ภาค ๒ วิสาขทัศน์ เพื่อรัฐและเพื่อโลก

2 มิถุนายน 2547
เป็นตอนที่ 3 จาก 4 ตอนของ

เสรีภาพที่เลื่อนลอยไม่รู้จุดหมาย
ทำลายประชาธิปไตยของคนที่ไร้การศึกษา

เวลานี้ สังคมนี้ถึงจุดวิกฤตแล้ว ย่ำแย่แล้ว คนไทยต้องมาช่วยกันสร้างสรรค์ชีวิต สร้างสรรค์ครอบครัว สร้างสรรค์สังคมของตัวเองขึ้นมา ให้เป็นชีวิต เป็นครอบครัว เป็นสังคม ที่ไม่ประมาท โดยเฉพาะไม่ประมาทในการศึกษา คือไม่ประมาทในการสำรวจตรวจตราและฝึกฝนพัฒนาชีวิตของตน ในการพัฒนากาย วาจา จิตใจ และปัญญาของตน พร้อมทั้งพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม กับเพื่อนร่วมโลกร่วมสังคมต่างๆ ให้ดี ร่วมกันทำให้ประเทศชาติสังคมและโลกนี้ร่มเย็นงอกงามอยู่ในสันติสุขต่อไป

เมื่อรู้จุดของปัญหาและรู้แนวทางในการสร้างสรรค์อย่างนี้แล้ว ถ้าเราตื่นขึ้นจากความประมาท ก็จะเกิดมีพลังที่จะทำการต่างๆ อย่างมีจุดหมาย

ตอนนี้แหละ พวกเสรีภาพและหลักการอะไรต่างๆ ที่ประชาธิปไตยให้ไว้ ก็จะมีความหมายขึ้นมา เราก็จะใช้เสรีภาพเป็นต้นนั้นอย่างมีจุดหมายด้วย โดยถูกต้องตามหลักการ ในการที่จะพัฒนาชีวิต ในการแสวงปัญญา ในการทำสิ่งดีงาม ในการนำเอาศักยภาพที่มีอยู่ ที่ได้พัฒนาออกมาเป็นความรู้ความสามารถสติปัญญาที่สุกงอมแล้ว เอามาเผื่อแผ่แก่กัน และเอามาร่วมกันในการสร้างสรรค์ชีวิตสังคมประเทศชาติ

ในทางตรงข้าม ถ้าเราไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแนวคิด ไม่เห็นทิศเห็นทาง มีแต่ความประมาท เสรีภาพที่ประชาธิปไตยให้ไว้ ก็จะกลายเป็นเสรีภาพที่ไม่สนองจุดหมายของประชาธิปไตย แต่จะเป็นเสรีภาพที่ทำลายประชาธิปไตยเสียเอง

เวลานี้ก็น่ากลัวเหมือนกันว่า เสรีภาพที่พูดๆ กันอยู่กำลังเป็นเสรีภาพที่ทำลายประชาธิปไตย ทำลายอย่างไร

ดูง่ายๆ เสรีภาพของคนจำนวนมากถูกใช้ไปเพื่อสนองโลภะ เขาใช้เสรีภาพเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เป็นเสรีภาพในการประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น และระบบแก่งแย่งแข่งขันก็เอื้อเสียด้วยที่จะทำให้เกิดภาวะเช่นนี้

เพราะฉะนั้น ในการใช้เสรีภาพ คนจึงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้น กำลังใช้เสรีภาพเพื่อสนองราคะ สนองโลภะ สนองโทสะ สนองตัณหา สนองมานะ ที่เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวเท่านั้น แล้วเสรีภาพแบบนี้จะช่วยสร้างสรรค์สังคมได้อย่างไร ประชาธิปไตยจะเกิดมีหรือจะพัฒนาได้อย่างไร

ประชาธิปไตยนั้นมีเสรีภาพไว้เพื่ออะไร ว่ากันในขั้นพื้นฐานที่สุด ก็เพื่อให้มีช่องทางที่แต่ละคนจะได้พัฒนาชีวิตของตัวเองให้ดีให้สมบูรณ์ เพราะชีวิตของคนเราเกิดมายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างดี ยังไม่ดีงาม ยังไม่เลิศไม่ประเสริฐขึ้นมาในทันที ยังต้องการโอกาสในการที่จะฝึกหัดพัฒนาศึกษาสืบไป

พูดง่ายๆ ว่า ชีวิตต้องการเสรีภาพ เพื่อให้โอกาสแก่การศึกษาที่เป็นสิทธิและหน้าที่พื้นฐานที่สุดของมัน นี่คือความต้องการเสรีภาพในระดับของชีวิต

เพราะฉะนั้น เราจะต้องพัฒนาชีวิตของเราให้เป็นดีอยู่ดีมีความเจริญงอกงามขึ้นมา เราต้องมีเสรีภาพในการที่จะได้จะถึงสิ่งและสภาวะเกื้อกูลต่างๆ ที่จะใช้จะช่วยพัฒนาชีวิตของตนให้เป็นดีอยู่ดีขึ้นไปสู่ความสมบูรณ์

เมื่อคนพัฒนาชีวิตของเขาให้ดีให้พร้อมขึ้นมา เขาก็มาพัฒนาครอบครัว พัฒนาชุมชน และพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นด้วย เขาพัฒนาตัวเองยิ่งพร้อมยิ่งดีเท่าใด เขาก็ยิ่งช่วยพัฒนาครอบครัวตลอดถึงสังคมได้พร้อมได้ดีมากขึ้นเท่านั้น

ทีนี้ก็มาถึงความต้องการเสรีภาพในระดับของสังคม ตามที่ถามว่า ประชาธิปไตยมีเสรีภาพไว้เพื่ออะไร ว่ากันในขั้นพื้นฐานระดับสังคม ก็เพื่อให้มีช่องทางที่แต่ละคน จะมีจะให้ความเป็นส่วนร่วม โดยนำเอาสติปัญญาความรู้ความสามารถของตน มาบอกมาแจ้งมาถ่ายทอดแก่กัน มาร่วมและมารวมกันในการสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติ

เช่นอย่างที่ว่า เมื่อเรามีเสรีภาพที่จะแสดงออก เรามีสติปัญญาความรู้ความสามารถอะไรอย่างไร เราก็เอาสติปัญญาความรู้ความสามารถนั้นมาบอกแจ้งแสดงถ่ายทอดเผื่อแผ่ขยายประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่สังคมได้

แต่ถ้าเราไม่มีเสรีภาพ สติปัญญาความรู้ความสามารถของเราที่มีอยู่ ก็เท่ากับถูกปิดกั้น ความสามารถของบุคคลก็ไม่เกิดประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม ตัวเองก็พัฒนาชีวิตไม่ได้ พัฒนาสังคมไม่ได้

เพราะฉะนั้น เขาจึงให้มีหลักการแห่งเสรีภาพในสังคมประชาธิไตย เพื่อว่าคนที่เป็นสมาชิกอยู่ร่วมสังคม จะได้ใช้เสรีภาพเพื่อพัฒนาชีวิตของตนเอง และเมื่อพัฒนาชีวิตของตนให้ดีงามมีความสามารถขึ้นมา ก็มีโอกาสที่จะนำเอาความรู้ความสามารถสติปัญญานั้นมาเผยแพร่ให้ผู้อื่นในสังคมร่วมได้ประโยชน์ไปด้วย

ความมุ่งหมายของเสรีภาพในขั้นพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสรีภาพมีไว้เพื่อให้คนมีโอกาสที่จะบอกแจ้งและสนองความต้องการต่างๆ ซึ่งโดยหลักใหญ่ก็พ่วงมากับโอกาสในการที่จะพัฒนาชีวิตและเป็นส่วนร่วมของสังคมนั่นเอง กล่าวคือ ในการพัฒนาชีวิตก็ตาม ร่วมสร้างสรรค์สังคมก็ตาม ย่อมต้องการปัจจัยเอื้อต่างๆ ซึ่งอาจจะยังขาดยังพร่องและควรจะต้องหาทางจัดอำนวยให้ จึงต้องมีโอกาสบอกแจ้งแสดงความต้องการนั้น

น่าสังเกตว่า เวลานี้ คนมักมุ่งจะเอาเสรีภาพเฉพาะในแง่ของการได้รับโอกาสที่จะสนองความต้องการของตน และความต้องการนั้นก็มักเป็นเรื่องเปะปะ เช่นเพียงเพื่อจะสนองตัณหา สนองราคะ สนองโทสะ สนองโมหะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตและการสร้างสรรค์สังคม ไม่สนองจุดหมายของประชาธิปไตย

รวมความว่า เสรีภาพในสังคมประชาธิปไตยนั้น มีจุดหมาย อยู่ในระบบแห่งความสัมพันธ์ ไม่ใช่เสรีภาพที่เลื่อนลอย หรือจบในตัวของมันเอง

ประชาธิปไตยไม่สำเร็จแค่เสียงข้างมากเป็นใหญ่
ประชาธิปไตยสัมฤทธิ์เมื่อการศึกษาได้พัฒนาคนส่วนใหญ่

ถ้ามองความหมายของเสรีภาพผิด ก็มองความหมายของประชาธิปไตยผิดด้วย ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่แค่ว่าคนส่วนมากหรือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ไม่ใช่แค่เอาความต้องการของคนส่วนมากเป็นใหญ่

ถ้าเอาแบบนี้ ก็เหมือนนักเรียนกับครู เข้าโรงเรียนวันนี้ พอระฆังแก๊ง เข้าแถวเรียบร้อยแล้ว เข้าชั้นเรียน พอเข้าชั้นปุ๊บพร้อมกันแล้ว ครูก็ปรึกษานักเรียน

“นักเรียนทั้งหลาย เรามาลงคะแนนเสียงกันซิว่า วันนี้เราจะเรียนหรือจะเล่น”

ปรากฏว่านักเรียนส่วนใหญ่บอกว่า “เล่น” นี่ประชาธิปไตยสำเร็จแล้ว ประชาธิปไตยแบบนี้ดีไหม ก็ลองคิดดูเถิด ประชาธิปไตยที่ใช้เสรีภาพเพื่อสนองความต้องการแบบเปะปะเลื่อนลอย สนองตัณหา สนองโลภะ สนองราคะ สนองโทสะ สนองมานะ อะไรพวกนี้ เป็นประชาธิปไตยจริงหรือ

ตัวอย่างที่ยกมานี้ ไม่ใช่จบแค่นั้น แต่มันเป็นบทพิสูจน์ที่ท้าทายระบบประชาธิปไตยด้วย

ท้าทายอย่างไร คือ มันท้าทายว่า การพัฒนาประชาธิปไตยจะสำเร็จหรือไม่ ประชาธิปไตยที่แท้จะมีได้จริงไหม

เมื่อนักเรียนส่วนมากลงคะแนนเสียงว่าให้เล่น-ไม่เรียน นั่นคงเป็นการแสดงความต้องการแบบเปะปะ หรือความต้องการดิบ

คุณครูที่ดีย่อมไม่ติดตันแค่นั้น แต่จะช่วยเด็กให้พัฒนาขึ้นสู่ประชาธิปไตย โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ เช่น ชี้แจงอธิบายถกเถียงสนทนา

เมื่อนักเรียนรู้เข้าใจความจริง คุณค่า ประโยชน์ เหตุผล เป็นต้นแล้ว ถ้ารู้ตระหนักจริง ความต้องการของเขาจะเปลี่ยนไป คือกลายเป็นความต้องการที่พัฒนาแล้ว หรือเป็นความต้องการของคนที่มีการศึกษา คะแนนเสียงส่วนมากอาจจะบอกว่า “เรียน” ยังไม่เล่น

คุณครูและโรงเรียนจะทำการนี้สำเร็จหรือไม่ นี่เป็นบททดสอบที่ท้าทาย ซึ่งบอกในตัวว่าประชาธิปไตยมีทางที่จะงอกงามในสังคมนี้หรือไม่ และยืนยันหลักการที่ว่า ประชาธิปไตยสัมฤทธิ์ได้ด้วยการศึกษา ประชาธิปไตยด้วยการศึกษา และประชาธิปไตยเพื่อการศึกษา

จากที่ได้พูดมา ลองดูว่าเดี๋ยวนี้เขาใช้เสรีภาพกันเพื่ออะไร เสรีภาพมีประโยชน์เพื่อสร้างสรรค์สังคมประชาธิปไตยหรือเปล่า เป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตยหรือเปล่า

เดี๋ยวนี้เขาไม่ถามกันว่าประชาธิปไตยมีเสรีภาพไว้เพื่ออะไร ตามหลักการจะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ เมื่อมีประชาธิปไตย ก็ต้องมีเสรีภาพ แล้วทำไมต้องมีเสรีภาพ คนในสังคมนี้ต้องมีคำตอบ

แต่เดี๋ยวนี้คนสักว่ามีเสรีภาพ มองแค่รูปแบบถ้อยคำ แล้วความหมายก็คลาดเคลื่อนเพี้ยนไปหมด เสร็จแล้วก็อย่างที่บอกเมื่อกี้ เสรีภาพก็ไม่สนองจุดหมายของประชาธิปไตย แล้วในที่สุดเสรีภาพก็จะทำลายประชาธิปไตยนั้นเสียเอง สังคมจะเป็นประชาธิปไตยได้ต้องมีความดีงาม ต้องเป็นสังคมแห่งสติปัญญา เป็นสังคมของผู้มีการศึกษาพัฒนาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไปไม่รอด ถ้าจะสร้างสังคมประชาธิปไตย อย่างน้อยก็ต้องรู้จักใช้เสรีภาพให้ถูกต้อง

ถ้าคนไทยมีจิตใจใหญ่กว้างเป็นชาวพุทธถึงขั้น
ก็จะไปถึงจุดหมายใหญ่แห่งการสร้างสรรค์โลกที่สันติสุข

วันนี้ก็เลยพูดกับญาติโยมเสียยาวนาน รวมแล้วก็คือ เป็นภาระของพุทธบริษัททั้ง ๔ ทั้งที่เป็นพระสงฆ์ ทั้งที่เป็นคฤหัสถ์ ทั้งที่เป็นชาวบ้านราษฎร จนถึงผู้นำผู้บริหารประเทศชาติแผ่นดินตลอดจนถึงโลก ต้องไม่มองแค่ประโยชน์และความยิ่งใหญ่ที่จำกัดผูกพันอยู่กับตัว

ขอบเขตความคิดของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่อยู่แค่ชาติหรือรัฐของตน แต่อยู่ที่การสร้างสรรค์สันติสุขของโลกทั้งหมด เรามีความคิดที่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งพูดได้โดยมั่นใจว่า พระพุทธศาสนามีแนวคิดรัฐศาสตร์เพื่อโลก ซึ่งยังไม่เห็นที่ไหนอื่น เพราะมีกันแต่รัฐศาสตร์เพื่อชาติ คือรัฐศาสตร์เพื่อผลประโยชน์และอำนาจแห่งรัฐของตนเอง

พระพุทธศาสนาให้หลักนี้ไว้แล้ว และมีพระราชามหากษัตริย์ที่ทำไว้เป็นแบบอย่าง คือ พระเจ้าอโศกมหาราช แต่พอสิ้นสมัยของพระองค์ไป ไม่ช้าก็เลิกหมด กลับไปสู่ยุคเก่า

พระเจ้าอโศกนั้นห้ามนักหนาในเรื่องการแสวงแสดงอำนาจเบียดเบียน ถึงกับทำศิลาจารึกไว้ ห้ามมิให้มีการบูชายัญ เป็นหลักการใหญ่อันหนึ่ง แต่ราชวงศ์ศุงคะที่ล้มราชวงศ์ของพระเจ้าอโศก พอขึ้นครองราชย์ปั๊บ ก็ทันทีเลย ประกาศความยิ่งใหญ่ ด้วยการประกอบพิธีบูชายัญอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า อัศวเมธ

การบูชายัญที่เงียบหายไปเป็นศตวรรษ ก็เลยฟื้นมา ลัทธิแสวงอำนาจยิ่งใหญ่ก็ฟูขึ้นอีก แล้วเขาก็พยายามเสริมระบบวรรณะให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น กระแสโลกก็เลยไปกันอีกทางหนึ่ง การสร้างสรรค์โลกด้วยธรรมวิชัยก็หยุดชะงักและเลือนหายไป

คนไทยจะสามารถช่วยกันฟื้นหลักการสำคัญระดับนี้ให้คืนมาได้หรือไม่ ก็ขอให้มาช่วยกันคิดต่อไป บนพื้นฐานแห่งความรักความปรารถนาดีต่อกัน

ราษฎรก็ต้องมีความรักความปรารถนาดีเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ผู้บริหารประเทศชาติ รัฐบาลก็ต้องเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ประชาราษฎรทั้งหลาย ต่างก็มีน้ำใจปรารถนาดีต่อกันด้วยมุ่งจุดหมายอันเดียวกัน คือเพื่อให้ประเทศชาติสังคมร่มเย็นเป็นสุขเจริญงอกงาม และให้ประเทศชาติของเรามีกำลังมีความสามารถที่จะไปร่วมแก้ไขปัญหาของโลก เพื่อนำโลกสู่สันติสุขสืบต่อไป

หวังว่าพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และสอนไว้ ซึ่งเริ่มที่วันวิสาขบูชานี้ จะมีความหมายเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก ถ้าหากได้นำไปประพฤติปฏิบัติในแง่ต่างๆ ซึ่งวันนี้ก็ได้เน้นในแง่ของการเมืองการปกครอง ตลอดจนในเรื่องของสังคมโดยทั่วไป

ทั้งนี้ก็อาศัยพื้นฐานตั้งแต่การพัฒนาชีวิตของตน คือการที่ทุกคนต้องศึกษานั่นเอง เพราะว่าตามหลักธรรมที่แท้นั้น การศึกษาก็คือฝึกตนเองให้พัฒนาขึ้นไป ทั้งในศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งทางกาย วาจา ใจ ปัญญา ทั้งด้านพฤติกรรมความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคม ทั้งด้านพัฒนาการทางจิตใจ ทั้งด้านพัฒนาการทางปัญญา

ถ้าทำได้อย่างนี้ โดยมีจุดหมายที่ชัดเจนว่าจะทำเพื่อชีวิตที่ดี สังคมที่ดี และโลกที่ดีน่าอยู่อาศัย ก็จะเดินหน้าไปอย่างมั่นคงและมีความมั่นใจ

เวลานี้จุดหมายของมนุษย์ต้องวาง ๓ อย่าง คือ หนึ่ง ชีวิตดี สอง สังคมดี สาม โลกที่น่าอยู่อาศัย จึงจะได้ครบหมด โดยมีองค์ประกอบ ทั้งด้านมนุษย์ที่เป็นชีวิตและบุคคล ทั้งสังคม และทั้งธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เราต้องมาช่วยกันสร้างสรรค์ต่อไป โดยมองอย่างถูกต้อง ให้เห็นความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ เหล่านี้ว่ามันโยงถึงกันหมด

เมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้ว ก็จะได้ผลสำเร็จด้วยกันหมดทุกด้าน ครบทั้ง ๓ แดน ทั้งชีวิตดี สังคมดี โลกนี้น่าอยู่อาศัย หรือชีวิตดีงาม โลกน่ารื่นรมย์ สังคมมีสันติสุข

ขอให้พุทธศาสนิกชนมีกำลังใจที่จะช่วยกันนำธรรมของพระพุทธเจ้าไปศึกษาเพิ่มเติม ทำความเข้าใจให้ชัดเจน แล้วนำไปบอกเล่าแนะนำสั่งสอนกัน ตั้งแต่ในครอบครัวเป็นต้นไป และปฏิบัติให้เกิดเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติสังคมและชาวโลก

วันนี้เป็นวันดี ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่านที่มีน้ำใจเป็นบุญเป็นกุศล เป็นวาระอันเป็นมงคลแท้ที่เกิดจากกุศล ซึ่งเราได้ทำทั้งกาย วาจา ใจ ขอน้อมนำบุญกุศลนี้ประกอบเข้ากับคุณพระรัตนตรัย เป็นปัจจัยอภิบาลรักษา ให้ทุกท่านเจริญงอกงามด้วยจตุรพิธพรชัย มีความร่มเย็นเกษมศานต์ มีกำลังในการที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ชีวิต ครอบครัว สังคมประเทศชาติ และโลกนี้ ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขสืบต่อไป อย่างยั่งยืนนาน

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ภาค ๑ วิสาขทัศน์ เพื่อวัดและพุทธบริษัทคำปรารภ >>

หน้า: 1 2 3 4

No Comments

Comments are closed.