คนไทย ที่ทางสองแพร่งแห่งการพัฒนา

5 มีนาคม 2546
เป็นตอนที่ 10 จาก 10 ตอนของ

คนไทย ที่ทางสองแพร่งแห่งการพัฒนา

วันนี้ คือวันมาฆบูชา เป็นวันที่มีความหมายสำคัญ อย่างน้อยก็มาเตือนใจเรา ให้นำเอาหลักการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้มาพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยมองไปโยงกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตและสังคม และไม่ใช่มองแง่เดียวชั้นเดียว แต่มองให้ทั่วตลอดรอบด้าน

วันนี้ ก็เป็นอันว่า ได้พูดเรื่องสำคัญ ๒ อย่าง คือ หนึ่ง เรื่องขันติ ความเข้มแข็งอดทน แล้วก็เอาความเข้มแข็งนั้นมาใช้ในข้อที่ สอง เรื่องวินัย ที่จะเป็นเครื่องจัดสรรให้เกิดโอกาส โดยมีเสรีภาพที่จะใช้โอกาสนั้น ให้เป็นช่องทางที่จะนำเอาศักยภาพ แห่งความดีงาม ความรู้ สติปัญญา ความสามารถ ของตนๆ ออกมาใช้ในทางที่ดีงามสร้างสรรค์ ให้เป็นผลดีทั้งแก่ชีวิตและสังคมที่จะพัฒนาต่อไป

สังคมไทยนี้ก็มีความสามารถอยู่ แต่ทำไมไม่เดินหน้า เตาะแตะอยู่แค่นี้ ก็มัวยินดีในความด้อยพัฒนา ที่เขาเรียกให้เพลินว่ากำลังพัฒนา

ทำไมไม่คิดสักทีว่า เออ… เรานี้ก็มีความสามารถที่จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่แค่ด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนา

ตอนนี้ทางรัฐบาล ท่านนายกฯ ก็บอกว่า อีกไม่กี่ปีประเทศไทยจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่จะเป็นอย่างนั้นได้ ประชาชนพลเมืองต้องเป็นคนมีคุณภาพ ซึ่งมีความสามารถในการที่จะพัฒนา

ไม่ใช่ว่าแค่ผู้นำพูดไว้แล้วมันจะเป็นจริงได้ ประชาชนนี่แหละเป็นตัวตัดสินการพัฒนา ถ้าประชาชนไร้คุณภาพ ไม่มีความสามารถในการพัฒนา ก็เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้

แล้วก็อย่าดีใจแค่จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว จะต้องมองไกลไปเป็นประเทศผู้นำในการที่จะแก้ปัญหาของโลกนี้เลย คือเป็นผู้นำในการพัฒนาที่ถูกต้อง เพราะเวลานี้ก็ยอมรับกันแล้วว่าโลกปัจจุบันได้พัฒนามาหลงทางผิดพลาด

ประเทศพัฒนาแล้ว จะเป็นประเทศตะวันตก หรือตะวันออก ไม่ว่าอเมริกาหรือใคร จนถึงญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ก็พูดกันนักหนาว่ามีการพัฒนาที่ผิด แล้วประเทศไทยนี้ ถ้ามัวพัฒนาอยู่ ก็คือตามประเทศที่พัฒนาผิดไปแล้วใช่ไหม

เมื่อตามประเทศที่พัฒนาผิด พอตัวเองไปเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ก็ไปเป็นประเทศที่ได้พัฒนาผิดไปกับเขาด้วย

ถ้าจะทำให้ถูก เมื่อเขาพัฒนากันมาผิด เราก็ต้องปรับแก้การพัฒนาเสียใหม่

ฉะนั้น จึงต้องมุ่งไปให้สูงกว่านั้น ในเมื่อเวลานี้เขาพัฒนามาแล้ว แต่พัฒนาผิด เราก็จะต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ที่พัฒนาถูก แล้วมานำประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ให้พัฒนาไปในทางที่ถูกต้องต่อไป เพื่อให้เกิดความดีงามและสันติสุข หรือสันติภาพอะไรของโลก อย่างที่ต้องการ แล้วก็ทำกันไม่ได้สักที

ทั้งหมดนี้ ถ้าชาวพุทธนำโอวาทปาติโมกข์มาเป็นหลักนำ ก็จะบรรลุผลสำเร็จสมความมุ่งหมาย

วันนี้เป็นวันดี ญาติโยมก็มีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ด้วยศรัทธาและเมตตาไมตรี มาทำความดีร่วมกัน แต่ละคนใจดี แล้วก็มาใจดีต่อกัน เป็นความสามัคคีในกุศล ก็ขอให้ดีอย่างนี้เรื่อยไป คือมีความรัก มีเมตตา มีความสามัคคี ตั้งแต่ในครอบครัว เริ่มด้วยจุดสำคัญที่สุด คือคุณพ่อคุณแม่ กับลูก เป็นต้นไป

ขอแทรกอีกนิดหนึ่ง เวลานี้ คุณพ่อคุณแม่ มีคู่แข่งมาก คู่แข่งในสังคมที่จะแย่งชิงดึงพาเอาลูกไปนั้น มาทางข่าวสาร ตั้งแต่ทางทีวีและสื่อต่างๆ มากมายสารพัด พ่อแม่จะเอาลูกไว้ได้ ต้องสู้กับเจ้าพวกคู่แข่งที่เข้ามา

แต่อย่ามัวไปสู้เลย ไม่ไหวแน่ มีแต่แพ้

แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องยึดใจลูกไว้ให้ได้ ถ้ายึดใจลูก ให้ลูกมีใจอยู่กับเราแล้ว ทีนี้ก็มาต่อต้าน และมาต้อนรับมันด้วยกัน

ตรงนี้ พ่อแม่ต้องทำให้ได้ ต้องยึดใจลูกให้ได้ ให้ใจลูกมาอยู่กับเรา แล้วก็ร่วมมือกับลูก ในการรับมือกับศึกที่มาจากข้างนอก

ข้าศึกศัตรูเวลานี้มากเหลือเกิน คนในครอบครัวต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งพ่อแม่ร่วมมือกับลูก และลูกร่วมมือกับพ่อแม่ จึงจะรับมือไหว

แต่ถ้าพ่อแม่ไปมัวสู้กับศัตรูคู่แข่งที่เข้ามาละก็ หมดแรงแน่ และก็จะเสียลูกไปให้เขาด้วย

เอาละ ขอฝากไว้ ส่วนวิธีการที่ว่าทำอย่างไรจะยึดใจลูกไว้ได้ ก็ค่อยว่ากันใหม่ วันนี้พอไว้ก่อน

ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่าน ที่มาทำบุญ ในวันสำคัญมาฆบูชาวันนี้

ขอให้ทุกท่าน เมื่อมีจิตใจดีงามผ่องใส และมีเมตตาไมตรีต่อกันแล้ว ก็จงมีใจเผื่อแผ่กุศลต่อส่วนรวม ต่อสังคมประเทศชาติ ที่จะช่วยกันทำให้ความดีงามที่เราเริ่มต้นในวัด ขยายกระจายออกไป ให้เกิดความเจริญงอกงาม มีชีวิตดี ครอบครัวดี สังคมดี และโลกนี้ดีตลอดทั่วกัน

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< มองกว้าง-คิดไกล เรื่องวินัย-เสรีภาพ

No Comments

Comments are closed.