งานพระพุทธศาสนาทั้งหมด เป็นองค์รวมเพื่อจุดหมายหนึ่งเดียว – จัดการปกครองขึ้นมา เพื่อให้การศึกษาได้ผล

3 กันยายน 2546
เป็นตอนที่ 2 จาก 15 ตอนของ

งานพระพุทธศาสนาทั้งหมด เป็นองค์รวมเพื่อจุดหมายหนึ่งเดียว

– จัดการปกครองขึ้นมา เพื่อให้การศึกษาได้ผล

การที่เราจัดอะไรต่างๆ ขึ้นมา เป็นกิจกรรม ตลอดจนแม้แต่เรื่องวัตถุมากมาย ความจริงสาระสำคัญก็รวมเป็นอันเดียวกัน เข้าหลักว่างานพระศาสนาทั้งหมดนี้ จะต้องมองให้เห็นระบบสัมพันธ์ว่าที่แท้นั้นเป็นเรื่องเดียว

ถ้าเรามองดูวัด จะมองที่พระก่อนก็ได้ พระเป็นตัวบุคคลที่อยู่ในวัด บางทีเรียกว่า ศาสนบุคคล ที่เป็นแกนของพุทธบริษัท พระที่อยู่ในวัด ถ้าว่าโดยสาระที่แท้แล้วมี ๒ คือผู้สอน กับผู้เรียน บางท่านอาจจะบอกว่า มีผู้ปกครอง เช่น เจ้าอาวาส แต่ที่จริงผู้ปกครองเป็นเพียงผู้มาช่วยจัดสรรดูแลหรือจัดการเพื่อให้การศึกษาดำเนินไปได้ดี เท่านั้นเอง

ในทางพระศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงตั้งสังฆะขึ้นมา ก็เพื่อเป็นชุมชนที่คนจะได้มาพัฒนาตนด้วยไตรสิกขา จึงมาอยู่กันในวัด การตั้งวัดขึ้นนั้น ก็เพื่อจัดให้มีสภาพแวดล้อม บรรยากาศ ระบบความสัมพันธ์ ที่เอื้อต่อการที่แต่ละท่านแต่ละบุคคล จะได้พัฒนาตนขึ้นมาด้วยการศึกษา ที่เรียกว่าไตรสิกขาเท่านั้นเอง

เมื่อศึกษาไปโดยถูกต้องตามหลักไตรสิกขา ก็เป็นการปฏิบัติที่ทำให้ก้าวไปจนได้เป็นพระอริยบุคคล คือเป็นพระเสขะ จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ก็จึงเป็นอเสขะจบการศึกษา ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ถือว่ายังต้องศึกษาทั้งนั้น ถึงจะเป็นพระอายุ ๑๐๐ ปี มีพรรษา ๘๐ หรือแม้มากกว่านั้น ก็ต้องศึกษา ชีวิตพระเป็นชีวิตของการศึกษาอย่างเดียว ต้องฝึกฝนพัฒนาตนเรื่อยไป

การที่มีการปกครอง เริ่มตั้งต้นแต่บวชเข้ามา พระอุปัชฌาย์ก็คือ ผู้ที่มาทำหน้าที่ให้การศึกษาอย่างใกล้ชิด การปกครองก็คือการมาจัดเอื้ออำนวย ตะล่อมให้ผู้เรียนผู้ศึกษานั้น มุ่งแน่วไปในการศึกษา เราเรียกว่าสภาพเอื้อต่อการที่จะศึกษาเท่านั้นเอง

ทีนี้เมื่อมีกิจกรรมการศึกษา ก็มีผู้สอนและผู้เรียน ทั้งที่ตัวผู้สอนเองก็เป็นผู้เรียนด้วย จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์จึงจะจบ โดยมีพระบรมครูพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลาง

เมื่อสอนเมื่อเรียนกันไป ก็เกิดความจำเป็นต้องมีที่อยู่ที่อาศัย กุฏิก็เกิดขึ้น เป็นที่อยู่ของผู้เรียน และผู้สอน

– ญาติโยมทำบุญ ต้องให้สมตามพุทธพจน์ว่า “ศึกษาบุญ”

อีกด้านหนึ่ง ที่มีชาวบ้านญาติโยมมา จุดหมายที่แท้ก็เพื่อรับฟังคำสอน การทำบุญและกิจกรรมต่างๆ ก็เป็นเรื่องของการที่จะพัฒนาคน โดยจัดเป็นรูปแบบ และวิธีการต่างๆ ที่ขยายออกไปมากมาย แต่เพื่อสาระเดียวกันก็คือ เพื่อพัฒนาคนให้เจริญขึ้นในการศึกษา ซึ่งในขั้นนี้อาจจะแยกให้ง่ายหน่อยเป็น ทาน ศีล ภาวนา ก็ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า เป็นการศึกษาบุญ

ตามคาถาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปุฺเมว โส สิกฺเขยฺย แปลว่าพึงศึกษาบุญ (ทั้งสามอย่าง) นั่นแหละ (ขุ.อิติ. ๒๕/๒๓๘/๒๗๐) หมายความว่า ฝึกฝนให้คุณความดีหรือคุณสมบัติที่ดีเจริญงอกงามขึ้นในคน

ถ้าจะประกอบขึ้นเป็นศัพท์ก็เรียกว่า บุญสิกขา แต่ภาษาพระเป็นพุทธพจน์ว่า ปุฺเมว โส สิกฺเขยฺย แสดงว่าบุญ เป็นเรื่องของการศึกษา คือการพัฒนาคุณสมบัติที่ดีขึ้นในคน การจัดกิจกรรมทุกอย่าง เป็นเรื่องของการที่จะมาช่วยให้คนนั้นได้ศึกษายิ่งขึ้นๆ ไป เราจะใช้คำว่าพัฒนาคน ฝึกคน อบรมคน อะไรก็แล้วแต่ ก็เรื่องเดียวกัน

ต่อมา เมื่อคนมากันมาก จะฟังธรรมก็ไม่มีสถานที่เหมาะสมเพียงพอ จึงต้องสร้างอาคารขึ้นมาเป็นศาลา การสร้างอาคารอะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นงานที่เรียกว่า สาธารณูปการ ก็เป็นเรื่องที่มีขึ้นเพื่อจัดสรรเอื้ออำนวยให้เกิดความสะดวกสำหรับกิจกรรมการศึกษา

ญาติโยมมาทำบุญทำกุศล ก็เพื่อจะให้กำลังแก่พระสงฆ์ที่จะได้เล่าเรียนศึกษาให้เจริญขึ้นในศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนฝ่ายญาติโยมเองมาก็เพื่อพัฒนาตัวให้เจริญขึ้นใน ทาน ศีล ภาวนา ทั้งจิตตภาวนา และปัญญาภาวนา

ถ้าเรามองเรื่องราวและกิจการงานทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ในวัด ตลอดจนบุคคล และวัตถุสิ่งของทั้งหลาย ให้เห็นให้ถึงจุดหมายที่แท้แล้ว ทุกอย่างจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด ถ้าเรามองไม่เห็นจุดหมายนี้ ทุกอย่างก็จะกระจัดกระจาย เป็นต่างชิ้นต่างอัน เป็นคนละอย่างไป

งานพระศาสนาทุกอย่างนั้นก็ต้องจับให้ได้ว่า ความหมายและความมุ่งหมายที่เป็น ตัวแท้ของมันอยู่ที่ไหน แล้วมันมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างไร ถ้ามองอย่างนี้ ก็จะเห็นสิ่งที่ปัจจุบันเขาชอบเรียกว่าองค์รวม หรือเป็นบูรณาการ ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น

ถ้ามองเป็นเรื่องเดียวไม่ได้ก็ยุ่งแน่ งานและกิจกรรมตลอดจนวัตถุสิ่งของจะกระจัดกระจายไปหมด เช่นว่า นั่นเป็นเรื่องก่อสร้าง ก็ไม่รู้จะก่อสร้างไปทำไม แล้วก็เขวไปว่าต้องก่อสร้างให้ใหญ่โต เพื่อโน่นเพื่อนี้ เพื่อความงาม แม้แต่เพื่อศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องดีแล้ว ก็ยังไม่ถูกจุด เดี๋ยวก็เลยมาลงที่ตัวตน กลายเป็นเพื่อความยิ่งใหญ่ ชื่อเสียง ฯลฯ เลยเถลไถลไป

ฉะนั้นจะต้องให้มาเจอตรงนี้ให้ได้ คือให้มาบรรจบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่หลักการและความมุ่งหมาย และให้เห็นว่ามันกระจายออกไปได้อย่างไร

ถ้ามองเห็นระบบความสัมพันธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ การคิดในเรื่องงานก็จะชัดว่า เราทำอะไร คืออะไร เพื่ออะไร แล้วอันนี้ไปโยงกับอันอื่นอย่างไร เรียกว่า ต้องมองทุกอย่างในวัด และในพระศาสนา ให้สัมพันธ์กันหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียว

นั่นคือ เพื่อจุดหมายที่ว่าจะทำอย่างไรให้คนเจริญขึ้นไปเป็นอริยสาวก เป็นอริยชน เป็นอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี ฯลฯ เป็นเสขะ – อเสขะ เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้

ลองขยายความหมายกันดู ที่พระสอนชาวบ้าน การสอนนั้นเราเรียกว่าการเผยแผ่ แต่การสอนที่เป็นการเผยแผ่นั้นก็คือการศึกษานั่นแหละ สอนชาวบ้านก็คือให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้างออกไป ความจริงการเผยแผ่ก็เป็นเรื่องการศึกษาทั้งนั้น

งานที่ท่านนายพลทำมานั้นตรงจุดทีเดียว คือท่านทำเรื่องการศึกษา แต่ทีนี้ทำอย่างไรจะให้การศึกษาครบทั้งระบบ คือให้ได้ทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา

– หน้าที่ของผู้ทำงานทางสังคม ต้องนำคนเข้ามาหามรรค

แล้วนอกจากนั้นยังมีองค์ประกอบพื้นฐาน ที่จะนำเข้าสู่ไตรสิกขา หรือนำเข้าสู่มรรค ซึ่งเป็นองค์ธรรมที่เรียกว่าเป็นบุพนิมิตของมรรค ตรงนี้บางทีเรามองข้าม แล้วก็นึกว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เดินไปในมรรค แต่ที่จริงตอนแรกคนทั้งหลายนั้นเขายังอยู่นอกมรรค แล้วก่อนที่จะเดินไปในมรรค เขาจะมาเข้ามรรคได้อย่างไร ตอนนี้เราต้องเอาใจใส่ให้มาก

พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องบุพนิมิตของมรรค และเรื่องปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ ให้รู้ว่าสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แรกของมรรคจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันมิใช่เกิดขึ้นเฉยๆ ตรงนี้แหละเป็นจุดสำคัญ

หน้าที่ของผู้ดำเนินงานสำหรับสังคมส่วนใหญ่ เป็นหน้าที่ในการชักจูงหรือนำคนมาเข้าสู่มรรค เพราะคนทั่วไปอาจจะยังไม่ได้เข้ามาที่มรรค หรือถ้าเขายังอยู่ในขั้นต้น เราก็ต้องให้กำลังเกื้อหนุนเขา เพราะฉะนั้นตัวธรรมที่จะนำเข้าสู่มรรคจึงสำคัญอย่างยิ่ง

แทนที่จะมัวมองแต่มรรค ต้องมองให้ถึงตัวที่จะนำเข้าสู่มรรค ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า บุพนิมิตของมรรค คือ ธรรมะข้อที่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็แน่ใจได้เลยว่าบุคคลนั้นจะเข้าไปสู่มรรค หรือมรรคจะเกิดขึ้นแก่เขา เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

เปรียบเหมือนว่า ก่อนที่พระอาทิตย์จะอุทัย มีแสงอรุณขึ้นมาก่อนหรือปรากฏให้เห็นก่อน ฉันใด เมื่อมรรคจะเกิดขึ้นแก่บุคคลหรือแก่ภิกษุ ก็มีธรรม เช่นกัลยาณมิตตตา คือความมีกัลยาณมิตร ปรากฏเกิดขึ้นมาก่อน ฉันนั้น

ธรรมะประเภทนี้ เราจะต้องเอาใจใส่กันให้มาก เพราะเมื่อคนยังอยู่ห่างไกล เขาไม่รู้จักมรรค ยังไม่เจอมรรค ยังไม่เข้ามาหามรรคเลย เขาจะเดินไปในมรรคได้อย่างไร เหมือนคนเขายังไม่รู้ว่าทางอยู่ที่ไหน เริ่มต้นที่ไหน จะให้เขาเดินทางไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เราจึงต้องพาเขาเข้ามาที่มรรคก่อน

แล้วทั้งหมดนี้เราจะต้องมองว่า ทุกอย่างที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา เป็นส่วนเกื้อหนุน เกื้อกูล เพื่อให้คนเข้าสู่มรรคและเดินไปในมรรค

ถ้าเราทำงานเป็นระบบ เรียกเต็มว่าเป็นระบบความสัมพันธ์ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี นี้เป็นแง่คิดประการหนึ่งคือ การมองให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อมองเห็นจุดรวมของงานพระศาสนา ก็เห็นตัวพระพุทธศาสนาทั้งหมด แล้วการทำงานก็จะชัด

ที่จริงการพบกันนี้อาตมภาพคิดว่า ควรจะเป็นการคุยกันมากกว่า

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< เปิดประเด็นงานที่ต้องเพ่งและเร่ง คือฟื้นฟูชนบทที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย >>

No Comments

Comments are closed.