กรณีสันติอโศก

24 กรกฎาคม 2531
เป็นตอนที่ 1 จาก 12 ตอนของ

กรณีสันติอโศก

ในรอบปีที่ผ่านมาถึงบัดนี้ มีข่าวโด่งดังอื้อฉาวกระทบกระเทือนต่อวงการพระศาสนามากมายหลายเรื่อง เกิดประดังซ้อนๆ ต่อทอดกันมาแทบไม่ขาดสาย โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับพระภิกษุประพฤติเสียหายวิปริตผิดทางของสมณะ ข่าวเหล่านี้ทุกเรื่องควรได้รับความสนใจพิจารณาแก้ไข แต่ก็ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนในแต่ละเรื่องไปทีละเรื่อง บางเรื่อง คนส่วนใหญ่เห็นชัด และยอมรับกันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่ชั่วร้ายเสียหายโดยไม่มีข้อสงสัย สิ่งที่ต้องทำมีเพียงด้านปฏิบัติการในการแก้ไข แต่บางเรื่องมีปัญหาเป็นข้อขัดแย้งกันว่า เป็นความผิดความชั่วร้ายเสียหายหรือไม่ และถ้าเป็น เป็นอย่างไร

กรณีที่เด่นมากในระยะนี้ซึ่งควรให้ความสนใจเป็นพิเศษเรื่องหนึ่ง ก็คือ กรณีพระโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก ซึ่งเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ในลักษณะที่พัวพันกับ พรรคการเมืองใหม่ที่มีชื่อว่าพรรคพลังธรรม ได้มีผู้พยายามประกาศแก่ประชาชนว่า สันติอโศกเป็นสำนักนอกกฎหมาย พระโพธิรักษ์และคณะเป็นนักบวชนอกพระธรรมวินัย ได้ละเมิดกฎหมายคณะสงฆ์ตลอดจนรัฐธรรมนูญ และเข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยแสดงตนสนับสนุนพรรคการเมืองที่ชื่อว่าพลังธรรมนั้นอย่างออกหน้าออกตา เป็นการใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงทางการเมือง ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง (ดูจุลสารนิเทศ ฉบับที่ ๒ /๒๕๓๑ เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย, หน้า ๓, ๑๖, ๒๖ เป็นต้น)

ทางฝ่ายสันติอโศกได้ชี้แจงตอบโต้ว่า คณะของตนไม่ผิดกฎหมาย เพราะมีสิทธิเสรีภาพโดยรัฐธรรมนูญ ที่จะลาออกจากมหาเถรสมาคม เมื่อลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้วก็ไม่อยู่ในคณะสงฆ์ไทย จึงไม่ต้องอยู่ใต้กฎหมายคณะสงฆ์ และตนมีเสรีภาพโดยรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕ “ในการถือ…ลัทธินิยมทางศาสนา และมีเสรีภาพในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน… ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวในวรรคหนึ่งบุคคลย่อมได้รับการคุ้มครอง มิให้รัฐกระทำการใด ๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือ…ลัทธินิยมทางศาสนา หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น”

นอกจากสันติอโศกจะชี้แจง และออกเอกสารตอบโต้เองแล้ว ก็มีบทวิจารณ์หลายครั้งในหน้าหนังสือพิมพ์บางฉบับแสดงความสนับสนุนสันติอโศก กล่าวตอบโต้ว่า ผู้ติเตียนสันติอโศกนั่นแหละเป็นฝ่ายผิดชั่วร้าย ทำการป้ายสีสำนักสันติอโศกด้วยความอิจฉาริษยา และในการวิพากย์วิจารณ์ตอบโต้เช่นนี้ บทความเหล่านั้นมักจะหันไปพูดเชิงสั่งสอนแนะนำว่า ผู้ที่ติเตียนสันติอโศกทั้งหลาย “ควรจะหันหลังกลับไปขจัดอลัชชีคราบผ้าเหลืองใบ้หวย เซ้งพระ เสกไม้ แกะรูปอวัยวะเพศมาบูชา ฯลฯ ไม่เข้าท่ากว่าหรือ” ซึ่งการพูดทำนองนี้ก็เป็นวิธีปฏิบัติในการตอบโต้ ที่สำนักสันติอโศกเองชอบใช้หรือยกมาอ้างทั้งโดยภาพและข้อเขียน (ดู “ฟังเสียงกวางน้อยบ้าง” ของพุทธสถานสันติอโศก, พิมพ์ครั้งที่ ๑ – ก.ค. ๒๕๓๑)

ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ถึงขั้นที่มีผลกระทบกระเทือนต่อพระศาสนา ถ้าทำความเข้าใจและแก้ไขไม่ถูกต้องก็จะเกิดผลร้ายลุกลามเป็นอันตรายทั้งต่อพระศาสนา และต่อสังคมเป็นอย่างมาก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้รับผิดชอบต่อพระศาสนาและต่อสังคมควรเอาใจใส่หาทางแก้ไขให้ถูกต้อง จะปล่อยปละละเลยนิ่งเฉยดูดายมิได้ การเร่งรัดใส่ใจแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เป็นกิจที่พึงต้องทำตามหลักอปริหานิยธรรม (ธรรมที่จะทำให้ไม่เสื่อม) ซึ่งภิกษุทั้งหลายจะต้องถือเป็นสำคัญและตั้งใจปฏิบัติ ดังความในข้อ ๒. ว่า “ตราบใดภิกษุทั้งหลายยัง พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันลุกขึ้นแก้ไขสิ่งเสียหาย พร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์พึงทำ ตราบนั้น พึงหวังความเจริญได้ ไม่มีเสื่อมเลย” (พระไตรปิฎกบาลี เล่ม ๑๐ ข้อ ๗๐ หน้า ๙๐)

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไปจับปัญหาให้ตรงประเด็น >>

No Comments

Comments are closed.