- บวชเรียนหายไป เมืองไทยได้วัดหลวงตา
- “บวชเรียน” ทำท่าว่าเหลือแต่บวช แถมแชเชือนฟุ้งซ่านกันไป
- ที่แท้นั้น วัดคือสถานศึกษา จึงเป็นแหล่งวิทยามาแต่นานไกล
- ให้วัดเลิกเป็นที่เล่าเรียน ชาวบ้านสูญเสียโอกาสในการศึกษา
- อยู่วัด เรียนไม่มี เมื่อให้ธรรมไม่ได้ พระก็วุ่นไปกับการได้ลาภ
- มองดูสังคม เห็นปมปัญหาการศึกษา การพัฒนาจึงจะเป็นไปได้
“บวชเรียน” ทำท่าว่าเหลือแต่บวช แถมแชเชือนฟุ้งซ่านกันไป
หลวงพ่อสมเด็จฯ: คือ คณะสงฆ์นั้น ในแง่ของการเน้น ท่านก็เน้นอยู่ในเรื่องการเรียน แต่ทีนี้ก็มีหลักสูตรของคณะสงฆ์ เป็นหลักสูตรที่เรียกกันว่าเหมือนเป็นไปตามประเพณี ก็มีหลักสูตรนักธรรม ถ้าเป็นของคฤหัสถ์ญาติโยม ก็เรียกว่าธรรมศึกษา แล้วก็มีสูงขึ้นไป หรือว่าลึกลงไป ก็คือเรียนบาลี นี่เป็นเรื่องของหลักการ
แต่ทีนี้ ในทางปฏิบัติ ก็มีปัญหาเยอะ คือมีแต่หลักสูตร แล้วก็มีการจัดสอบ การเรียนการสอน บางทีไม่มี เหตุปัจจัยก็มีมากมาย อันหนึ่ง ถ้าเอาเป็นเรื่องราว ที่เป็นสาระ ก็คือขาดแคลนครูอาจารย์ แต่ที่ไม่เป็นสาระ คือไม่เอาใจใส่
ทีนี้ ถ้าขาดแคลนครูอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันไป ถ้าใจอยากเรียน ก็ขวนขวาย แต่ถ้าไม่ใส่ใจในการเล่าเรียนศึกษา ถึงแม้มีครูอาจารย์ ก็ไม่อยากเรียน ไม่ใส่ใจจัดการ
ทีนี้ คณะสงฆ์ของเรานั้น ตามที่เป็นมา เราก็พูดบ่นกันเรื่อย พูดไป ก็เหมือนกับมาต่อว่าหรือแม้กระทั่งมาด่าว่ากัน ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น พูดกันมาไม่รู้กี่สิบปีแล้วนะ คือความเอาใจใส่ในเรื่องการศึกษานี้ มีน้อย แล้วก็จะได้ยินเสียงบ่นว่า พระนี้ชอบแต่ก่อสร้าง ได้ยินใช่ไหม?
เดี๋ยวสร้างโบสถ์ แถมไม่ใช่สร้างเฉยๆ สร้างแข่งกันเสียด้วย ในอำเภอนี้ ตำบลนี้ หรือแม้แต่จังหวัดนี้ วัดฉันจะต้องมีโบสถ์ใหญ่ที่สุด พอถึงอีกยุคหนึ่ง ชอบสร้างเมรุ ก็มาแข่งเมรุกันว่า เมรุใครจะสวยกว่ากัน แล้วก็ใหญ่ที่สุด ใช้เงินสร้างมากที่สุดในจังหวัดนี้ ก็มาอวดกัน นี่แหละ มันก็เลยกลายเป็นว่า บางยุคก็ถูกญาติโยมข้างนอกต่อว่า ว่าพระนี้ทำให้เสียเศรษฐกิจ เสียเปล่านะ สร้างอะไรก็ไม่สร้าง มาสร้างอย่างนี้ ก็เป็นปัญหามาเรื่อย
ทีนี้ ความไม่ใส่ใจในการศึกษานั้น ก็แพร่ไปทั่ว หนึ่ง ก็ไปนิยมก่อสร้างวัตถุ สอง ยุ่งกับเรื่องพิธีกรรม จัดกันโอ่อ่าหรูหรา ให้เด่นโก้ยิ่งใหญ่ แล้วก็อะไรอีกอย่างหนึ่ง นึกขึ้นมาแล้ว ก็ลืมไปเลย
พระนวกะ: วัตถุมงคล ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อสมเด็จฯ: ใช่ๆ ไสยศาสตร์ เรื่องวัตถุมงคลนี่แหละ เดี๋ยว ก็ปลุกเสกที่นั่น เดี๋ยวก็ปลุกเสกที่นี่ มีพุทธาภิเษกนั่นเราก็ว่าแย่แล้วนะ แต่เดี๋ยวนี้ หนักเข้าไปอีก เดี๋ยวนี้ เทวาภิเษกแล้วใช่ไหม?
แล้วนึกกันบ้างไหมนี่ เมื่อทำเรื่องพวกนี้กันนานๆ ไป หลักก็จะไม่มี ความเอาใจใส่ในการศึกษา ไม่มี ก็ไม่รู้จักหลักพระพุทธศาสนา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นพุทธ อะไรเป็นพราหมณ์ อะไรเป็นศาสนาไหน เอาเรื่องเทวดามาเป็นพุทธไปแล้ว กลายเป็นว่า พระไปปลุกเสกเทวดาเสียนี่ พระไปปลุกเสกได้อย่างไร เออ เทวดาต้องไหว้พระอยู่แล้ว แต่นี่ พระไปไหว้เทวดาเสียเลย มันออกนอกทางกันไปไกลมาก เราก็ได้แต่บ่นกันไป แต่ก็จำเป็น ต้องตักเตือน หรือให้สติกัน ก็ทำได้อย่างนี้

No Comments
Comments are closed.