ตะวันตกเปลี่ยนจากเหงาเมื่ออยู่เดียว ไปเป็นเหงากลางหมู่

24 สิงหาคม 2534
เป็นตอนที่ 14 จาก 21 ตอนของ

ตะวันตกเปลี่ยนจากเหงาเมื่ออยู่เดียว ไปเป็นเหงากลางหมู่

ในที่นี้อาตมาก็จะยกตัวอย่างปัญหาที่จำกัดเฉพาะขึ้นมาพูดสักอย่างหนึ่ง ตามที่บอกล่วงหน้าไว้แล้ว คือปัญหาว่าในขณะนี้คนเหงาว้าเหว่ มีความรู้สึกนี้มาก อยู่คนเดียวไม่ได้ อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าข้างในมันกลวงมันว่างเปล่า

ความรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่า เหงา เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย อะไรต่างๆ นี่ครอบงำจิตใจของคนในสังคมปัจจุบันมาก เสร็จแล้วคนพวกนี้ก็วิ่งหนีตัวเองออกไปหาสิ่งภายนอกมาเติมให้กับตัวเอง สภาพอย่างนี้เรียกว่าเป็นสภาพของการที่ไม่สามารถอยู่คนเดียว หรือว่าไม่สามารถมีความสุขในการอยู่กับตนเอง

ทีนี้ในขณะที่คนมีความเหงา ว้าเหว่อยู่แล้วในการอยู่คนเดียว วัฒนธรรมตะวันตกแก้ปัญหาอย่างไร มาช่วยคนอย่างไรบ้าง เอาละตัวปัญหาคือ ขณะนี้คนเหงาว้าเหว่อยู่แล้วในการอยู่คนเดียว โดยเรายกเป็นตัวกระทู้ หรือปัญหาขึ้นมา แล้วเรามาดูว่าเขามีวิธีปฏิบัติอย่างไรในการแก้ปัญหานั้น

ในเรื่องนี้ วัฒนธรรมอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในตะวันตกแทนที่จะไปแก้ปัญหาที่ต้นตอ คือแทนที่จะแก้ปัญหาในลักษณะที่ว่าทำอย่างไรจะให้เขาอยู่คนเดียวโดยไม่ต้องว้าเหว่ แต่กลับไม่เอาอย่างนั้น

เขาเหงาว้าเหว่ในการอยู่คนเดียว การแก้ปัญหาที่ต้นตอก็คือ ทำอย่างไรจะให้เขาอยู่คนเดียวได้โดยไม่อ้างว้างว้าเหว่ แต่วิธีของสังคมตะวันตกตามวัฒนธรรมอุตสาหกรรมกลับกลายเป็นว่า เปลี่ยนความเหงาเปล่าเปลี่ยวในการอยู่คนเดียว ไปเป็นความเหงาเปล่าเปลี่ยวทั้งที่อยู่ในท่ามกลางหมู่ หรือเหงาทั้งที่อยู่กันเป็นหมู่

ที่พูดอย่างนี้หมายความว่า สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็กำลังเป็นปัญหาอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นการซ้ำเติมปัญหาเป็นสองชั้นหรือสองเท่า กล่าวคือ ปัญหาเดิมก็ไม่ได้แก้ อยู่คนเดียวก็เหงาเปล่าเปลี่ยวชั้นหนึ่งแล้ว แล้วยังเพิ่มปัญหาใหม่ คือ อยู่ท่ามกลางหมู่ก็ว้าเหว่โดดเดี่ยวเดียวดายเข้าไปอีก

อย่างที่กล่าวเบื้องต้นแล้วว่า สังคมปัจจุบันนี้ทั้งที่อยู่กันคับคั่ง แต่ในใจของคนกลับอ้างว้างว้าเหว่ เหงายิ่งขึ้น แต่ละคนก็วิ่งหนีจากตัวเองเพื่อไปหาสิ่งเติมเต็มจากข้างนอก และก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้ ก็ไปเจอกับสังคมที่หักหลังเขา ไม่ยอมให้เขาพึ่ง หรือไม่ได้เต็มใจที่จะให้อะไรแก่เขา เพราะแต่ละคนในสังคมนั้นต่างก็หนีจากตัวเองมาด้วยกันทั้งนั้น เพื่อจะมาหามารับเอา มาเติมให้แก่ตัวเอง ต่างคนต่างมีจุดพร่อง มีความว่างเปล่าในตนที่จะมาหา มาเติม ก็เลยไม่สามารถช่วยกันและกันได้ สังคมนั้นก็ไม่สามารถจะสนองความต้องการของบุคคล

ในสภาพเช่นนี้ คนทั้งหลายก็มาเจอกันในระบบสังคมแบบที่ว่า แม้จะมีการยิ้มก็ยิ้มแบบธุรกิจ คือไม่ใช่ยิ้มแบบจริงใจ ก็เลยเป็นอย่างที่ว่าแล้ว คือ มีความพร่องหรือว่างเปล่ามา ก็ได้ความพร่องหรือว่างเปล่ากลับไป พูดสั้นๆ ว่า พร่องมาก็พร่องไป หรือ ว่างเปล่ามาก็ว่างเปล่ากลับไป

คนทั้งหลายมาพร้อมด้วยความพร่อง ความว่างเปล่าในตนเอง แล้วก็มาเจอกับสังคม โดยเอาความพร่อง ความว่าง ความเปล่าออกมาถ่ายให้แก่กัน แล้วแต่ละคนก็กลับไปพร้อมด้วยความว่างเปล่าหรือความกลวงในที่เพิ่มขึ้น

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< สังคมวางแนวความคิดไว้เอียงสุด จิตมนุษย์ก็เกิดความขัดแย้ง เพราะมีความต้องการที่ไม่อาจสนองพุทธเปลี่ยนจากอยู่เดียวเปลี่ยวใจ ไปเป็นอยู่เดียวแสนสุข >>

No Comments

Comments are closed.