คุณสมบัติของพระเณร พึงให้เป็นอย่างที่ได้มีหลักตั้งไว้

1 กรกฎาคม 2532
เป็นตอนที่ 4 จาก 7 ตอนของ

คุณสมบัติของพระเณร พึงให้เป็นอย่างที่ได้มีหลักตั้งไว้

อย่างไรก็ดี คุณสมบัติของพระภิกษุสามเณรที่จะทำงานพระศาสนาได้แท้จริงนั้น แค่นั้นคงไม่เพียงพอ จึงมานึกว่า เราจะตั้งจุดหมายของการศึกษาอย่างไร หรือมองว่า พระเณรทั้งหลายที่จะชื่อว่าเป็นผู้ศึกษาแล้วนี้ ควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง แล้วก็ทำให้มองไปที่พระพุทธเจ้าว่า ได้เคยตรัส เคยทรงแสดง หรือเคยทรงสอนว่าอย่างไร

ทีนี้ก็มานึกถึงตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เมื่อทรงพบมารอาราธนาให้ปรินิพพาน พระองค์ไม่ทรงยอมรับอาราธนาของมารนั้น โดยตรัสบอกเงื่อนไขว่า ถ้าพุทธบริษัท ๔ ยังไม่มีคุณสมบัติต่อไปนี้ๆ พระองค์ก็จะยังไม่ทรงปรินิพพาน แต่เมื่อใดสาวกทั้ง ๔ บริษัท มีคุณสมบัติครบดีตามที่ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ก็จะปรินิพพาน

ทีนี้ คุณสมบัติของพุทธบริษัท ๔ นั้น คืออะไรบ้าง ถ้าค้นดูในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะในมหาปรินิพพานสูตร (เช่น ที.ม.๑๐/๑๐๒/๑๓๒) ก็จะเห็นชัด คุณสมบัติ ๓ ประการของสาวกทั้ง ๔ บริษัท ก็คือ

คุณสมบัติที่ ๑ ว่า ภิกษุทั้งหลาย (ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ก็เช่นเดียวกัน) จะเป็นสาวกที่ วิยตฺตา ฉลาดเฉียบแหลม วินีตา ได้รับการฝึกศึกษาอย่างดีแล้ว วิสารทา แกล้วกล้า พหุสฺสุตา เป็นพหูสูต ธมฺมธรา ทรงธรรม ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺนา ปฏิบัติธรรมได้ถูกต้องตามหลักการที่สอดรับสมกัน นี้เป็นข้อที่ ๑ คือ ได้ฝึกได้ศึกษามาอย่างดี มีความรู้ช่ำชองในธรรมวินัย และปฏิบัติได้ถูกต้อง

คุณสมบัติที่ ๒ ว่า สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เป็นต้น บอกว่า เรียนรู้คำสอนของอาจารย์แล้ว นำไปบอกกล่าวเล่าแจ้งแสดงไขขยายความแจกแจงอธิบาย ให้คนอื่นรู้เข้าใจได้

ข้อนี้บอกว่า นอกจากตนเองเรียนรู้และปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว ก็เมตตามีน้ำใจที่จะไปแนะนำสอนคนอื่นด้วย โดยสามารถนำเอาความรู้หรือหลักคำสอนนั้นไปชี้แจงอธิบายให้ผู้อื่นรู้เข้าใจได้ รวมแล้ว เป็น ๒ ขั้น คือ คนที่จะเอาไปสอนนี้ ต้อง

ก. มีน้ำใจปรารถนาดี ต้องการบอกเล่าให้ผู้อื่นได้รู้เข้าใจด้วย

ข. มีความสามารถที่จะชี้แจงแสดงไขอธิบายให้เขารู้เข้าใจได้

คุณสมบัติที่ ๓ ว่า อุปปนฺนํ ปรปฺปวาทํ เป็นต้น คือบอกว่า เมื่อมีปรัปวาท คือคำสอนนอกพระศาสนา หรือหลักลัทธิอย่างอื่น ปลอมปนแปลกแทรกเข้ามาในพระศาสนา มีผู้ว่าร้ายหรือทำคำสอนให้ผิดเพี้ยน ก็สามารถชี้แจงอธิบาย กำราบปรัปวาทได้ หักล้างความรู้เข้าใจที่ผิดเพี้ยนไป ให้เกิดความรู้เข้าใจที่ถูกต้องได้แจ่มแจ้งชัดเจนสำเร็จผลเป็นที่น่าอัศจรรย์

เป็นอันว่า รวมแล้วเป็นคุณสมบัติหลัก ๓ ประการ และมิใช่เฉพาะพระภิกษุเท่านั้น แต่ต้องครบบริษัททั้ง ๔ คือ ทั้งภิกษุ ทั้งภิกษุณี ทั้งอุบาสก ทั้งอุบาสิกา จะต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้พร้อมบริบูรณ์

ในบางพระสูตร ขยายออกไปอีก ถึงกับบอกว่า ภิกษุ ก็ต้องทั้งพระเถระ ทั้งมัชฌิมะ ทั้งนวกะ ภิกษุณี ก็ต้องทั้งพระเถรี ทั้งมัชฌิมา ทั้งนวกา แล้วอุบาสก ก็ทั้งฝ่ายพรหมจารี และทั้งฝ่ายกามโภคี อุบาสิกา ก็ทั้งฝ่ายพรหมจารินี และทั้งฝ่ายกามโภคินี ทั้งหมดนี้ หมายความว่า ทุกส่วนของบริษัท ๔ ที่อยู่ในชุมชนพุทธนี้ ทุกบุคคลจะต้องมีคุณสมบัติ ๓ ประการนี้ และพระองค์ก็ทรงตั้งเป็นเงื่อนไขว่า ถ้าบริษัททั้ง ๔ ที่เป็นสาวกของพระองค์นี้ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามนี้แล้ว พระองค์จึงจะปรินิพพาน ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ พระองค์ก็จะยังไม่ปรินิพพาน

ตอนที่มารมาอาราธนาให้พระพุทธองค์ปรินิพพาน ก็มาทวงเอาสัญญาข้อนี้ โดยบอกว่า เวลานั้น พระสาวกทั้ง ๔ บริษัทได้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามนี้แล้ว พระองค์จึงควรจะปรินิพพานได้แล้ว พระพุทธองค์ทรงพิจารณา ก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริง จึงทรงรับอาราธนาของมาร แล้วก็ทรงปลงพระชนมายุสังขาร

เรื่องที่เล่ามานี้แสดงหลักการที่ดี เป็นหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เอง เป็นการกำหนดคุณสมบัติของพระสาวก ที่จะสืบต่อดำรงพระศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงใช้หลักนี้ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายในปัจจุบัน ก็ควรจะใช้หลักนี้ด้วย โดยนำมากำหนดเป็นคุณสมบัติของผู้ได้รับการศึกษาในพระธรรมวินัยนี้ ว่าเป็นผู้พร้อมที่จะทำหน้าที่สืบต่ออายุพระศาสนาได้หรือไม่

บางทีเราอาจจะชอบจะถนัดที่จะมองในแง่ของความรู้ที่เรียกว่าเป็นวิชาการ แม้แต่ที่นิยมเอ่ยอ้างความเป็นเลิศทางวิชาการต่างๆ นั้น ก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ถ้ามาดูคุณสมบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในที่นี้ จะเห็นว่าความเป็นเลิศทางวิชาการนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งอยู่ในคุณสมบัติข้อแรกเท่านั้นเอง คุณสมบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นี้ เป็นทั้งทางวิชาการและทางปฏิบัติการ นำออกสู่การปฏิบัติให้ออกผลได้จริง มีคุณค่าสมจริงในการสืบต่อพระศาสนา มิใช่เป็นคุณค่าทางวิชาการเพียงอย่างเดียว

เพราะฉะนั้น จึงขอนำเสนอว่า ปัจจุบันนี้ ในสถาบันการศึกษานี้ ก็ตาม หรือในระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ทั้งหมด ก็ตาม น่าจะได้นำหลักการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางไว้นี้ มาใช้เป็นมาตรฐานชี้วัด เป็นเครื่องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการศึกษา ว่าพอแก่การหรือยัง หากว่ามีความสามารถอย่างที่กล่าวมานั้น ก็คงจะพอใจได้

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< มีแต่การบำรุงที่รับเข้ามา ไม่ได้ศึกษาที่จะให้ธรรมออกไปทบทวนหลักการ ประสานกับการสำรวจตรวจสอบปัจจุบัน >>

No Comments

Comments are closed.