ถ้าบอกว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ต้องเลิกเป็นทาสของความไม่รู้

3 กันยายน 2546
เป็นตอนที่ 4 จาก 15 ตอนของ

ถ้าบอกว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ก็ต้องเลิกเป็นทาสของความไม่รู้

– หลักง่ายๆ ก็ไม่ประสีประสา
พัฒนาคนให้มีตนที่พึ่งได้ ไม่ใช่มัวรอผลดลบันดาล

นอกจากนี้ ก็มีเรื่องที่ว่า ทำอย่างไรจะให้ประชาชนแยกได้ว่า อะไรเป็นพุทธศาสนา อะไรไม่ใช่พุทธศาสนา

เรื่องนี้ก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา อะไรเป็นพุทธ อะไรไม่ใช่พุทธ คนทั่วไปมักเขว หรือไม่ก็เลื่อนลอย แล้วก็ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง และเพราะความอ่อนแอ และการขาดโอกาส ก็เลยออกไปสู่วิถีทางของการพึ่งพาอำนาจภายนอก กลายเป็นทาสของลัทธิหวังผลดลบันดาลกันมาก

ดังจะเห็นว่า พอมีอะไรแปลกประหลาดนิดหน่อย เช่นสัตว์เกิดมาพิการรูปร่างแปลกประหลาด ก็ไปขอหวย ต้นไม้แปลกประหลาด ก็ไปขูดเลขหวยกัน อะไรทำนองนี้ อันนี้จะต้องชัดว่า อะไรเป็นพุทธ-อะไรไม่ใช่พุทธ

ถึงแม้ชาวบ้านจะยังไปทำอยู่ ก็ต้องให้รู้ว่าอย่างนั้นไม่ใช่พุทธ ต้องชัดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องไม่ทำพร้อมกับรู้ ตอนแรกต้องรู้ก่อนแล้วต่อไปไม่ทำ อันนี้เป็นเรื่องที่เสียหายแก่พระศาสนามาก แสดงถึงความไม่รู้เรื่องรู้ราว แสดงว่าชาวพุทธไม่ประสีประสากับเรื่องของพระพุทธศาสนา

เคยเห็นในหนังสือพิมพ์ลงข่าว ครั้งหนึ่งมีเรื่องต้นไม้ประหลาดอะไรทำนองนี้ อยู่ในถิ่นที่คนส่วนมากเป็นมุสลิม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เข้าไปหา คนมุสลิมให้ข่าวว่า ที่นั่น แถบนั้น มีคนเข้ามาเยอะเหมือนกัน มาขูดเลขขอหวย อะไรทำนองนี้ แต่ไม่ใช่ชาวมุสลิมหรอก เพราะชาวมุสลิมไม่มีการทำอย่างนั้น มองความหมายไปได้ทำนองว่า คนพุทธจึงจะทำอย่างนี้ นี่แหละไม่ไหวแล้ว ชาวพุทธไม่รู้ว่าอะไรเป็นพุทธ แล้วทำให้ผู้อื่นเขากล่าวว่า พวกพุทธเป็นอย่างนี้ คือไปขูดเลขหวยกันเป็นชาวพุทธ

เพราะฉะนั้น อย่างน้อยก็ให้แยกได้ว่าอะไรเป็นพุทธ-อะไรไม่เป็นพุทธ และเราจะต้องชัดว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องการบนบานศาลกล่าว ลัทธิหวังผลดลบันดาล การพึ่งพาอำนาจภายนอก การไม่เพียรพยายามทำให้สำเร็จด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตน ตามหลักของพระศาสนาที่จะนำไปสู่การพึ่งตนได้

การที่จะมีเรี่ยวแรงกำลังของตนได้ ก็ต้องพัฒนาคน ถ้าคนต้องการพึ่งตนเอง หรือต้องการมีเรี่ยวแรงกำลังที่จะทำได้เอง มันก็จะเรียกร้องเองให้ต้องพัฒนาตน แต่นี่คนของเราไม่มีแนวคิด ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีทิศทาง อยู่กันเคว้งคว้างเลื่อนลอย อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่เรียกว่างานหลักของพระศาสนา

แกนของเรื่องก็คือว่า ในเรื่องตัวการศึกษาแท้ๆ จะเอาอย่างไร จะหนุนกันอย่างไร ให้การศึกษาของพระดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งในแบบและนอกแบบ หรือทั้งทางการและไม่เป็นทางการ

– อยู่ร่วมกันโดยมีเมตตา แต่ต้องแก้ปัญหาโดยใช้ปัญญา

เรื่องต่อไปที่มีความสำคัญไม่น้อยคือ ท่าทีและความสัมพันธ์กับต่างศาสนา เพราะว่าเวลานี้ความสัมพันธ์กับต่างศาสนาจะต้องมากขึ้น ซึ่งก้าวไกลไปถึงระดับระหว่างประเทศด้วย ที่ว่าโลกไร้พรมแดน

ในทางพระพุทธศาสนา หลักการบอกว่าจะต้องมี ๒ อย่างไปพร้อมกัน คือปัญญากับเมตตา เรื่องนี้ถ้าเราแยกไม่ออกก็จะสับสน

ปัญญา คือเรื่องการรู้เข้าใจความจริง ความรู้ต้องเป็นความรู้ แต่พร้อมกันนั้นเรามีเจตนาที่ดีเป็นเมตตา การที่พูดให้ความรู้กัน ก็ด้วยความหวังดี ไม่ใช่เพื่อจะมาขัดแย้ง จะแค้นเคือง หรือจะทำร้ายกัน

เราต้องให้ความรู้เพื่อแก้ปัญหา ด้วยเจตนาที่ดีมีเมตตา คือปรารถนาดีจะแก้ปัญหาด้วยการสร้างสรรค์ ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็น อยู่กันด้วยดี แต่เรื่องรู้ก็ต้องรู้ ไม่ใช่ว่าปล่อยไม่ให้รู้แล้วบอกว่าพูดไม่ได้ ถ้าพูดไปจะเสีย กลายเป็นแสดงว่ามีความขัดแย้งอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นความตื่นกลัวไปเอง ต้องแยกให้ได้ระหว่างความรู้ กับความรู้สึก

เพราะฉะนั้นต้องทำทั้ง ๒ อย่าง เพียงแต่ต้องทำด้วยท่าทีที่ถูกต้อง คือ ท่าทีแห่งเมตตา โดยมีเจตนาที่เป็นเมตตา หมายความว่าความมุ่งหมายเป็นเมตตา คือปรารถนาความดีงาม ความอยู่ร่วมกันด้วยไมตรี มีสันติสุข

แต่เรื่องที่เป็นความรู้ ต้องรู้ เพราะเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ คนที่มีเมตตาอย่างเดียวก็อาจจะตายอย่างเดียว คือถึงจะมีเมตตา แต่ถ้าโง่ ก็เป็นโมหะ คนมีเมตตาแต่โง่ ก็ไปไม่รอด

สิ่งที่จะทำให้ดำเนินการได้สำเร็จ คือ ปัญญา ฉะนั้น เพื่อสนองจุดหมายของเมตตา ก็ต้องมีปัญญาที่จะดำเนินการ ต้องรู้ต้องเข้าใจ เช่นว่าเรื่องนี้ๆ มีภูมิหลังเป็นมาอย่างไร

อย่างเรื่องประวัติศาสตร์นี่ เราไม่ได้เล่าเพื่อให้แค้นเคืองหรือขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เพราะความจริงก็เป็นความจริง ทั้งที่ประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างนั้น ถามคนไทยส่วนมากไม่รู้เรื่อง ว่าระหว่างศาสนามีความเป็นมาอย่างไรในอดีต

ฉะนั้น ต้องตั้งหลักไว้ก่อนเลยว่า เราต้องมีท่าทีที่ชัดเจนในเรื่องนี้ จะได้วางแนวในการสัมพันธ์ได้ถูกต้อง เพราะความใจกว้าง ไม่ใช่การเอาใจกัน แต่ความใจกว้าง คืออยู่กันด้วยเมตตา โดยสามารถยอมรับความจริง คนใจแคบ คือคนที่จะเอาตามความต้องการ โดยไม่ยอมรับความจริงหรือหลักการ

ต้องเอาทั้งปัญญาและเมตตา เมตตาก็คือจิตใจเรารัก แต่ปัญญาต้องรู้ และต้องรู้ให้ชัดที่สุด คนที่ไม่รู้ชัดแก้ปัญหาไม่ได้

อาตมภาพขอตั้งหัวข้อเป็นแนวความคิดไว้ก่อน อาจจะเป็นเรื่องที่สนทนากัน ขอเจริญพร

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< งานที่ต้องเพ่งและเร่ง คือฟื้นฟูชนบทที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทยรู้ตรงปัญหา พัฒนาตรงจุด – จุดเน้นแห่งภารกิจ ที่จะต้องปฏิบัติ >>

No Comments

Comments are closed.