก็ทุ่มเงินทองไปในทางเหล่านั้นมาก ส่วนใหญ่ด้านการศึกษานั้นประชาชน ไม่ค่อยเห็นเป็นบุญเป็นกุศล นี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่หันมาทางการศึกษามีความหนักและยาก เพราะในการที่จะดำเนินการศึกษาไปด้วยดีนั้น ความพร้อมในเรื่องทุนก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน ถ้าจะให้ได้ผลดี น่าที่จะไม่ต้องมีความหนักใจ เพราะมีทุนพร้อมอยู่แล้ว เราจะได้มุ่งไปในทางด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ แต่สภาพที่เป็นอยู่กลับมีปัญหาเรื่องนี้ เพราะคนโดยมากไม่เห็นความสำคัญ

ประการต่อไปนี้ กิจการพระศาสนาที่มีคณะสงฆ์เป็นผู้นำในปัจจุบันนี้ก็เห็นอยู่ว่า ขาดระบบการแบ่งงาน ไม่กระจายงานออกไป ในระดับพระผู้ใหญ่ ผู้บริหาร ก็จะมองเฉพาะในแง่ของการปกครองเท่านั้นเป็นสำคัญ ก็เลยไม่มีการสนับสนุนส่งเสริมกิจการพระศาสนาในด้านอื่น โดยเฉพาะการศึกษานี้ เหมือนมีแต่โคน ไม่มีต้น ไม่มีกิ่ง ไม่มีใบ บุคคลหรือจะเรียกบุคลากรของพระศาสนาที่ขึ้นมาทางการศึกษาสำเร็จเปรียญ ๙ ประโยค ก็จะเอาไปใช้ในแง่ของผู้บริหารเป็นผู้ปกครองไปเป็นเจ้าคณะโน้นเจ้าคณะนี้ หนึ่ง ท่านก็เลิกละจากการศึกษาค้นคว้า สอง งานด้านการปกครองก็เป็นงานที่หนักอยู่แล้ว เวลาก็ทุ่มไปเรื่องนั้น กิจการด้านนั้นก็ได้รับการเอาใจใส่ การพิจารณาอะไร เช่นการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็มุ่งไปแต่ด้านนั้น พระมุ่งทำการศึกษาที่ไม่จริงไม่อุทิศตัวจริงๆ ก็หมดกำลังใจไปได้เหมือนกัน มีการท้อเป็นต้น

อย่างไรก็ตามเมื่อรักพระศาสนารักธรรมแท้จริงแล้ว ถ้าหันมาทางศึกษาก็ไม่ควรจะเป็นห่วงเรื่องเหล่านั้น หมายความว่าเราต้องเต็มใจของเรา ถ้ารักพระศาสนาหรือรักธรรมะ ก็ต้องอยู่กับธรรมะได้ ตัวปัญหาก็คือไม่มีการแบ่งงาน กิจการของส่วนรวมส่วนนี้ก็ไม่มีการเอาใจใส่ ไม่มีการให้กำลังสนับสนุน ไม่มีการรวมกำลังกันเป็นต้น ฉะนั้น ก็เจริญก้าวหน้าได้ยาก นี่ก็เป็นอุปสรรคอันหนึ่ง ถ้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างพอพยุงไว้ก็อย่างที่บอกเมื่อกี้ คือผู้ที่ทำงานด้านนี้จะต้องอุทิศตัวจริงๆ เสียสละ และรักธรรมะจริงๆ จะต้องไม่คำนึงอะไรอื่นทำเต็มที่

ต่อไปคือการขัดแย้งในวงการศาสนาเช่นสำนักต่างๆ เขาติกัน แย้งกัน ว่ากันตลอดจนพระสายปริยัติ สายปฏิบัติ ก็มีปัญหาขึ้นมา บางทีพระสายปฏิบัติก็ว่าพระสายปริยัติว่าไม่เอาใจใส่ทางปฏิบัติ ได้แต่ร่ำเรียน หาช่องทางไปของตัว พระสายปริยัติก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่พระสายปฏิบัติ ความจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นแม้ในสมัยพุทธกาล เคยมีเรื่องเหมือนกัน พระฝ่ายหนึ่งเรียกว่าพระฌายี นักบำเพ็ญฌานคือจำพวกชอบปฏิบัติกรรมฐาน อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าธรรมโยคะหรือธรรมโยคีก็ได้ เป็นพวกที่ชอบคิดคือพิจารณา ถกสนทนา เรื่องเกี่ยวกับธรรมะ สองฝ่ายนี้ต่างก็ติเตียนซึ่งกันและกัน ฝ่ายนักธรรมโยคีก็ติเตียนพวกฌายี คือพวกบำเพ็ญฌาน ว่าพวกนี้นั่งซบเซาทั้งวันไม่ได้ทำอะไร ฝ่ายพวกฌายีนักบำเพ็ญฌานก็บอกว่า พวกธรรมโยคีได้แต่พูดปาวๆ ไม่ได้เรื่อง ก็เลยติกันอยู่อย่างนี้ พระมหาจุนทะท่านก็เข้ามาแนะนำ บอกว่าท่านนี้นะควรจะประสานปรองดองกัน ฝ่ายธรรมโยคีซึ่งเป็นนักขบคิดธรรมแล้วนำมาแสดง ก็ควรพูดจา กล่าวสรรเสริญนักฌายี นักบำเพ็ญฌานว่า แหม! ท่านนี้นะเก่งกล้า เป็นอัจฉริยบุคคลน่าอัศจรรย์ ท่านสามารถสละความยุ่งเกี่ยวกับคนทั้งหลายตั้งจิตตั้งใจอุทิศตนบำเพ็ญเพียรทางจิต ได้สัมผัสประสบการณ์ทางใจอันล้ำลึกด้วยตัวเอง ฝ่ายนักบำเพ็ญฌานก็ควรกล่าวสรรเสริญพวกธรรมโยคะว่า โอ! ท่านเหล่านี้ช่างเป็นอัจฉริยบุคคลเสียเหลือเกิน มีความสามารถขบคิดเอาธรรมะมาแสดงให้คนอื่นเข้าใจได้ เป็นต้น อะไรทำนองนี้ มันก็จะประสานปรองดองช่วยเหลือกันและกัน

เรื่องนี้ในสมัยพุทธกาลก็ได้มีแล้ว ฉะนั้นก็ควรเอาปฏิปทาเก่าที่ท่านทำไว้ในพุทธกาลมาใช้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ การร่วมมือกัน การช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องสำคัญ พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ด้วยขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือปีกใดปีกหนึ่ง ข้างเดียวอยู่ไม่ได้ ฉะนั้น จะต้องช่วยเหลือร่วมมือกันคอยฉุดดึงกันขึ้น ไม่ใช่คอยทุบคอยตีกันเอง ก็อย่างที่บอกเมื่อกี้นี้แล้วว่า ในเรื่องความขัดแย้งนี้เราต้องคำนึงว่า เราจะอยู่ในป่าในเมือง เป็นพระปริยัติหรือพระปฏิบัติก็ตาม จะต้องมองถึงส่วนเสริมกันของพระพุทธศาสนาว่า เราจะต้องมีอีกด้านหนึ่งมาช่วยด้วยมันจึงจะดำเนินไปด้วยดี มองดูตามหลักฐานะและอฐานะว่าสิ่งใดเป็นไปได้ สิ่งใดเป็นไปไม่ได้ อะไรจะเกิดคุณค่าเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงแล้วก็คิดเอาไปทางนั้น ซึ่งเมื่อทำให้พอกับธรรมะ ปฏิบัติให้เหมาะสม มันก็เป็นธรรมานุธรรมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

ความขัดแย้งนี้รวมไปถึงความขัดแย้งขั้นพื้นฐานอันหนึ่งคือความขัดแย้งระหว่างความเป็นจริงกับอุดมคติ คำติเตียนบ่นว่าในหมู่ชาวพุทธไม่น้อยก็อยู่ในปัญหาเช่นนี้ คือจะมีผู้พูดถึงพระเณรที่มาศึกษาเล่าเรียนโดยเฉพาะแบบสมัยใหม่ ว่าเดี๋ยวเรียนท่านก็สึกออกไปหมด เพราะฉะนั้นก็ไม่อยากสนับสนุน ท่านเหล่านี้พูดแต่ในแง่อุดมคติว่าพระพุทธศาสนาควรจะเป็นอย่างนั้น พระควรจะทำหน้าที่อย่างนี้ ถ้าเป็นแต่อุดมคติ พูดแต่อุดมคติ เอาแต่อุดมคติ ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่มีอยู่ มันก็ทำไม่ได้จริง มีผลสำเร็จน้อย ก็เกิดความสูญเสียมากมาย สิ่งที่มีอยู่ก็ถูกทอดทิ้ง สภาพความจริงที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแลและเอาใจใส่ ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข เพราะเรามองแต่ในแง่ของอุดมคติ ฝ่ายอีกพวกหนึ่งเอาแต่สภาพที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริง เมื่อไม่ยุ่งอุดมคติเสียแล้วก็เลยย่ำอยู่กับที่ ไปมาก็ถอย มันก็เสื่อมลง เพราะฉะนั้นก็ต้องมุ่งอุดมคติ ตลอดเวลาเหมือนกัน เพื่อจะเดินหน้าไปให้ได้ ฉะนั้นการปฏิบัติให้ถูกต้องพอดีระหว่างสภาพความเป็นจริงกับอุดมคติก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเหมือนกัน

เดี๋ยวนี้เรามักจะเอียงสุดไปข้างหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งก็จะเอาสภาพที่เป็นอยู่เอาแค่นั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเอาแต่อุดมคติแล้วก็ไปกันไม่ได้ และงานก็ไม่สำเร็จ พระพุทธศาสนาจะต้องอาศัยการยอมรับสิ่งที่มีอยู่ตามความเป็นจริง ตามเหตุตามปัจจัย

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< (สรุปเรื่องบทบาทความเป็นผู้นำการศึกษาทางพระพุทธศาสนา)(สิ่งที่จะทำได้ในปัจจุบัน) >>

No Comments

Comments are closed.