- (กล่าวนำ)
- พัฒนามนุษย์ กับ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์
- สังคมต้องไม่ถูกครอบงำด้วยความพร่ามัว และความเลื่อนลอย
- พระพุทธศาสนามุ่งหมายให้คนเข้มแข็งและก้าวหน้า
- ธรรมชาติบอกว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตแห่งการฝึกฝนพัฒนา
- ความเชื่อใดทำให้คนถดถอยรอคอยผลบันดาล ความเชื่อนั้นผิดหลักการของพระพุทธศาสนา
- ตัดความวุ่นวายด้านวัตถุ เพื่อเร่งการสร้างสรรค์ได้เต็มที่
- คนไทยสมัยนี้ใช้ไสยศาสตร์ โดยขาดความฉลาดของคนไทยสมัยก่อน
- คนไทยสมัยนี้ใช้เทคโนโลยี โดยขาดความเข้มแข็งของฝรั่งที่สร้างสรรค์
- ถ้ามัวหวังพึ่งและชอบสบาย สังคมไทยจะยิ่งอ่อนแอลง
- จะฝึกเด็กให้เข้มแข็งด้วยการสู้ปัญหา หรือคอยเอาใจให้เด็กเห็นแก่เสพและสบาย
- ถ้าปลูกความอยากดีขึ้นมาได้ ก็คือแสงอุทัยแห่งชีวิตที่จะพัฒนา
- คนจะกลายเป็นทาส ถ้ามัวใช้เทคโนโลยีเพื่อการเสพ แต่คนจะเป็นนาย เมื่อใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างสรรค์
- สำหรับผู้ใฝ่เสพ การทำงานคือความทุกข์ สำหรับผู้ใฝ่สร้างสรรค์ การทำงานคือความสุข
- ถึงเวลาที่ต้องมาทบทวนกันใหม่ ในความหมายของหลักการสำคัญแห่งประชาธิปไตย
- จะถึงสนธยาแห่งประชาธิปไตย ถ้ามัวใช้เสรีภาพ-เสมอภาคเพื่อแก่งแย่ง จะให้ประชาธิปไตยสดใส ต้องใช้เสรีภาพ-เสมอภาคเพื่อร่วมสร้างสรรค์
พระพุทธศาสนามุ่งหมายให้คนเข้มแข็งและก้าวหน้า
ก่อนที่พุทธศาสนาจะเกิดขึ้นในอินเดียนั้น ความเชื่อในสิ่งเหล่านี้แพร่หลายมาก และสภาพเช่นนี้เองเป็นเหตุให้พุทธศาสนาเกิดขึ้น พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ดีงามถูกต้องเป็นประโยชน์เพียงพอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้
พระพุทธศาสนาดึงคนจากเทพมาสู่ธรรม หมายความว่า คนในยุคนั้นหวังโชคลาภ ความสำเร็จ ความปลอดพ้นจากภัยอันตราย ด้วยอำนาจดลบันดาลของเทพเจ้า คนจึงต้องเอาใจบูชาบวงสรวงเทพเจ้า จนกระทั่งมีการบูชายัญต่างๆ คนไม่ได้ดูว่าตัวเองจะต้องทำอะไร ตัวเองจะต้องแก้ไขปรับปรุงตนเองอย่างไร แต่มองไปว่าเราจะไปขอรับการช่วยเหลือจากเทพเจ้าองค์ไหน เราจะต้องเอาใจท่านอย่างไร เมื่อเราคิดว่าผลที่ต้องการอยู่ที่การดลบันดาลของท่าน เราก็ต้องพยายามเอาใจท่าน หมายความว่า จิตใจก็คิดแต่ว่าจะเอาใจท่านอย่างไร ให้ท่านโปรด ฉะนั้นก็ไม่เป็นอันได้ทำสิ่งที่ควรจะต้องทำด้วยความเพียรพยายามของตน
เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา พระองค์ตรัสว่า ดูนี่ซิ สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย ผลที่จะเกิดขึ้นย่อมเกิดจากเหตุ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านต้องการผลอะไร ท่านก็ต้องทำเหตุของมัน เราจึงพูดว่าพระพุทธเจ้าดึงคนจากเทพมาสู่ธรรม คือมาสู่ความจริงแห่งกฎธรรมชาติ แห่งความเป็นไปตามเหตุและผลตามหลักที่ว่า “สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย” ซึ่งเรียกว่า หลักธรรม
จากหลักธรรม คือความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็โยงมาสู่หลักกรรม คือการที่มนุษย์จะต้องทำเหตุปัจจัยเพื่อให้เกิดผลที่ตนต้องการ ดังนั้นพระพุทธศาสนา จึงเรียกว่ากรรมวาทะ และพระพุทธเจ้าจึงมีพระนามว่ากรรมวาที พร้อมกันนั้น คู่กับ กรรมวาทะและกรรมวาที ก็คือ พระพุทธศาสนาเป็นวิริยวาทะ และพระพุทธเจ้าเป็นวิริยวาที สองคำนี้จะต้องเรียกคู่กัน ไม่ขาดจากกัน กรรมวาทะและวิริยวาทะ เป็นชื่อของพระพุทธศาสนา กรรมวาทีและวิริยวาที เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า
กรรมวาทะ แปลว่าถือหลักการกระทำ วิริยวาทะ แปลว่าถือหลักความเพียร เป็นคู่กัน เพราะว่าคนเราจะทำอะไรให้สำเร็จด้วยตัวเองก็ต้องใช้ความเพียร แต่ถ้าอ้อนวอนเทพเจ้าก็ไม่ต้องใช้ความเพียร เพียงแต่พยายามเอาใจท่าน แล้วก็รอให้ท่านดลบันดาลให้เราไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าบอกว่าผลสำเร็จที่ต้องการเราต้องทำเอง เราก็ต้องใช้ความเพียรเพราะฉะนั้นกรรมจึงมาพร้อมกับความเพียรพยายาม แต่การกระทำของเขานั้นมีจุดสำคัญคือต้องถูกต้องตามกฎแห่งเหตุปัจจัยหรือกฎธรรมชาติด้วย แม้เขาจะมีความเพียรทำการต่างๆ แต่ถ้าการกระทำนั้นไม่ถูกต้องตามเหตุปัจจัยในกฎธรรมชาติ การกระทำนั้นก็จะไม่นำสู่ผลสำเร็จที่ต้องการ ถึงเพียรพยายามทำไปก็เหนื่อยเปล่า
ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นอีกประการหนึ่งคือ จะทำอย่างไรให้กรรมหรือการกระทำของเรานั้นถูกต้องตามเหตุปัจจัย คำตอบก็คือเรา ต้องมีปัญญาที่รู้เหตุปัจจัย เพื่อจะทำเหตุปัจจัยให้ถูกต้อง และเพื่อจะให้เกิดปัญญา จึงต้องมีการศึกษา
การศึกษา หรือ สิกขา จึงเป็นหลักการทั้งหมดในทางปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ใครๆ ก็รู้ว่าพระพุทธศาสนานี้ ภาคปฏิบัติทั้งหมดคือไตรสิกขา เป็นการศึกษาทั้งนั้น ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตน
การที่พุทธศาสนาดึงคนจากเทพมาสู่ธรรม ทำให้ต้องสอนหลักกรรม และความเพียร และการที่จะพัฒนาคนให้มีปัญญาที่จะทำกรรมได้ถูกต้อง จึงต้องมีการศึกษาที่เรียกว่าสิกขา คือ ต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ ต้องพัฒนาตน การฝึกฝนแก้ไขปรับปรุงนี้ จึงเป็นภาคปฏิบัติทั้งหมดของพุทธศาสนา
No Comments
Comments are closed.