เอาแค่เลขดี เป็นมงคล เลยไม่พึ่งตน กลายเป็นคนประมาท

24 ธันวาคม 2548
เป็นตอนที่ 3 จาก 7 ตอนของ

เอาแค่เลขดี เป็นมงคล เลยไม่พึ่งตน กลายเป็นคนประมาท

 

เป็นอันว่า จะต้องคิดกันให้ดี เราจะหวังแต่เพียงว่า ตัวเลข “๔๙” เป็นสิริมงคล เท่านั้น ไม่พอแน่ แต่เราต้องก้าวเองด้วย

ถึงแม้ถ้าเราอยู่เฉยๆ กาลเวลามันก็ก้าวไปตลอดเวลา จริงหรือไม่ กาลเวลานี่มันไม่เคยหยุดเลย ไม่ว่าเราจะหลับ จะตื่น จะนอน จะพัก จะอย่างไรก็ตาม กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่งเลย มันก้าวไปตลอดทุกเมื่อ ทุกขณะ

เมื่อกาลเวลาก้าวไปตลอดเวลา ถ้าเราหยุด เรานิ่ง เราก็กลายเป็นคนประมาท ไม่เจริญก้าวหน้า เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคนที่จะต้องก้าวไปข้างหน้า อย่างน้อยก็แข่งกับกาลเวลาให้ทันกาลเวลา และถ้าก้าวไปด้วยเท้าสี่ของอิทธิบาท ก็จะประสบความสำเร็จถึงขั้นอยู่เหนือกาลเวลาได้

เพราะฉะนั้น อย่ามัวปล่อยตัวเรื่อยเปื่อยไปตามกระแส ได้แค่หวังพึ่งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สิ่งดลบันดาลจากภายนอก แต่ขอให้เรามาสร้างฤทธิ์ของตนเอง ถ้าให้แน่ใจ ก็สร้างฤทธิ์โดยใช้อิทธิบาท ๔

เรื่องอิทธิบาท ๔ นี่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะเป็นธรรมะที่ชาวพุทธทุกคนรู้จักกันดี เรียกว่าเป็นธรรมะง่ายๆ แม้แต่เด็กเล็กๆ ที่เรียนพุทธศาสนามา ก็ต้องจำได้ทุกคน เอาแต่เพียงหัวข้อก็แล้วกัน คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ถ้าจะจำง่ายๆ ก็พูดให้เป็นคำคล้องจองกันหน่อยว่า

ข้อหนึ่ง ใฝ่รู้ ใฝ่สร้างสรรค์

ข้อสอง เพียรขยันก้าวไป

ข้อสาม ใจมุ่งมั่นอุทิศตัว

ข้อสี่ ใช้หัวคิดพินิจการ คือไม่ทำแบบทุ่มทื่อ ต้องรู้จักใช้หัวคิดด้วย

อันนี้คือหลักอิทธิบาท ๔ แบบง่ายๆ เป็นภาษาไทย หรือจะใช้อีกชุดหนึ่งง่ายกว่านั้น ก็ได้ ว่า “ใจรัก พากเพียรทำ เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน

จะใช้ชุดไหนก็ได้ แต่รวมความก็คือ เป็นหลักธรรมง่ายๆ ที่รู้จักกันดี ซึ่งควรเอามาใช้กันเสียที

ตอนนี้ ถ้าเราใช้อิทธิบาท ก็เป็นอันว่าเรามีสี่เท้า ที่ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ก้าวไปสู่ฤทธิ์ ก้าวไปสู่ความเจริญ ก้าวไปสู่ความรุ่งเรือง

ถ้าเป็นชีวิตบุคคล ชีวิตบุคคลนั้นก็เจริญรุ่งเรือง แล้วก็ไปรวมกันเป็นชุมชน ชุมชนก็เจริญงอกงาม ไปรวมกันอีกเป็นประเทศชาติ ประเทศชาติก็เจริญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จ

ยุคนี้ เขาบอกว่าเป็นยุคแห่งการแข่งขัน เราก็ไม่ต้องกลัวการแข่งขันนั้น ถ้ามีอิทธิบาท ๔ นี้ ก็ต้องมีชัยชนะในการแข่งขัน ประสบความสำเร็จแน่

เพราะฉะนั้น ปีใหม่ที่จะมาถึง จึงเป็นเครื่องเตือนใจอยู่ในตัวแล้วว่า กาลเวลานั้นก้าวไปแล้วนะ มันกำลังจะทิ้งปีเก่า และก้าวเข้าสู่ปีใหม่ แล้วมันจะไม่รอเราเลยเป็นอันขาด เพราะฉะนั้น เราจะหยุด เราจะนิ่งไม่ได้ เราจะต้องก้าว

อันนี้คือคติที่เหนือกว่าการเอาแค่เลข ๙ เป็นสิริมงคล และที่จริง นี่ก็คือการทำให้ตัวเลข “๙” ที่หมายถึง “ก้าว” นั้น มีผลที่แท้ขึ้นมา ด้วยการที่เราก้าวไปจริงๆ

เป็นอันว่า ขั้นที่หนึ่ง ไม่หยุด ไม่นิ่ง ไม่เฉย แต่ต้องก้าวไป พร้อมกับ คู่กับ หรือแข่งกับกาลเวลานั้น

ย้ำว่า ขั้นที่หนึ่ง คือ ไม่หยุด แต่ก้าวไป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะก้าวไป ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะประสบความสำเร็จ ตอนนี้ก็ต้องระวังอีก

ถึงแม้ออกเดินจะก้าวไป แต่บางคนอ่อนแอ ไม่ได้พัฒนาตัว ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม แล้วจะก้าวไปได้อย่างไร ก็ไม่มีกำลังจะก้าวไป ก้าวไปไม่ไหว

เพราะฉะนั้น ขั้นที่สอง ไม่ว่าจะก้าวไปเป็นส่วนตัว หรือ ก้าวไปเป็นชุมชน เป็นสังคม เป็นประเทศชาติก็ตาม ถ้าจะก้าวไป ก็ต้องแข็งแรง มีกำลังพอที่จะก้าว

ทีนี้ ถ้าในเนื้อตัวอ่อนเปลี้ย ไม่มีแรง แต่ชอบอวด ชอบโก้ เอาอะไรต่ออะไรมาประดับตกแต่งตัวเสียแพรวพราว หรือแบกหิ้วของที่ยืมคนอื่นเขามาจนพะรุงพะรัง แล้วทำท่าว่าก้าวไปๆ เมื่อเนื้อตัวมันไม่ได้แข็งแรงจริง มีแต่ของที่พอกเอาไว้ข้างนอก ก็เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่พอกเอาไว้ข้างนอกนั้น ที่เป็นภาระรุงรัง เลยทำให้ตัวเองยิ่งยอบแยบ ดีไม่ดีก็จะทรุด จะเซ หรือว่าจะไปป่วยไข้กลางทาง จะไปไม่ไหว หรือจะล้มไปเลย

เพราะฉะนั้น คนที่จะก้าวไป จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม จะต้องพัฒนาตน ทำตนให้แข็งแรง ให้เป็นคนที่มีคุณภาพ

อย่างสังคมไทยนี้ ก็ต้องดูว่า คนไทยเรามีความเข้มแข็ง มีความพร้อม มีสติปัญญาความสามารถเพียงพอไหมที่จะก้าวไปในการแข่งขัน เป็นต้น ในระดับโลก หรือระหว่างประเทศ เรามีความพร้อมหรือเปล่า

ถ้าคิดจะก้าวไป ก็ต้องมีความพร้อม เตรียมตัวให้พร้อม เสริมสร้างพัฒนาคุณสมบัติที่ดี คือสติปัญญาความสามารถ เป็นต้น ให้เกิดมีขึ้นมา ไม่ใช่ก้าวไปโดยเอาอะไรต่ออะไรมาพอก แต่เป็นของคนอื่นทั้งนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไปไม่ไหวเหมือนกัน อันนี้เป็นประการที่สอง

ต่อไป ขั้นที่สาม ต้องมีปัญญาด้วย เริ่มตั้งแต่ต้องมีปัญญารู้ว่าเราจะก้าวไปไหน ต้องมีจุดหมายที่ชัดเจน ต้องรู้ว่าข้างทางทั้งสองด้านที่จะไปนั้น จะต้องเจออะไร มีอะไรกีดขวาง มีอุปสรรคอะไรบ้างที่เราจะต้องแก้ไข ดูให้รอบด้าน สถานการณ์ ปัญหาอะไรต่างๆ ที่เราจะต้องพบ ต้องมีความสามารถในการที่จะบุกฝ่าแก้ปัญหาข้างหน้า แล้วไปให้บรรลุจุดหมายให้ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องใช้ธรรมสำคัญคือปัญญา

การที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายนี่ แม้จะมีกำลังพรั่งพร้อมแล้ว ถ้าก้าวไม่เป็น ก้าวไม่ถูก ไม่รู้ทิศทาง ไม่ได้ตั้งจุดหมายไว้ให้ดี ก็ก้าวผิดที่ อาจจะลงหลุมลงเหวไปเลย

อย่างบางสังคม โดยเฉพาะสังคมไทยนี่แหละ น่าสังเกตว่าขาดจุดหมายที่ชัดเจน ไม่มีจุดหมายรวมของสังคม ใช่หรือเปล่า ขอให้เราช่วยกันพิจารณาดู

ช่วงต่อปีเก่า-ปีใหม่ เป็นเวลาที่เราจะมาสำรวจตรวจสอบตัวเอง ถ้ามันขาดมันพร่องอะไร ก็เตรียมปรับปรุงแก้ไข ขจัดปัญหา มาพัฒนาทำตัวให้พร้อมจริงๆ แล้วปีใหม่ก็จะเป็นเวลาที่เรามาตั้งตัว ออกเดิน ให้ปี ๔๙ เป็นปีแห่งการก้าวหน้าที่แท้จริง ตกลงว่า

หนึ่ง: ต้องก้าวไป ไม่ใช่หยุดนิ่ง ไม่ใช่แค่คอยรอ

สอง: ในการก้าวไปนั้น ต้องมีกำลัง มีความพร้อม มีสติปัญญาความสามารถ เป็นต้น ที่จะก้าวไปได้ โดยที่พลังในการ ก้าวนั้น อยู่ในเนื้อในตัวของตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยวเอาอะไรต่ออะไร มาพอกอวดโก้กันไป หรือเป็นเพียงของฉาบฉวยล่อตาทั้งนั้น

คนไทยเรามีค่านิยมเด่นอันหนึ่ง คือชอบโก้ อันนี้ต้องระวังมาก ถ้าทำอะไร เอาดีแค่มาอวดโก้กันเท่านั้น ก็จะเป็น อันตราย ต่อไป

สาม: อย่างที่บอกแล้วก็คือ ต้องรู้จุดหมาย แล้วก็ไปให้ถึงจุดหมาย โดยไม่ตกหลุมตกเหวในระหว่างทางเสียก่อน

ถ้าได้แค่นี้ ก็ถือว่า การก้าวไปในปี ๒๕๔๙ นี้ จะเป็นการก้าวที่แท้จริง จะประสบความสำเร็จ

แต่อย่าลืมว่าทั้งหมดนี้ต้องใช้อิทธิบาท เอาสี่เท้านี่ก้าวไป ก็จะประสบความสำเร็จแน่นอน

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< มี “สี่เท้า” ปี “๔๙” ไปดีแน่แค่สี่เท้า ก็ก้าวไปถึง นี่ติดล้อด้วย เลยช่วยให้เร็วและถึงด้วยกัน >>

No Comments

Comments are closed.