ทักทาย

5 มีนาคม 2546
เป็นตอนที่ 1 จาก 10 ตอนของ

เมื่อวินัยไม่มี เสรีภาพก็หายไป1

ทักทาย

วันนี้ กาลเวลาได้เวียนมาครบรอบปีอีกครั้งหนึ่ง บรรจบถึงวันมาฆบูชา เรารู้สึกกันอยู่เสมอว่า วันเวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

ความจริง ปีนี้เป็นปีที่ช้าด้วยซ้ำไป เพราะมีเดือนแปดสองหน วันมาฆบูชาซึ่งตามปกติจะมาถึงในวันเพ็ญกลางเดือนสาม ปีนี้ก็เลื่อนมาเป็นกลางเดือนสี่ ช้าไปตั้งหนึ่งเดือน แต่เราก็ยังรู้สึกว่าเร็วอยู่นั่นเอง รวมความว่าครบหนึ่งปีแล้ว

หนึ่งปีนี้ก็มีความหมายสำคัญ และวันนี้ก็มีความหมายดีที่เป็นบุญเป็นกุศล เพราะเป็นวันที่เราได้มากระทำพิธีบูชาพระรัตนตรัย ทำจิตใจของเราให้ดีงามสดใส เพียงว่าเราตื่นขึ้นมาวันนี้ นึกถึงวันมาฆบูชาคิดว่าจะไปวัด ก็ใจดีแล้ว ใจมีบุญกุศลด้วยศรัทธา เป็นต้น

หลายท่านเริ่มวันด้วยการตักบาตร นี่ก็คือเริ่มวันด้วยการทำบุญ โดยมีจิตใจดีงาม ซึ่งเป็นนิมิตแห่งความเจริญงอกงามและความสุขต่อไป ดังที่เราถือเป็นประเพณีมาแต่ไหนแต่ไรว่า ให้เริ่มต้นวันด้วยบุญกุศลคือความดี

ถึงวันนี้ที่เป็นวันพิเศษ เราก็เริ่มต้นด้วยการทำบุญตักบาตร ถ้าแม้ไม่มีโอกาสที่จะทำ เราก็เริ่มต้นด้วยการทำจิตของเราให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เท่านี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว

ต่อจากนั้น หลายท่านก็ไปวัด ไปที่โน่นที่นี่ หรือแม้อยู่ที่บ้าน ก็อาจตั้งใจว่าวันนี้จะสวดมนต์รักษาศีล ก็เป็นเรื่องที่ดีงามทั้งสิ้น

หลายท่านเดินทางไปไกลๆ พอถึงวันสำคัญอย่างนี้ แทนที่จะไปเที่ยวสนุกสนาน เราก็ไปในเรื่องบุญกุศล ไปเยี่ยมวัดโน้นวัดนี้ ก็ดีทั้งนั้น เรียกว่าญาติโยมมีวิธีการต่างๆ ในการที่จะทำให้วันนี้มีความหมาย

แต่ในที่สุดต้องให้ประสานกัน คือให้ทุกส่วนของชีวิตและสังคม เป็นเรื่องของความดีงามเป็นบุญเป็นกุศล ประสานกันทั้งเรื่องพระศาสนา เรื่องธรรมะ แล้วก็วัฒนธรรมประเพณี ให้ได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะให้แต่ละคนถือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นจุดบรรจบประสานของความดีงาม

เริ่มที่ชีวิตของเรา ให้กายกับใจประสานกันเป็นบุญเป็นกุศล เมื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดหมดจดแล้ว ก็ทำข้างในคือจิตใจให้สะอาดผ่องใสด้วย

จากนั้นมาบรรจบกับด้านสังคม เราก็มีใจปรารถนาดีต่อกัน มาร่วมกันในพิธีที่เป็นบุญเป็นกุศล พอมาพบพระ ก็เป็นสิริมงคล ตามหลักที่ว่า “สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” การได้มาเยี่ยมเยียนพบเห็นพระ เป็นอุดมมงคล

อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรจะขาด ก็คือให้ประสานกับธรรมชาติ ได้พบเห็นสิ่งแวดล้อมที่เรียบร้อยรื่นรมย์ ซึ่งนำใจให้สงบเยือกเย็นและสดชื่นเบิกบาน

ถ้าได้อย่างนี้ก็นับว่าครบบริบูรณ์ แต่คนยุคปัจจุบันไม่ค่อยได้ครบถ้วนอย่างนี้ เพราะชีวิตแตกกระจัดกระจายไปคนละหลายๆ ด้าน กายไปทางหนึ่ง ใจไปทางหนึ่ง ใจก็ไม่ค่อยอยู่กับตัว การงานที่กังวลก็มาลากจูงหรือคอยกวนใจ แล้วก็ต้องยุ่งกับเรื่องทางสังคม บางทีก็วุ่นวายกับการแข่งขันแย่งชิง ทำให้ประสานหรือสมานกันไม่ได้ แล้วก็ห่างจากธรรมชาติอีก

พอถึงวันบุญอย่างนี้ เราก็ทำให้มีความหมาย อย่างน้อยก็ให้เกิดการบรรจบประสานกันขึ้นมาบ้าง ญาติโยมมากันนี้ จิตใจก็ดีมาแล้ว กายก็มาชุมนุมกันเป็นกายสามัคคี มาร่วมทำบุญด้วยกัน แล้วก็มาพบกับธรรมชาติที่ดีที่งามพอสมควร เป็นอันว่า ด้านสังคมก็ดี ด้านธรรมชาติก็ดี ด้านกายใจเราก็ดี นี่แหละดีครบหมด แล้วก็ให้ได้ปัญญาด้วย ปัญญานั้นจะเป็นตัวที่ช่วยให้เราเจริญพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป

นี่ก็เป็นความหวังที่ว่าเราจะพยายามทำให้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่นวันมาฆบูชานี้ เป็นวันที่มีความหมาย

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไปทวนกันทุกปี >>

เชิงอรรถ

  1. ธรรมกถา ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุตฺโต) ในวันมาฆบูชา พ.ศ. ๒๕๔๗

No Comments

Comments are closed.