มีความคิดที่แยบคาย
คิดเองเป็น จึงจะพึ่งตนเองได้
ธรรมอีกข้อหนึ่ง ที่ตรัสไว้เปรียบเทียบเหมือนแสงเงินแสงทอง ก็คือ โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการแปลว่า การทำในใจโดยแยบคาย คล้ายกับที่เรียกกันว่ารู้จักคิด คิดเป็น หรือคิดถูกทาง
เมื่อมองเห็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไปพบอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าทำใจถูกต้อง คิดถูกต้อง รู้จักพิจารณา ก็จะทำให้เกิดปัญญาขึ้น ทำให้รู้ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง เกิดประโยชน์
โยนิโสมนสิการก็เป็นหลักที่สำคัญมาก เป็นตัวนำเข้าสู่มรรค หรือแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคู่กับกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัลยาณมิตรเป็นองค์ประกอบภายนอก คืออยู่นอกตัวเรา เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ และพระสงฆ์อย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านอยู่ข้างนอก แต่โยนิโสมนสิการ เป็นองค์ประกอบภายใน หรือปัจจัยภายใน อยู่ในตัวเราเอง อยู่ที่ความคิดของเรา
คนทั่วไปต้องอาศัยกัลยาณมิตร คือมีผู้ที่ชี้แนะบอกให้รู้ให้คิดว่าเป็นอย่างนี้ หรือชี้แนะว่ามีช่องทางอย่างนี้ จึงจะมองเห็นทาง คนทั่วไปนั้นจึงจะเข้าใจ
แต่ถ้าเป็นคนที่มีปัญญามาก เขาจะสามารถคิดเองด้วยโยนิโสมนสิการ บางทีก็ไม่ต้องอาศัยกัลยาณมิตรเลย หรืออาศัยน้อย เช่นบุคคลที่เป็นผู้เริ่มต้นค้นพบธรรม หรือตรัสรู้สัจธรรม จะต้องเป็นผู้ที่มีโยนิโสมนสิการ คิดค้นได้เองโดยไม่ต้องอาศัยกัลยาณมิตร บุคคลอย่างนี้ก็ได้แก่พระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงออกแสวงหาสัจธรรม พระองค์เสด็จไปเรียนไปทดลองปฏิบัติอยู่กับอาจารย์ และหมู่พวกนักบวชต่างๆ จนจบลัทธิวิธีของเขา และในที่สุดก็ทรงเห็นว่าไม่บรรลุจุดหมายที่พึงประสงค์ จึงได้ทรงคิดค้นต่อไปด้วยพระองค์เอง แล้วก็ได้ค้นพบสัจธรรมเป็นบุคคลแรก โดยไม่ได้มีกัลยาณมิตรมาแนะมาบอก ถ้าพระองค์ไม่มีโยนิโสมนสิการ จะต้องคอยอาศัยกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะต้องเป็นผู้ค้นพบก่อนคนอื่น บุคคลพิเศษอย่างนี้จึงต้องมีโยนิโสมนสิการมากเป็นพิเศษ คือเมื่อพบเห็นอะไร ต้องรู้จักคิด รู้จักพิจารณาเชื่อมโยงไปหาความจริง และให้เห็นความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติ สมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ก็อยู่ในวัง อยู่ท่ามกลางสิ่งบำรุงบำเรอมากมาย เหมือนกับผู้ที่ร่ำรวยมั่งมีศรีสุขทั้งหลาย เหมือนกับเจ้านายทั้งหลายที่มีความสุข แต่คนอื่นเขามัวเมาอยู่ในความสุข แล้วก็ปล่อยชีวิตผ่านไป ดำเนินชีวิตเหมือนคนรุ่นก่อนๆ ที่เคยทำกันมา
สำหรับพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์มีโยนิโสมนสิการ เมื่อมองเห็นสิ่งบำรุงบำเรอ อยู่ท่ามกลางวัตถุที่แวดล้อม จิตใจก็ไม่ได้ติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น กลับทรงยกเอาสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเป็นข้อพิจารณา แล้วกลับมองเห็นความจริงต่างๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสภาพแวดล้อมเหล่านั้น และทำให้พระองค์คิดไปอีกทางหนึ่ง คือคิดไปในทางที่จะแสวงหาสัจธรรม เมื่อมองเห็นความจริง มองเห็นความทุกข์ในสังสารวัฏ มองเห็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรต่างๆ ที่ครอบงำมนุษย์ ก็มองหาทางออก การที่จะคิดอย่างนี้ได้ก็เป็นเรื่องของโยนิโสมนสิการ
คนที่มีโยนิโสมนสิการ ก็มีเครื่องมือที่จะทำให้ค้นพบเห็นความจริง และแม้ว่าสำหรับคนทั่วไปจะต้องอาศัยกัลยาณมิตรบ้าง แต่ถ้ามีโยนิโสมนสิการมาก ก็จะสามารถคิดเห็นช่องทางของตนเอง ที่จะคิดต่อคิดแยกแยะเชื่อมโยงออกไป แล้วก็ก่อให้เกิดปัญญาสามารถก้าวหน้าไปในการดำเนินชีวิตที่ดี หรือในอริยมรรคได้รวดเร็วขึ้น โยนิโสมนสิการจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะทำให้คนพึ่งตนเองได้ และเข้าถึงชีวิตที่ดีงามอย่างแท้จริง
รู้จักคิดพิจารณา ทำให้แก้ปัญหา เลือกตัดสินใจได้ผล
เมื่อไปเห็นอะไรสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนหลายคนก็เห็นสิ่งเดียวกัน แต่คิดไม่เหมือนกัน
คนจำนวนมากจะคิดไปตามแนวทางที่เคยคิดกันมา หรือมองตามที่เห็นเพียงผิวเผิน ความคิดจะตันอยู่แค่นั้น หรือมิฉะนั้นก็คิดเตลิดเปิดเปิงไปเลย ไม่เป็นลำดับ ไม่มีเหตุผล ไม่เป็นขั้นเป็นตอน หรืออย่างที่ท่านเรียกว่า คิดปรุงแต่งไปตามความยินดียินร้าย หรือชอบชัง คนทั่วไปจะเป็นอย่างนั้น เมื่อเห็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คิดแค่ตามที่ชอบที่ชัง หรือยินดียินร้าย
คนที่ขาดโยนิโสมนสิการ เมื่อพบเห็นอะไร ไม่รู้จักคิด ก็จะมองแค่ตามที่ชอบใจและไม่ชอบใจ มองแค่ว่า จะกิน จะใช้ จะได้ จะเอา หรือไม่ เลยได้แค่คอยจะกิน คอยจะใช้ คอยจะบริโภค ทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้จักสร้างสรรค์ หรือแก้ไขปรับปรุง ชีวิตของตนเองก็ไม่พัฒนา จะช่วยพัฒนาสังคมประเทศชาติก็ไม่อาจจะทำได้
แต่คนที่มีโยนิโสมนสิการจะพิจารณาด้วยปัญญา คิดให้เห็นเหตุเห็นผล ก็ได้ความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างน้อย เมื่อพบเห็นอะไรแปลกใหม่ ก็รู้จักคิดค้นว่า สิ่งนั้นทำขึ้นมาได้อย่างไร นำไปสู่การรู้จักทำ รู้จักสร้างสรรค์ ทำได้และทำเป็น เมื่อพบปัญหาก็คิดค้นหาเหตุปัจจัย ทำให้แก้ปัญหาได้ จากคิดเป็น ก็นำไปสู่ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น ชีวิตของตนก็พัฒนา และช่วยพัฒนาประเทศ พัฒนาสังคมไปในทางที่ถูกต้อง
บางทีก็คิดแยกแยะเชื่อมโยงต่อไปอีก ทำให้ได้เห็นช่องทางที่จะปฏิบัติในทางที่เกิดประโยชน์ หรือผลดียิ่งขึ้นไป จนทำอะไรๆ ได้เรียบร้อยสมบูรณ์
เพราะฉะนั้น โยนิโสมนสิการจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญมากที่จะนำเข้าสู่อริยมรรค ให้ก้าวหน้าไปในวิถีชีวิตที่ถูกต้องดีงาม จึงเป็นองค์ประกอบที่คู่กันกับกัลยาณมิตร
เมื่อมีองค์ประกอบภายนอก คือ กัลยาณมิตร และองค์ประกอบภายใน คือ โยนิโสมนสิการ ๒ อย่างนี้แล้ว ก็เหมือนกับได้มีแสงเงินแสงทองปรากฏฉายขึ้นมา เรียกว่า รุ่งอรุณ ต่อจากนั้น พระอาทิตย์ก็จะอุทัย ได้แก่ การที่อริยมรรค กล่าวคือ วิถีชีวิตที่ดีงาม อันประเสริฐ บังเกิดขึ้นแก่ตัวบุคคลนั้น
สำหรับคนทั่วไปจะต้องมี ๒ อย่าง คือมีกัลยาณมิตรมาช่วยเริ่มต้น และก็ต้องมีโยนิโสมนสิการข้างในตนเองด้วย ถ้ามีแต่กัลยาณมิตร ไม่มีโยนิโสมนสิการ บางทีก็ไม่ได้ประโยชน์จากกัลยาณมิตร เหมือนคนบางคน ถึงจะมีกัลยาณมิตรช่วยแนะนำอย่างไร เขาก็ไม่รู้จักคิด เลยไม่เข้าใจ ไม่สามารถจะทำให้เกิดปัญญาได้ ก็ไปไม่ไหว จึงต้องมีโยนิโสมนสิการด้วย และต้องสร้างเสริมหมั่นใช้ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไป
โดยเฉพาะถ้ามีโยนิโสมนสิการมากเท่าไร ก็ยิ่งดี จะทำให้ต้องพึ่งพากัลยาณมิตรน้อยลง สามารถพึ่งตนเองได้ดียิ่งขึ้นโดยลำดับ โยนิโสมนสิการจึงเป็นหลักธรรมสำคัญ ที่จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
แม้แต่การเจริญวิปัสสนา บางทีท่านก็ใช้คำว่ากระทำโยนิโสมนสิการนั่นเอง คนที่มีโยนิโสมนสิการสามารถเจริญวิปัสสนาได้ดี และจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัตินั้น เพราะวิปัสสนาเป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นได้ โดยอาศัยโยนิโสมนสิการเป็นตัวนำที่สำคัญ
ที่กล่าวมานี้คือหลักธรรมข้อใหญ่สองประการที่เป็นแสงเงินแสงทอง แต่นอกจากนี้แล้วก็ยังมีอีกห้าข้อที่อยู่ในชุดของแสงเงินแสงทองนี้ เป็นแต่ว่าจุดที่เน้นมากก็คือสองข้อนี้ ได้แก่ กัลยาณมิตร กับ โยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นหัวข้อต้น กับหัวข้อสุดท้าย คือคุมหัวคุมท้าย หรือต้นขบวนกับท้ายขบวน ในท่ามกลางระหว่างสองอย่างนี้มีอีก ๕ อย่าง กล่าวคือ ต่อจากข้อที่หนึ่ง อันได้แก่ความมีกัลยาณมิตร ที่พูดมาแล้วก็มี
No Comments
Comments are closed.