ระหว่างการใช้ภาษาเป็นสื่อ กับการมุ่งสู่ประสบการณ์ตรง จับจุดพลาดให้ถูก

20 มกราคม 2533
เป็นตอนที่ 4 จาก 8 ตอนของ

ระหว่างการใช้ภาษาเป็นสื่อ กับการมุ่งสู่ประสบการณ์ตรง จับจุดพลาดให้ถูก

เอาละ เพราะปัญหาเกี่ยวกับภาษามีมากมายในแง่ต่างๆ เช่นว่า ภาษามีขอบเขตจำกัดในการแสดงความจริงบ้าง บางทีกลายเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงบ้าง เป็นต้น ก็เลยมีการพยายายามที่จะแสดงความจริงให้คนเข้าถึงสัจธรรมโดยตรง ไม่ให้ต้องผ่านภาษา

คนที่พยายามไม่ใช้ภาษา โดยจะสื่อให้ถึงสัจธรรมโดยตรง ทำได้หรือไม่ ไม่ต้องใช้ภาษา เอ! พูดมาตั้งแต่ต้นว่า ต้องใช้ภาษาจึงพูดกันรู้เรื่อง ก็เท่ากับบอกอยู่แล้วว่า ถ้าไม่ใช้ภาษาก็พูดกันไม่ได้ แล้วถ้าไม่ใช้ภาษาจะสื่อสัจธรรมโดยตรงได้อย่างไร อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณา หรืออาจจะมีคำพูดเพิ่มเติมมาว่า สื่อให้เข้าถึงความจริงโดยตรงโดยไม่ผ่านภาษา หากใช้ภาษาก็ใช้ให้น้อยที่สุด

อันนี้อาตมาจะยกตัวอย่าง ท่านทั้งหลายคงรู้จักซามูไร ซามูไรเป็นนักรบญี่ปุ่นใช้ดาบ แล้วหลายคนคงเคยได้ยินคำว่านิกายเซ็น นิกายเซ็น เป็นพระพุทธศาสนานิกายหนึ่ง ที่นับถือกันมากในประเทศญี่ปุ่น เป็นนิกายที่เน้นสมาธิ มีอาจารย์เซ็นที่มีชื่อเสียงหลายท่าน

วันหนึ่ง ขณะที่พระอาจารย์เซ็นท่านหนึ่ง นั่งอยู่ในกระท่อมที่ในป่า ซามูไรผู้หนึ่งคิดถึงพระอาจารย์ มีความสงสัย

เกี่ยวกับเรื่องธรรมะเกี่ยวกับความเข้าใจโลกและชีวิต ก็อยากถามความจริงจากพระอาจารย์เซ็นนี้ พอดีอากาศหนาวจัดเหลือเกิน หิมะก็ตก แต่ความอยากรู้ ทำให้บุกป่าฝ่าหิมะไปท่ามกลางความหนาวเย็น จนกระทั่งถึงกระท่อมของอาจารย์เซ็น พอไปถึงแล้วแกก็ตัวสั่นงั่กๆ อยู่ แล้วแกก็เคาะประตู

ฝ่ายพระอาจารย์เซ็นได้ยินคนมาเคาะประตู ก็มาเปิดประตู พอเปิดประตูออกไปก็พบซามูไรกำลังหนาวตัวสั่นอยู่ ยังไม่ทันเชิญเข้ามาข้างใน ก็ถามว่ามายังไง ต้องการอะไร ซามูไรกำลังอยากรู้ความจริงก็พูดออกไป

“อยากจะถามท่านว่า นรกคืออย่างไร อยากจะรู้จักนรกว่าเป็นอย่างไร”

พระอาจารย์พอได้ยินดังนั้น ก็ดึงประตูปิดปัง พอดึงประตูปิดปัง ซามูไรนี้แกก็โกรธ เอ! เรานี่ต้องการจะมาถามธรรมะหาความรู้ ความเข้าใจโลกและชีวิต แต่อาจารย์กลับไม่ต้อนรับเลย ปิดประตูใส่อย่างนี้ แสดงความไม่พอใจ แกก็โกรธเลย พอโกรธขึ้นมา ยังไม่ทันคิดว่าจะทำอย่างไรดี กำลังโกรธอยู่ พระอาจารย์ก็เปิดประตูออกมา แกก็ต่อว่า “ทำไมอาจารย์ทำอย่างนี้เล่า ผมถามหาความรู้ อาจารย์ไม่น่าจะทำกับผมอย่างนี้ ปิดประตูใส่ผมได้หรือ ไม่มีมารยาทเลย”

อาจารย์ก็บอกว่า “นั่นแหละนรกละ”

พออาจารย์บอกว่า นั่นแหละนรกละ ซามูไรคนนี้เป็นคนมีปัญญาก็เข้าใจ นึกขึ้นได้เลย อ๋อ! สภาพจิตของเราขณะนี้

ที่มันโกรธอย่างนี้นี่แหละคือนรก พอเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็รู้ว่าพระอาจารย์ได้สอนด้วยวิธีที่ว่าให้ใช้ประสบการณ์ตรงก็เลยก้มลงกราบ พอก้มลงกราบพระอาจารย์ก็บอกว่า “นี่แหละสวรรค์” เพราะตอนนั้นใจแกดีแล้ว แกมีความอิ่มเอิบใจ

ก็เป็นอันว่า ซามูไรคนนี้ ได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์ให้รู้จักนรกสวรรค์ โดยวิธีที่สั้นที่สุดนิดเดียว และไม่ต้องใช้คำพูดเลย อันนี้เป็นวิธีที่เซ็นนิยมใช้ ซึ่งเป็นวิธีทำให้เข้าถึงความจริงโดยประสบการณ์ตรง

นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่งที่ว่า เราควรใช้ภาษาให้น้อยที่สุดโดยให้ผู้ที่เราสื่อกับเขานั้นเข้าถึง หรือสัมผัสตัวความจริง หรือสิ่งนั้นด้วยตนเอง เหมือนอย่างที่บอกว่า ถ้าใครจะมาถามว่ารสหวานของมะม่วงเขียวเสวยเป็นอย่างไร แทนที่เราจะมานั่งบรรยายพูดให้ยืดยาว เราก็บอก โน่น! มะม่วงเขียวเสวยอยู่นั่น คุณเอามีดมา แล้วเอามันไปปอกกิน ถ้าอย่างนี้ เขาก็จะได้รับความรู้จากประสบการณ์ตรง เขาก็รู้ทันทีว่ารสมะม่วงเขียวเสวยเป็นอย่างไร ไม่ต้องใช้ถ้อยคำบรรยาย และไม่ต้องใช้การคิดหาเหตุผลโดยวิธีตรรกะ

อันนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งในการสื่อความจริง แต่มันก็เป็นเพียงวิธีหนึ่ง เพราะว่ามันไม่สามารถใช้ได้ในทุกกรณี แต่เราจะต้องตระหนักไว้ในใจว่า มันเป็นวิธีที่ดีที่ควรจะได้เอามาเป็นแบบอย่าง หรือเป็นตัวอย่างในการที่จะมาสื่อความจริงกันด้วย เราจะได้มีทางออกหรือกลวิธีในการที่จะถ่ายทอดแสดงความจริงได้มากขึ้น หรือแม้จะใช้ภาษาก็เป็นการใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพมาก เพราะไม่ใช่เขาไม่ใช้ภาษา เขาใช้ภาษาถ่ายทอด อย่างอาจารย์เซ็นกับซามูไร เขาต้องพูดถึงคำว่า นรก หรือคำว่า สวรรค์ อะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่เป็นการใช้ภาษาที่มันโยงเข้าหาประสบการณ์ตรง หรือการใช้สัมผัสกับสิ่งนั้น วิธีที่ใกล้เคียงกันกับวิธีปฏิบัตินี้ก็ยังมีอีก เช่น ให้ดูการกระทำของเราเลย ดูที่การกระทำว่าเป็นความจริงอย่างไร เราก็ไม่ต้องมานั่งพูดอธิบายกัน

วิธีต่อไปก็คือ ไม่ใช่ทำให้ดู แต่ให้เขาลงมือทำเมื่อให้เขาลงมือทำสิ่งนั้นไปแล้ว ก็ทำให้เขามีโอกาสที่จะประสบ หรือได้สัมผัสประสบการณ์นั้นเอง วิธีที่ให้ลงมือทำในกรณีนี้ ไม่เหมือนกับวิธีของอาจารย์เซ็น ที่ว่าอาจารย์เซ็นนั้นให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์นั้นโดยตรง แต่วิธีนี้เป็นการทำเพื่อไปเจอสิ่งนั้นอีกที เช่น ถ้าต้องการที่จะรู้รสของสมาธิ ก็ให้ไปนั่งปฏิบัติ นั่งปฏิบัติไปจนกระทั่งถึงขั้นที่ได้รับผล แล้วไปเป็นประสบการณ์โดยตรงนั้นอีกทีหนึ่งเหมือนกับจะไปให้ถึงที่หนึ่ง ก็เดินไปจนถึงที่นั้น อันนี้เป็นวิธีที่สอง

ต่อไปวิธีที่สาม คือ ให้ดูผลปฏิบัติ คือผลที่ออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสิ่งนั้น พิสูจน์ว่าสัจธรรมเป็นอย่างไร ก็ดูจากผลที่มันออกมา ผลออกมาอย่างนี้แสดงว่าตัวสิ่งนั้นก็จริงใช่ไหม ถ้าไม่จริงมันไม่ออกผลปฏิบัติอย่างนี้ได้ อันนี้ก็ดูที่ตรวจสอบพิสูจน์ด้วยผลที่ออกมาจากนั้น ก็เท่ากับว่าผลปฏิบัตินี้เป็นตัวบ่งชี้สัจธรรมที่คนนั้นได้เข้าถึงแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ ทุกอย่างที่เราพูดถึงนี้มันมีข้อดี แต่ก็ยังมีจุดอ่อนได้ ซึ่งเราก็จะต้องรู้ให้ครบถ้วน วิธีการเหล่านี้มีจุดอ่อน ยังไม่ปลอดภัย หรือแน่นอนที่จะเข้าถึงสัจธรรมอย่างไร อาตมาได้พูดไปทีหนึ่งแล้วว่า เรื่องประสบการณ์ตรงนั้น บางทีเราไปมองเห็นบางแง่บางส่วน แล้วสรุปเป็นภาพรวมของสิ่งนั้นก็ผิดพลาดไป นั่นก็ประการหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ โยงประสบการณ์นั้นไปหาสัญญาที่ผิด โยงไปหา concept ที่ผิด เช่น กระต่ายตื่นตูม ที่ว่าได้ยินเสียงมะตูมหล่นลงบนใบตาล แล้วคิดว่าโลกแตก ก็เลยผิดพลาดไป

นอกจากนั้น ยังมีอะไรอีกบ้าง ก็คือ หนึ่ง ที่บอกให้ดูโดยตรงจากการกระทำการกระทำนั่นเองยังหลอกกันได้ เช่น นักเล่นกล เป็นต้น ฉะนั้น จึงยังไม่ปลอดภัยโดยสมบูรณ์ การเล่นกลยังมีอยู่ การกระทำโดยตรงก็เล่นกลได้ สอง ในการวินิจฉัยประสบการณ์ตรงนั้น เราก็ต้องอาศัย concept หรืออาศัยประสบการณ์ที่มีอยู่แล้วเหมือนกัน เช่นเราจะพูดถึงคำว่า พระอรหันต์ เราบอกว่าเราจะพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ตรง แต่เราก็ต้องมี concept เกี่ยวกับพระอรหันต์อยู่ก่อน ก่อนที่จะวินิจฉัยว่า เอ้อ! คนนี้เราคิดว่าเป็นพระอรหันต์ เรามี concept อย่างไร เช่น เราไปเห็นท่านผู้หนึ่งมีลักษณะสงบเหลือเกิน มีความสงบเรียบร้อย เหมือนเป็นคนไม่มีกิเลสอะไรต่างๆ เหล่านี้ เราคิดว่า ท่านผู้นี้เป็นพระอรหันต์ เพราะว่าเรามี concept ว่าพระอรหันต์นั้นคือ บุคคลที่สงบ บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส แต่บางคนไม่มองอย่างนี้

สมมติไปเห็นพระองค์หนึ่ง คนเชื่อถือกันนิยมกันว่าเป็นพระที่มีฤทธิ์ทำอะไรต่ออะไรได้แปลกประหลาดอัศจรรย์ นึกถึงความมีฤทธิ์แล้วก็นึกว่าพระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ ในกรณีนี้ก็คือเขามี concept ของพระอรหันต์ว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ ก็เลยทำให้เขาเข้าใจว่าผู้ที่มีฤทธิ์นั้นเป็นพระอรหันต์ หรือบางคนเคยมี concept ในพระอรหันต์ว่า คือ คนที่เฉยเหมือนไม่เอาเรื่องเอาราวอะไร อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ว่าอะไร เฉยหมด พอไปเห็นพระหรือใครที่มีลักษณะเฉยอย่างนี้ ก็เลยนึกว่าผู้นี้เป็นพระอรหันต์

การวินิจฉัยของเขานั้น แม้แต่เอาจากประสบการณ์ตรง คือมองเห็นบุคคลผู้นั้นเป็นอยู่อย่างนี้ แสดงอาการและมีพฤติกรรมอย่างนี้ แต่เขาต้องเชื่อมโยงกับตัว concept ที่มีอยู่ ฉะนั้น ถ้าหากว่า concept นั้นไม่สมบูรณ์ ผิดพลาด การวินิจฉัยนั้นก็ผิดไปด้วย เพราะฉะนั้น ประสบการณ์ในที่นี้ ก็ไม่สามารถจะให้ความหมายได้สมบูรณ์ เพราะเป็นการสรุปตีคลุมออกไปจาก concept ที่ไม่เด็ดขาด ก็ผิดพลาดได้

ต่อไปการวินิจฉัยที่ว่าเมื่อครู่นี้ ก็ยังต้องอาศัยตัวกำหนดอีกอย่างหนึ่ง คือ ความรู้แจ้งหรือความรู้แท้ของตัวบุคคลนั้นเอง ตัวเขาเองแม้จะได้ประสบการณ์บางอย่างก็อาจจะมีการวินิจฉัยผิด

ยกตัวอย่างเช่น มีพระเถระองค์หนึ่งเมื่อพันกว่าปีมาแล้วเป็นพระอาจารย์ใหญ่ที่สอนความรู้ทางพระพุทธศาสนา สอนการปฏิบัติที่เรียกว่าวิปัสสนาแก่ลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก มีคนนับถือมากมาย แล้วลูกศิษย์บางคนได้เป็นพระอรหันต์ ฝ่ายอาจารย์ก็สำคัญตนเองว่า ฉันเป็นพระอรหันต์ ได้ฌาน ได้สมาบัติ แล้วในใจตัวเองก็สงบ ไม่รู้สึกว่ามีกิเลส มีความสุข ไม่มีความทุกข์อะไรเลย ท่านก็นึกว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วมีลูกศิษย์รูปหนึ่งเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเหนือกว่า คนที่เหนือกว่าจึงจะรู้คนที่ต่ำกว่า ลูกศิษย์รูปนี้เป็นพระอรหันต์รู้ว่าพระอาจารย์นี้ยังไม่ถึงขั้น ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็เลยหาวิธีที่จะให้อาจารย์รู้สึกตัว

วันหนึ่งได้โอกาส ก็ทำให้พระอาจารย์ได้รู้สึกตัว โดยการที่ให้อาจารย์ได้เห็นช้างตัวใหญ่เข้ามาโดยฉับพลันทันทีชนิดตั้งตัวไม่ติด ความที่ว่าไม่มีโอกาสที่จะตั้งสติ ทำให้ตกใจ พอตกใจก็ลุกขึ้นเตรียมจะวิ่งหนี่ พอจะวิ่งหนี ลูกศิษย์ก็กระตุกจีวรไว้ บอกพระอาจารย์ทำไมจะวิ่งซะแล้ว อาจารย์ได้ยินปั๊บก็ได้สติ แล้วก็รู้ตัวทันทีว่าโอ้! นี่เราได้ผิดพลาดไป เรายังตกใจ พระอรหันต์จะไม่เป็นอย่างนี้ ก็เป็นอันรู้ตัวว่า เอ้อ! เรานี้ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์

โดยนัยนี้ การมีประสบการณ์ตรงบางทีก็ยังหลอกตัวเองได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยที่เกิดจากความรู้ที่ไม่ถ่องแท้เพียงพอ ฉะนั้น จึงมีหลายขั้นเหลือเกินที่จะวินิจฉัย ในการที่จะเข้าถึงความจริง

นอกจากนี้แล้ว ต่อไปอีก ลึกซึ้งลงไป ซึ่งเป็นมูลเหตุของความผิดพลาด ก็คือตัวสภาพอวิชชาที่อยู่ในตัวคนนั้นเอง เป็นฐานของความผิด ในการที่จะนำมาสู่การสื่อภาษาผิดพลาด ด้วยการวินิจฉัย concept อะไรต่างๆ ผิดพลาด สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการใช้ภาษาเป็นสื่อ ก็คืออวิชชาในตัวคน

อวิชชาในตัวคนนี้คืออะไร คือการไม่รู้จักวิเคราะห์ของตนเอง ตนเองไม่รู้จักวิเคราะห์ความจริง ก็ทำให้ไปมองเพียงแง่หนึ่งด้านหนึ่งของเรื่องนั้นๆ หรือมองสิ่งนั้นๆ ผิวเผิน แล้วก็ตีคลุมไป อันนี้ก็เป็นเรื่องของการไม่รู้จักวิเคราะห์

เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่จะต้องฝึกหัด ก็คือความคิดของคนที่ว่าจะต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ ในการที่จะเข้าถึงความจริง นิสัยของจิตในการที่จะวิเคราะห์สิ่งต่างๆ นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องปลูกฝัง มิฉะนั้น คนเราจะถูกชักพาให้หลงไปโดยประสบการณ์หรือข้อมูลที่เข้ามาได้ง่าย เราได้ประสบการณ์ เราไม่วิเคราะห์ แล้วเราหลงผิด ได้ข้อมูลมาไม่วิเคราะห์ ไม่สืบค้น ก็หลงผิดได้ บางทีก็เกิดจากความหลงยึดติดของตัวเอง เช่น หลงยึดติดในบางอย่าง ในส่วนดีของสิ่งนั้น พอเรายึดในส่วนดีของสิ่งนั้นแล้ว เราจะมองข้ามในส่วนที่ผิดพลาดไป แล้วก็ตีคลุมเอาส่วนดีนั้นเป็นภาพรวมของสิ่งนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าเราผิดพลาดไป หรือสิ่งร้ายก็เหมือนกัน มองเห็นสิ่งร้ายส่วนหนึ่ง แล้วก็ตีคลุมเป็นสิ่งนั้นร้ายไปหมด

ในขั้นสุดท้าย ความงมงายลึกๆ ที่อยู่ในพื้นใจซึ่งยังไม่ได้แก้ไข ความงมงายนี้แสดงออกแม้แต่ในสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์นี้เป็นวิชาการที่เราบอกว่า มีความไม่งมงาย แล้วก็ให้มีทัศนคติที่เป็นวิทยาศาสตร์ต่อสิ่งต่างๆ แต่ปรากฏว่า บางทีคนไม่ใช้วิธีวิทยาศาสตร์กับสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ การไม่ใช้วิธีวิทยาศาสตร์กับสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์นี้ จึงได้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา

เพราะฉะนั้น ปัจจุบันนี้คนเริ่มรู้สึกตัว โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการบางกลุ่ม เรื่องนี้เป็นความเจริญทางวิชาการอีกระดับหนึ่ง ซึ่งสัมพันธ์กับปัญหาของโลกที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรม เป็นต้น ที่ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมเสีย ธรรมชาติเป็นพิษเป็นภัยในปัจจุบันนี้ เมื่อประสบปัญหาแล้ว เขาก็สืบค้นหา สาเหตุอย่างหนึ่งก็คือ ความงมงายในวิทยาศาสตร์ได้สร้างปัญหานี้ขึ้น

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< เบื้องหลังความผิดพลาดและความบกพร่อง ในการสื่อภาษาและการใช้ภาษาเป็นสื่องมงายในวิทยาศาสตร์ ย่อมไม่ลุถึงวิทยาศาสตร์ >>

No Comments

Comments are closed.