- วัดหลวงชนิดใหม่
- การศึกษาเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งของชาติ และของพระศาสนา
- มีแต่การบำรุงที่รับเข้ามา ไม่ได้ศึกษาที่จะให้ธรรมออกไป
- คุณสมบัติของพระเณร พึงให้เป็นอย่างที่ได้มีหลักตั้งไว้
- ทบทวนหลักการ ประสานกับการสำรวจตรวจสอบปัจจุบัน
- ลงท้าย จะเจริญมั่นคงทรงสภาพดีอยู่ได้ ก็ต้องตั้งตัวอยู่ในความไม่ประมาท
- หมายเหตุ
มีแต่การบำรุงที่รับเข้ามา ไม่ได้ศึกษาที่จะให้ธรรมออกไป
ทีนี้ ปัญหาที่เข้ามาถึงแกนกลางยิ่งกว่านั้น ก็คือ แม้แต่ผู้ที่บวชเข้ามาแล้วได้เรียน แต่ในระบบการศึกษาของเราเท่าที่มีอยู่นี้หลักสูตรต่างๆ สับสนมาก ทำให้เกิดความขัดแย้งและความว้าวุ่นขึ้นในใจของพระเณรเอง คือบวชมาแล้ว แม้จะอยากเรียน แต่ไม่รู้จะเรียนอะไรดี หรือบางทีสิ่งที่จัดให้เรียน ก็ไม่ตรงกับใจ เรียนด้วยความฝืนใจ เบื่อหน่าย หรือเรียนไปๆ พระเณรมีคุณภาพดีขึ้นในทางธรรมวินัยหรือไม่ เจริญขึ้นไปในไตรสิกขาหรือเปล่า
สภาพอย่างนี้เป็นไปมากมาย ถ้าแพร่หลายออกไป ก็น่ากลัวมากว่าพระศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร เพราะว่าจิตใจของคนที่อยู่ในพระศาสนานั้น ไม่มีความมั่นใจในตนเอง เป็นสภาพของความสับสนและขัดแย้ง
ที่ว่าสับสนและขัดแย้งนี้มิใช่เฉพาะในใจของตัวบุคคล แต่ออกไปเป็นความสับสนขัดแย้งกันในหมู่พระรุ่นเก่ากับพระรุ่นใหม่ หรือในระหว่างพระผู้น้อยกับพระผู้บริหาร คือไม่รู้สึกถึงคุณของพระผู้ใหญ่ พระผู้ใหญ่มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ให้บุญและมีคุณ คือมิได้ให้การศึกษา มิได้ให้สิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิต แต่กลายเป็นผู้ที่คอยห้ามปราม คอยกีดกัน เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น ก็ส่อไปถึงสภาพแตกสลายในวงการพระศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก
ทีนี้ ระบบการศึกษาของเราเท่าที่มองดูนี้ มีสิ่งที่ส่งสัญญาณเตือนถึงภัยอันตราย คือว่า พระเณรจำนวนมากมาย แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียนในระบบการศึกษาของคณะสงฆ์แล้ว มองดูไป ไม่ค่อยเห็นว่าจะมีใจรักพระศาสนา ความรู้สึกมีส่วนร่วมในพระศาสนา ก็มีน้อย รู้สึกเป็นตัวใครตัวมัน เป็นเรื่องของแต่ละคน ใครจะหาผลประโยชน์ได้ หรือใครจะศึกษาเล่าเรียนให้ได้เป็นทางชีวิตของตนเอง ก็ไปของตัวๆ แต่โดดเดี่ยวผู้เดียว ความรู้สึกอย่างนี้มีมาก ไม่มีความรู้สึกมีส่วนร่วมในพระศาสนา ความรักพระศาสนาไม่ค่อยมี พระศาสนาเป็นอย่างไร ฉันก็ไม่เดือดร้อนด้วย ฉันอยู่ดีอยู่รอดไปได้ก็แล้วกัน เป็นอันว่า นอกจากความรู้สึกรักพระศาสนาจะไม่ค่อยมีแล้วก็ไม่ค่อยมีความรู้สึกเป็นส่วนร่วมด้วย นี้เป็นสภาพจิตใจที่น่าเป็นห่วง
แล้วต่อไปอีก ความรู้สึกตระหนักในหน้าที่ของพระภิกษุสามเณร ก็ไม่ค่อยจะมี
หน้าที่ของพระเณรนี้ โดยหลักใหญ่ก็รู้กันเรียกว่าศาสนกิจ นอกจากเล่าเรียนแล้ว ก็ปฏิบัติตามหลักการที่ได้เล่าเรียนไปแล้วด้วย แล้วก็เอาสิ่งที่ได้เล่าเรียนศึกษาปฏิบัติเป็นประสบการณ์ที่ได้ประจักษ์ผลนี้ ไปเผยแผ่สั่งสอนแก่ผู้อื่น ทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นหน้าที่ของพระเณร
หน้าที่ดังว่านั้น กำหนดโดยความสัมพันธ์ คือความสัมพันธ์ระหว่างตัวพระเณรเองกับวัด และความสัมพันธ์ระหว่างตัวพระเณรนั้นกับพระศาสนา แล้วก็ความสัมพันธ์กับประชาชนกับสังคมทั้งหมด
ความสัมพันธ์ระหว่างพระเณรกับประชาชนนั้น ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คือ ตามหลักการของพระศาสนา พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า ภิกษุสามเณรนั้นอาศัยชาวบ้านในแง่ของอามิสทาน ส่วนชาวบ้านก็จะได้ประโยชน์จากภิกษุสามเณรในแง่ของธรรมทาน
หมายความว่า ภิกษุสามเณรนั้นได้รับการบำรุงเลี้ยงจากชาวบ้านในด้านปัจจัย ๔ แล้ว ก็เอาธรรมะนี้ไปตอบแทนชาวบ้าน ไปสั่งสอนอบรม พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ว่า ถ้าการตอบแทนกันในลักษณะที่เอื้ออามิสทานและธรรมทานต่อกัน ยังเป็นอยู่เป็นไปด้วยดีแล้ว การดำรงอยู่ ดำเนินไป และอุดมการณ์ของพระศาสนา ก็จะยังเป็นไปได้
แต่ทีนี้ ในปัจจุบันนี้ เท่าที่มองดู ก็มองเห็นว่า พระเณรนั้นยังคาดหวังอามิสทานจากประชาชนมาก แต่ความตระหนักในหน้าที่ที่จะให้ธรรมทานแก่ประชาชนนี้ มีน้อย มีความรู้สึกเหมือนกับว่า เราบวชเข้ามาแล้ว ก็ได้รับการบำรุงจากประชาชน เอาเพียงแค่ว่าเขาให้ปัจจัย ๔ มา เขาได้บุญไปแล้ว ก็แล้วกัน ไม่ตระหนักถึงหน้าที่ที่จะต้องนำเอาธรรมะไปให้แก่ประชาชน นี่เรียกว่า ขาดความรู้ ขาดความตระหนักในหน้าที่ของตน ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสัญญาณแห่งความเสื่อมของพระศาสนา นี่เป็นประการหนึ่ง
แล้วอีกประการหนึ่ง ตามมากับหน้าที่ ก็คือความรับผิดชอบต่อประชาชน ต่อสังคม ต่อพระศาสนา และต่อวัดของตนเอง นี่ก็ไม่ค่อยมี ภัยอันตรายเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นภัยดัง ภัยเงียบ หรือภัยแฝงเร้น ก็ไม่ใส่ใจ ไม่ค่อยไหวตัว ไม่รู้สึกกระทบกระทั่งเดือดร้อน คล้ายอย่างที่ว่า อยู่กันไปโดยเอาตัวรอดได้เฉพาะตน
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกัน ถ้ามีความรู้สึกเป็นส่วนร่วมในพระศาสนา ในวัด รักพระศาสนา ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกรับผิดชอบ และทำให้เอาใจใส่ต่อหน้าที่ ทั้งหมดนี้โยงถึงกันทั้งหมด ถ้าไม่มีความสำนึกตระหนักรู้นี้ มันก็คือความเสื่อมที่แสดงตัวขึ้นมา ตั้งแต่ในจิตใจของพระเณรแต่ละองค์ๆ นั้นทีเดียว
ในสภาพปัจจุบันนี้ เห็นได้ว่า ความสำนึกตระหนักรู้เหล่านั้นขาดหายไป พระเณรแทบไม่มี หรือหาได้ยากที่จะมีความรักในพระศาสนา รู้สึกเป็นส่วนร่วมในพระศาสนา หรือตระหนักรู้สำนึกในหน้าที่ของตน ต่อประชาชน ต่อวัด ต่อพระศาสนา และมีความรู้สึกรับผิดชอบร่วมด้วย
จึงเป็นเรื่องของปัญหาที่ว่า เราจะทำอย่างไรให้การศึกษาสร้างคุณสมบัติเหล่านี้ขึ้นมาได้ ถ้าการศึกษาไม่สามารถทำคุณสมบัติเหล่านี้ให้เกิดมีขึ้นมาในตัวในใจของภิกษุสามเณรแล้ว ก็พึงมองเห็นว่า การศึกษานั้นไม่สำเร็จผล เราเอาสภาวะเหล่านี้เป็นเครื่องวัด หรือตรวจสอบการศึกษาที่มีอยู่
เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ว่า คงจะต้องมีการปรับปรุงการศึกษากันอย่างมาก โดยมีความหมายและความมุ่งหมายตามนัยที่กล่าวมานี้ เมื่อพระเณรมีจิตสำนึกในใจอย่างนี้ ก็เป็นทุนอย่างดีที่จะทำหน้าที่ให้แก่พระศาสนาต่อไป

No Comments
Comments are closed.