-๒- ด้านที่อเมริกายังล้าหลัง

26 มีนาคม 2544
เป็นตอนที่ 4 จาก 5 ตอนของ

-๒-
ด้านที่อเมริกายังล้าหลัง

พระธรรมปิฎก ถ้าไม่มีอะไร ขอพูดต่อไปเรื่องการสอนศาสนา ในเรื่องนี้เริ่มแรกเราต้องอยู่กับความเป็นจริง เช่นอยู่กับสังคมไทย ไม่ใช่อยู่กับสังคมอเมริกันเป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งเรื่องอเมริกันเป็นต้นนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องรู้ตามความเป็นจริง เช่น ต้องรู้เขารู้เรา ต้องรู้ว่าสังคมอเมริกัน ที่เราเห็นว่าเป็นผู้นำอยู่นี่ เป็นอย่างไร อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่า เราควรมีหลักการ เช่น

  1. มุ่งประโยชน์แก่ชีวิตมนุษย์และสังคมให้ดีที่สุด
  2. ดีที่ตัวมี ศักยภาพที่ตัวมี ควรเอาออกมาใช้ให้ได้

ในการสอนศาสนานี้ เรื่องแรกก็คือเสรีภาพทางศาสนา พอดีอาตมาได้อ่านหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เรื่องเสรีภาพทางศาสนา และเรื่องการสอนเกี่ยวกับศาสนาในโรงเรียนของรัฐในอเมริกา เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองเล่มหนึ่ง เป็นคู่มือครูเล่มหนึ่ง แล้วก็เรื่องเกี่ยวกับนโยบายที่จะสอนเรื่องทางศาสนาที่ควิเบก ประเทศแคนาดา อีกเล่มหนึ่ง ได้อ่านเมื่อคืนนี้รวดเดียว ๓ เล่ม

เบื้องแรกอยากจะขอโอกาสถามท่านที่อยู่ในกลุ่มศาสนานิดหนึ่งว่า หนังสือเกี่ยวกับศาสนาที่ออกมาแล้ว มีอีกหลายเล่มไหม ที่อาตมายังไม่ทราบ นอกเหนือจากสามเล่มนี้

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ทางพวกผมไม่ทราบ เพราะกลุ่มศาสนาไม่ได้มา

พระธรรมปิฎก กลุ่มศาสนาไม่ได้มา

ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ ทางกลุ่มศาสนาของสภาการศึกษา เป็นคนศึกษาเรื่องนี้ อันนั้นอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา

พระธรรมปิฎก ได้ทราบวันนี้ว่า อาจารย์รุ่ง แก้วแดง จะส่งใครมา

ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ คุณพิณสุดาทำงานอยู่ที่ปฏิรูปการศึกษาด้วย เป็นกลุ่มศาสนาอยู่ที่ปฏิรูปการศึกษาด้วย แต่บังเอิญวันนี้ท่านมาไม่ได้

พระธรรมปิฎก คืออยากจะรู้ว่าท่านออกหนังสืออะไรมาบ้าง เมื่อเห็นหนังสือที่ออกมาแล้วก็จะได้เห็นภาพ อีกอย่างหนึ่งก็อยากจะทราบความมุ่งหมายว่า การที่ทางสภาการศึกษาออกหนังสือเหล่านี้มานั้นมีความมุ่งหมายอะไร เช่น อยากจะสร้างความรู้ความเข้าใจหรืออย่างไร ถ้าหนังสือที่ทำออกมามีแค่นี้ หรือจะทำหลายเล่ม แต่เริ่มต้นด้วยหนังสืออย่าง ๓ เล่มนี้ เราจะไม่ได้ผลตามวัตถุประสงค์ เพราะไม่ได้ภาพความเป็นจริงของสังคมอเมริกัน

อเมริกามีภูมิหลังศาสนาที่ขมขื่นน่าเศร้า
ทำให้เขาเอาประโยชน์จากศาสนาไม่ได้

การที่จะให้ภาพชัด เราต้องรู้เข้าใจทั้งสังคมอเมริกัน และสังคมไทยของเราเอง ในเรื่องเสรีภาพทางศาสนานี้ เราจะต้องรู้ภูมิหลังความเป็นมาของสังคมอเมริกัน รู้เหตุผลว่าทำไมเขาจึงมี First Amendment คือ อนุบัญญัติข้อที่ ๑ ในรัฐธรรมนูญอเมริกัน ที่ว่า Congress shall make no law respecting an establishment of religion or prohibiting the free excerise thereof. (รัฐสภาจะไม่ตรากฎหมายขึ้นมายกย่องสถาบันศาสนาหนึ่งใด หรือห้ามการ ดำเนินงานโดยเสรีของศาสนานั้น) ซึ่งเป็น Amendment คืออนุบัญญัติสำคัญ ที่เจฟเฟอร์สัน บอกว่าเป็นเรื่องของการแยกรัฐกับศาสนาตามคำของเขาว่า separation of church and state เจฟเฟอร์สันบอกว่าต้องสร้างกำแพงกั้นระหว่างศาสนากับรัฐไว้ให้สูงทีเดียว

เรื่องนี้เกิดจากภูมิหลังอันขมขื่นและน่าเศร้าของสังคมอเมริกัน เราจะเอาเฉพาะตัวบทกฎหมายที่เขาออกหรือระเบียบอะไรต่างๆ มาดูไม่ได้ เราต้องรู้ภูมิหลังว่าสังคมอเมริกันเป็นอย่างไร จึงต้องออกกฎหมายอย่างนี้ขึ้นมา

อีกอย่างหนึ่ง สังคมไทยเราได้มีการปฏิบัติในเรื่องของศาสนาอย่างไร เรามีเสรีภาพทางศาสนาอย่างไร เช่น บันทึกของฝรั่งในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การที่ศาสนาคริสต์และ ศาสนาอื่นเข้ามาแล้วคนไทยปฏิบัติอย่างไร เป็นต้น อาจจะต้องย้อนไปจนถึงศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันระหว่างศาสนา จึงจะทำให้คนไทยมองเห็นภาพชัด ไม่เช่นนั้นอาจจะมองอะไรต่ออะไรไขว้เขวไป

เรื่องนี้จะต้องพยายามสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง หนึ่ง จะต้องรู้ภูมิหลังของตะวันตก สอง รู้ลักษณะของศาสนาต่างๆ ตามความเป็นจริงที่ไม่เหมือนกัน อย่านึกว่าศาสนากับศาสนาจะเหมือนกัน มันไม่เหมือนกันหรอก

ถ้าจะรู้จักอเมริกัน เราต้องรู้จักทั้งด้านสำเร็จและด้านล้มเหลว ที่พูดกันว่าอเมริกันมีความสำเร็จนั้น ก็คือสำเร็จในด้านการบุกฝ่าไปหาความก้าวหน้าพรั่งพร้อมทางวัตถุ แต่อีกด้านหนึ่งเขาล้มเหลว คือด้านการบริหารชีวิตจิตใจ รวมทั้งด้านจริยธรรมและเรื่องศาสนา ต้องถือว่าล้มเหลว

ไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังของเขาที่มีเรื่องราวในยุโรปที่เต็มไปด้วย persecution คือการห้ำหั่นบีฑากันระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ แม้กระทั่งเป็นสงครามศาสนาระหว่างกลุ่มประเทศ เช่น สงคราม ๓๐ ปี (Thirty Years’ War) และในแต่ละประเทศก็ฆ่ากันกำจัดกันมากมาย จนกระทั่งคนจำนวนมากอพยพมาอเมริกาเพราะหนีภัยแห่งการห้ำหั่นบีฑา หรือ persecution นั้น พอหนีมาอเมริกาแล้วก็มาบีบคั้นกำจัดกันต่ออีก

ตอนแรกที่ตั้งประเทศอเมริกา ก็พิจารณาเหมือนกันว่าจะ สถาปนานิกายไหนของเขาขึ้น ไม่ใช่ศาสนาไหนนะ แต่เป็นนิกายไหน คือแค่เรื่องนิกายก็ตีกันตาย แต่ละนิกายก็ลงกันไม่ได้ นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องมี separation of church and state คือการแยกระหว่างศาสนากับรัฐ

แม้จะสร้างกำแพงแยกกันแล้ว ไม่ให้รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้รัฐวางตัวเป็นกลางแล้ว อเมริกาก็ยังมีปัญหาเรื่อยมา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คนรู้จักคนหนึ่ง ซึ่งแต่งงานกับคนอเมริกัน อยู่ที่ตำบลชื่อฮอลแลนด์ (ชื่อเหมือนประเทศเนเธอร์แลนด์) ในรัฐแมสซาจูเซตส์ เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งในโรงเรียนที่ลูกไปเรียนใกล้จะถึงวันสำคัญของศาสนาคริสต์ ดูเหมือนจะเป็นอีสเตอร์ (Easter) ตามปกติเขาจะไม่พูดอธิบาย แต่ครูเกิดครึ้มใจอะไรไม่รู้ ก็อธิบายเรื่องอีสเตอร์ เป็นธรรมดาว่าเวลาแกพูด ครูก็คงอธิบายไปตามที่แกรู้ ซึ่งกลายเป็นการสอนเรื่องศาสนาไปตามหลักของนิกายของครู เท่านั้นแหละ อีกวันสองวัน ผู้ปกครองก็มาเล่นงาน เอาเรื่องกับบอร์ดของโรงเรียน ว่าทำไมมาสอนอย่างนี้ ทำให้ลูกฉันไขว้เขวไป เกิดเรื่องอีกแล้ว

ประเทศของเขามีปัญหาเรื่องนี้อยู่ แผลเก่าก็ยังไม่หาย ในขณะที่ของเราไม่ได้มีปัญหา เรามีภูมิหลังที่ดี มีเอกภาพทางศาสนาอยู่แล้ว จะไปเอาเขาเป็นแบบอย่าง หรือแม้แต่ไปเปรียบตัวกับเขาได้อย่างไร

เมื่อเรื่องศาสนาของอเมริกามีปัญหาอย่างนี้ การศึกษาด้านจริยธรรมของเขาก็หาหลักยาก เพราะจะหันไปใช้หลักศีลธรรมของศาสนาคริสต์ ก็เป็นแบบของนิกายนั้นของนิกายนี้ พูดขึ้นมาก็ทะเลาะกันหรือตีกันเสียแล้ว เลยติดอยู่แค่นั้น ไม่ต้องได้หลักศีลธรรมจริยธรรมที่จะเอามาใช้ ไปๆ มาๆ เลยต้องสร้างจริยธรรมแบบสากลขึ้นมา เหมือนสร้างศาสนาฉบับใหม่ของราชการ

ภูมิหลังอเมริกากับภูมิหลังไทย ไม่เหมือนกัน
ต้องรู้เข้าใจจึงจะจัดการศึกษาได้เหมาะกัน

ไม่เฉพาะภูมิหลังทางศาสนาเท่านั้น แม้แต่ภูมิหลังของสังคมทั้งหมดโดยรวมของอเมริกาก็ต่างกันไกล คนละทิศคนละทางกับสังคมของเรา เราจะต้องรู้ว่าสังคมอเมริกันเจริญมาจากการดิ้นรนต่อสู้แสวงหาตามคติบุกฝ่าพรมแดนที่เรียกว่า “frontier”

สำหรับคนอเมริกันนั้น frontier เป็นคำสำคัญมาก เพราะคนอเมริกันหนีภัยการห้ำหั่นบีฑาทางศาสนาจากยุโรป มาขึ้นฝั่งอเมริกาที่บอสตัน นิวยอร์ก ฟิลาเดลเฟีย บัลติมอร์ แล้วแกก็ติดพรมแดนกั้น มี frontier อยู่แค่นั้น ข้างหน้าคือป่าเขาดงพงพี เต็มไปด้วยภัยอันตราย และจะต้องฝ่าฟันต่อสู้กับอินเดียนแดง จากนั้น ยุคแห่งการแผ่ขยายพรมแดน คือ frontier expansion ก็เริ่มต้น ความหวังอยู่ข้างหน้าว่า เมื่อบุกฝ่าพรมแดน คือ frontier ออกไป จะได้พบ opportunity คือโอกาสที่จะสร้างบ้านสร้างเมืองมีกินมีใช้ อยู่สุขสบายต่อไป

เพราะฉะนั้นคำพูดของอเมริกันจึงมี ๒ คำที่ยิ่งใหญ่ คือ

๑. freedom คือหนีจากภัยการบีบคั้นกำจัด (persecution) จากยุโรปมาหา freedom ซึ่งเป็นการมาหาความหวังข้างหน้า และพอขึ้นฝั่งแล้ว

๒. opportunity คือโอกาส ก็จะเกิดขึ้นจากการบุกฝ่าพรมแดน คือ frontier ที่ขวางกั้นต่อไปข้างหน้า ในทิศตะวันตก ต่อจากนี้ก็เป็นยุค frontier ที่จะต้องบุกฝ่าพรมแดนไปหา opportunity ข้างหน้า

Compton’s Encyclopedia บอกว่า “… opportunity is what frontiers are all about.” เรื่องของ frontier ก็อยู่ที่โอกาส คือ การหวังที่จะไปแสวงหาโอกาสข้างหน้า คำว่า opportunity จึงเป็นคำใหญ่ของอเมริกันมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แม้แต่คติ American dream ก็ทำนองนี้

frontier นี้ จบไปในเวลา ๓๐๐ ปี คือ คนอเมริกันบุกฝ่าพรมแดนไปได้ปีหนึ่งเฉลี่ย ๑๐ ไมล์ ครบ ๓๐๐ ปีได้ ๓,๐๐๐ ไมล์ ก็ไปลงฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ตอนนี้ frontier ก็ closed ไปแล้ว เมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๐ (พ.ศ. ๒๔๓๓) ต่อมาประเทศอเมริกาก็มีความมั่งคั่งพรั่งพร้อมขึ้น นิสัยเดิมที่บุกฝ่าสร้างสรรค์ ขยันหมั่นเพียร ก็ลดลง คนอเมริกันก็ชักจะตัน ผู้นำอเมริกันที่หาเสียงเป็นประธานาธิบดี ๔ คนได้สร้างคติ New Frontier ขึ้นมา ปลุกใจคนอเมริกัน แล้วมีคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ คือจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ผู้เชิดชูแนวคิด New Frontier ขึ้นมาเป็นนโยบาย

คติ frontier นี้เป็นแนวคิดคนละแบบกับของเรา คติของอเมริกันคือไปหาความหวัง ไปหาความสุขความเจริญข้างหน้า ที่นี่คือความขาดแคลน ที่นี่คือความเดือดร้อน ที่นี่คือความลำบากยากเข็ญ

แต่สังคมไทยนี้ตรงกันข้าม คนไทยมี คติ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” หมายความว่า ดีมันอยู่ที่นี่ ต้องไม่ไปไหน คติของชาติเป็นคนละแบบ ฉะนั้นเราจะต้องจัดการศึกษาให้เหมาะกับสภาพชีวิตจิตใจพื้นเพภูมิหลังและวัฒนธรรมของตัว เช่นว่า สำหรับคนไทยที่พอใจถิ่นนี้ และไม่มีนิสัยบุกฝ่าหาที่หวังข้างหน้า เราจะพัฒนาคติและคุณสมบัติอะไร เพื่อมายึดโยงสังคมและปลุกเร้าคนไทยให้สร้างสรรค์

พอสังคมบรรลุจุดหมายพื้นฐาน
อเมริกันก็ไม่มีจริยธรรมที่จะรับมือกับปัญหาใหม่

เมื่อ frontier จบ ดินแดนก็ได้หมด ไม่รู้จะบุกไปไหน อุตสาหกรรมก็เจริญเต็มที่แล้ว พลังมุ่งไปหาความเจริญทางวัตถุก็อ่อนลง พอวัตถุพรั่งพร้อม คนอเมริกันก็เริ่มฟุ้งเฟ้อระเริงมัวเมา เวลานี้ ปัญหาสังคมอเมริกันก็อย่างที่ทราบกันอยู่ สังคมแย่ลง ยาเสพติดก็หนัก ปัญหาความรุนแรงก็มาก ครอบครัวก็แตกสลาย

ลองดูใน Britannica 1999 เขาพูดถึงปัญหาเด็กนักเรียนอเมริกัน เอาปืนไปยิงเพื่อนยิงครูที่โรงเรียน เกิดขึ้นเรื่อยมาในระยะเวลาหลายปี ไม่รู้กี่คดีแล้ว เป็นที่วิตกกันมาก และปัญหาความรุนแรงนี้ก็โยงไปถึงปัญหาจิตใจ เช่น เรื่องความเครียด เรื่องนิสัยก้าวร้าวเหี้ยมเกรียม จากการหล่อหลอมของสื่อที่แสดงออกมาเป็นความรุนแรง

เขาบอกว่า ทั้งที่อเมริกามีความเข้มงวดเป็นพิเศษต่อผู้เยาว์ที่ทำความผิด เช่น เด็กวัยรุ่นอเมริกันมีความเป็นไปได้ที่จะถูกส่งไปขึ้นศาลผู้ใหญ่ ๑๑ เท่าของเด็กวัยรุ่นในแคนาดา หมายความว่า อเมริกันเขาเอาโทษกับเด็กรุนแรงมาก และทั้งๆ ที่อเมริกาเป็นสังคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าสังคมเดียว ที่กำหนดโทษประหารแก่เด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปีที่ได้กระทำการฆาตกรรม หรือฆ่ากันตาย แต่ถึงจะเอาโทษรุนแรงอย่างนี้ ก็ยังปรากฏว่า สหรัฐฯ มีสถิติการฆ่ากันตายของเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาว เป็นระดับสูงสุดของโลกอุตสาหกรรม

สถิตินานาชาติสำหรับปี ๑๙๙๕ และบางกรณีในปี ๑๙๙๔ บอกว่า ผู้ชายอเมริกันอายุ ๑๕-๒๔ ปี มีทางเป็นไปได้ที่จะตายด้วยการฆ่ากันเป็น ๒๒ เท่าของเด็กฝรั่งเศสหรือเยอรมัน เป็น ๓๔ เท่าของเด็กอังกฤษ เป็น ๙๔ เท่าของเด็กออสเตรีย นี่คือความเจริญของอเมริกัน ที่เป็นความล้มเหลว

เขาบอกด้วยว่าในระดับอายุ ๕-๑๔ ขวบ เด็กหญิงอเมริกันมีทางเป็นไปได้ที่จะถูกฆ่าตายเป็น ๒ เท่าของเด็กฝรั่งเศส และเป็น ๔ เท่าของเด็กอังกฤษ นี่คือปัญหาความรุนแรงที่ยังแก้ไม่ตก

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและน่าสังเกต คือ ปัญหาเรื่องเพศที่โยงไปหาเรื่องครอบครัว เวลานี้ในอเมริกามี nonfamily households เพิ่มมาก จะแปลว่าอะไรดี คือ เป็นเหย้าเรือนที่ไม่เป็นครอบครัว เพราะว่าบ้านที่อยู่กันเป็นครอบครัวมีครบทั้งพ่อแม่ลูกนั้น เดี๋ยวนี้จะเป็นครอบครัวในอุดมคติ ซึ่งหาได้ยาก กลายเป็นของแปลก ซึ่งสังคมของเรา ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็จะเดินหน้าไปเป็นอย่างนั้นด้วย

เรื่องแบบนี้ไม่เห็นว่าสังคมอเมริกันจะน่าเอาอย่างอะไร การศึกษาของเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องจริยธรรมอะไรเลย เขามีแต่จริยธรรมสำหรับสังคมยุคบุกฝ่า พอสังคมถึงที่หมาย อยู่สบาย ก็ไม่มีจริยธรรมที่จะรับช่วงต่อไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องรู้ให้ทันและจัดทำให้ถูก

จะดูแต่ตัวบทกฎหมายของเขาเท่านั้นไม่พอ
ต้องรู้เหตุผลและเข้าถึงความหมายที่แท้ของกฎหมายนั้นด้วย

การที่จะดูสังคมอเมริกันนั้น ไม่ใช่ดูแค่ว่าจะเอาแนวทางของเขามาใช้ แต่ต้องดูด้านร้ายที่จะต้องป้องกันด้วยว่า ในขณะที่สังคมของเรากำลังเป็นอย่างเขา ตามเขาไปเรื่อยๆ นั้น เรามีดีอะไรของตัวเอง ที่จะเอามาพัฒนาเพื่อกั้นหรือป้องกันสภาพนี้ได้บ้าง

ในกรณีอย่างนี้ ถ้าเราไปตามแบบเขา ก็จะเป็นการนำเอาปัญหาของเขาที่เราไม่มี มาใส่ให้กับตัวเรา แล้วสิ่งที่เรามี ที่ดีเป็นประโยชน์ เราก็จะทำลายให้สูญไปเสียเปล่า เช่นเอกภาพทาง ศาสนา เพราะปัญหาของอเมริกันนั้น ปมสำคัญเกิดจากสาเหตุที่ว่า ในขณะที่ศาสนาของเขายึดหลักศรัทธาแบบหมายมั่นรุนแรงอยู่แล้ว ประเทศของเขาก็ขาดเอกภาพทางศาสนา มีนิกายต่างๆ มากมายอีกด้วย ซึ่งเป็นลักษณะที่ตรงข้ามกับเราทั้งสองประการ

อยากจะอ่านให้ฟังเรื่องเกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนาในอเมริกา ที่ว่าให้แยกศาสนากับรัฐ (separation of church and state) ให้รู้รายละเอียดของความเป็นมา เพราะเราต้องรู้ภูมิหลังว่า การที่เขาทำอย่างนั้น จัดวางรูปแบบออกมาอย่างนั้น เป็นเพราะอะไร แม้แต่เรื่องที่จะสวดมนต์ในโรงเรียน แค่นี้ก็เป็นปัญหาในสังคมอเมริกันไม่รู้จักจบ มีเรื่องขึ้นศาลกันเรื่อยจนกระทั่งปี ๑๙๖๒ (= พ.ศ. ๒๕๐๕) ศาลสูงสุดจึงตัดสินว่า การสวดมนต์ใน public School ที่โรงเรียนจัด หรือรัฐจัด เป็นการละเมิดต่อ First Amendment คือ อนุบัญญัติข้อ ๑ ของรัฐธรรมนูญอเมริกัน แต่ทั้งที่ศาลสูงสุดตัดสินไปแล้ว กรณีเรื่องสวดมนต์ก็ยังไม่จบ เวลานี้ยังมีขบวนการที่พยายามเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่นพวก New Right ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเคลื่อนไหวอยู่

สำหรับคดีอื่นๆ ก็ยังมีเรื่อยๆ อย่างคดีหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ย้อนหลังไปเมื่อปี ๑๙๔๗ (= พ.ศ. ๒๔๙๐) ที่รัฐนิวเจอร์ซี มีการจัดบริการจ่ายเงินช่วยค่าโดยสารแก่นักเรียนที่ไปโรงเรียนชุมชนคริสต์ (parochial school) ซึ่งเป็นโรงเรียนศาสนา เกิดเป็นคดีฟ้องกันจนกระทั่งถึงศาลสูงสุด ศาลสูงสุดนั้นตัดสินว่าการจัดเงินช่วยค่ารถนั้น เป็นการจัดให้แก่เด็ก ไม่ผิด เพราะไม่ได้จัดให้แก่ศาสนา ไม่ได้จัดให้แก่โรงเรียน แต่เป็นการช่วยเหลือเด็กที่ไปโรงเรียน

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษานี้ไม่ใช่จุดสนใจ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในการตัดสินครั้งนี้ ศาลได้แถลงมติซึ่งยืนยันความรู้ที่น่าสนใจ มติอันนี้ศาลสูงสุดบอกว่า ต้องการเตือนใจคนอเมริกันในปัจจุบัน ที่ไม่รู้เรื่องเก่า ว่าทำไมจึงเกิด First Amendment นี้ขึ้นในรัฐธรรมนูญอเมริกัน

เขาบอกว่า คนอเมริกันปัจจุบันไม่รู้ความเลวร้าย ความน่าหวาดกลัว และปัญหาทางการเมือง ที่เป็นเหตุให้ต้องเขียนข้อความอันนี้ไว้ (ปี ๑๙๔๗ ก็ตั้ง ๕๔ ปีแล้ว แม้แต่ครั้งนั้นฝรั่งไม่น้อย ก็ยังลืมความหลังของตัวเอง) อันนี้คือจุดสนใจ ถ้าจะพูดถึงเสรีภาพทางศาสนาของอเมริกา ต้องเล่าเรื่องอย่างนี้ด้วย โดยเฉพาะกรณีนี้ศาลสูงสุดเองเป็นผู้ออกมติไว้ จึงเป็นเรื่องที่อ้างอิงได้อย่างดี ให้รู้ว่าประเทศของเขาเป็นมาอย่างไร

ศาลสูงสุดของอเมริกาเตือนคนอเมริกัน
ให้รู้ที่มาของข้อบัญญัติที่แยกรัฐกับศาสนา

ขอเล่าความเป็นมาของเรื่องว่า นานมาแล้ว รัฐนิวเจอร์ซี ได้ตรากฎหมายฉบับหนึ่ง ให้อำนาจแก่โรงเรียนในท้องถิ่นที่จะวางระเบียบให้ทุนอุดหนุนค่ารถแก่เด็กที่ไปโรงเรียน คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาแห่งหนึ่ง ได้อาศัยกฎหมายนี้ กำหนดให้ผู้ปกครองเบิกเงินค่ารถประจำทาง ที่บุตรของตนได้จ่ายในการเดินทางไปโรงเรียน รวมทั้งโรงเรียนชุมชนคริสต์ด้วย

นาย อีเวอร์สัน ในฐานะที่เป็นผู้เสียภาษีคนหนึ่ง (ตามระบบพิทักษ์สิทธิ์ของสังคมอเมริกัน) ได้ฟ้องศาลว่า กฎหมายของรัฐนิวเจอร์ซีที่ยอมให้เบิกค่าโดยสารรถไปโรงเรียนชุมชนคริสต์นั้น เป็นการละเมิดอนุบัญญัติข้อ ๑ ในรัฐธรรมนูญอเมริกัน ที่ให้แยกรัฐกับศาสนา ศาลสูงสุด (the Supreme Court) ของสหรัฐฯ ได้วินิจฉัยใน ค.ศ. ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) ว่ากฎหมายของรัฐนิวเจอร์ซีฉบับนั้น ไม่ละเมิดรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการจ่ายเงินช่วยเด็ก ไม่ใช่จ่ายเงิน ช่วยโรงเรียน ในการพิพากษาครั้งนั้นมีข้อความแถลงมติของศาลสูงสุดตอนหนึ่งซึ่งขอคัดมาอ่านให้ฟังดังนี้

The First Amendment, as made applicable to the states by the Fourteenth…commands that a state “shall make no law respecting an establishment of religion, or prohibiting the free exercise thereof…” These words of the First Amendment reflected in the minds of early Americans a vivid mental picture of conditions and practices which they fervently wished to stamp out in order to preserve liberty for themselves and for their posterity. Doubtless their goal has not been entirely reached; but so far has the Nation moved toward it that the expression “law respecting an establishment of religion” probably does not so vividly remind present-day Americans of the evils, fears, and political problems that caused that expression to be written into our Bill of Rights. Whether this New Jersey law is one respecting an “establishment of religion” requires an understanding of the meaning of that language, particularly with respect to the imposition of taxes. Once again, therefore, it is not inappropriate briefly to review the background and environment of the period in which that constitutional language was fashioned and adopted.

A large proportion of the early settlers of this country came here from Europe to escape the bondage of laws which compelled them to support and attend government-favored churches. The centuries immediately before and contemporaneous with the colonization of America had been filled with turmoil, civil strife and persecutions, generated in large part by established sects determined to maintain their absolute political and religious supremacy. With the power of government supporting them, at various times and places, Catholics had persecuted Protestants, Protestants had persecuted Catholics, Protestant sects had persecuted other Protestant sects, Catholics of one shade of belief had persecuted Catholics of another shade of belief, and all of these had from time to time persecuted Jews. In efforts to force loyalty to whatever religious group happened to be on top and in league with the government of a particular time and place, men and women had been fined, cast in jail, cruelly tortured, and killed. Among the offenses for which these punishments had been inflicted were such things as speaking disrespectfully of the views of ministers of government-established churches, non-attendance at those churches, expressions of nonbelief in their doctrines, and failure to pay taxes and tithes to support them.

These practices of the old world were transplanted to, and began to thrive in, the soil of the new America. The very charters granted by the English Crown to the individuals and companies designated to make the laws which would control the destinies of the colonials authorized these individuals and companies to erect religious establishments which all, whether believers or nonbelievers, would be required to support and attend. An exercise of this authority was accompanied by a repetition of many of the old-world practices and persecutions. Catholics found themselves hounded and proscribed because of their faith; Quakers who followed their conscience went to jail; Baptists were peculiarly obnoxious to certain dominant Protestant sects; men and women of varied faiths who happened to be in a minority in a particular locality were persecuted because they steadfastly persisted in worshipping God only as their own consciences dictated. And all of these dissenters were compelled to pay tithes and taxes to support governmentsponsored churches whose ministers preached inflammatory sermons designed to strengthen and consolidate the established faith by generating a burning hatred against dissenters.

These practices became so commonplace as to shock the freedom-loving colonials into a feeling of abhorrence. The imposition of taxes to pay ministers’ salaries and to build and maintain churches and church property aroused their indignation. It was these feelings which found expression in the First Amendment.

(Excerpt from the opinion of the US Supreme Court, Everson v. Board of Education, 1947. Microsoft Encarta Encyclopedia 2001)

อ่านมติของศาลสูงสุดอเมริกา
จะรู้ว่าทำไมเขาเชิดชูศาสนาหนึ่งใดไม่ได้

ขอแปลเป็นไทยแบบให้พอรู้กัน ดังนี้

อนุบัญญัติข้อ ๑ (the First Amendment ในรัฐธรรมนูญอเมริกัน) ซึ่งอาศัยอนุบัญญัติข้อ ๑๔ ให้บังคับใช้แก่บรรดารัฐทั้งหลาย…กำหนดว่า รัฐ “จะไม่ตรากฎหมายขึ้นเชิดชูสถาบันศาสนาหนึ่งใด หรือห้ามการดำเนินการโดยเสรีของศาสนานั้น…”

ถ้อยคำในอนุบัญญัติข้อ ๑ เหล่านี้ สะท้อนขึ้นมาในใจของชาวอเมริกันยุคแรก ให้เห็นมโนภาพอันเด่นชัด ที่แสดงถึงสภาพและปฏิบัติการต่างๆ ที่พวกเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขจัดให้หมดสิ้นไป เพื่อจะรักษาเสรีภาพไว้ให้แก่ตนและคนรุ่นหลัง

แน่นอนว่า จุดหมายของเขายังไม่ลุล่วงโดยสมบูรณ์ แต่กระนั้น ทั้งที่ชนชาติอเมริกันได้มุ่งหน้าสู่จุดหมายนั้นมาถึงเพียงนี้แล้ว ข้อความว่า “กฎหมายขึ้น เชิดชูสถาบันศาสนาหนึ่งใด” ก็ดูจะมิได้ช่วยให้คนอเมริกันสมัยปัจจุบันระลึกนึกเห็นได้ชัดเจนนัก ถึงความเลวร้าย ความน่าหวาดกลัว และปัญหาต่างๆ ทาง การเมือง ที่เป็นเหตุให้ต้องเขียนข้อความนั้นไว้ในสิทธิบรรณของเรา (Bill of Rights=อนุบัญญัติ ๑๐ ข้อแรกในรัฐธรรมนูญอเมริกัน) กฎหมายของรัฐนิวเจอร์ซีนี้จะเป็นกฎหมายที่เชิดชูสถาบันศาสนาหรือไม่ จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในความหมายของข้อความที่บัญญัติไว้นั้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษี

เพราะฉะนั้น จึงมิเป็นการไม่เหมาะสมที่จะมาทบทวนกันดูอีกวาระหนึ่งโดยสังเขป ให้เห็นภูมิหลังและสภาพแวดล้อมของยุคสมัย ที่ข้อความในรัฐ ธรรมนูญส่วนนั้นได้ถูกสรรแต่งขึ้นและยอมรับให้ปฏิบัติกันมา

เหล่าชนผู้มาตั้งถิ่นฐานในประเทศนี้ยุคแรกๆ นั้น จำนวนมากทีเดียว มาประเทศนี้จากยุโรป เพื่อหลบหนีจากข้อกำหนดของกฎหมาย ที่บังคับเขาให้ อุปถัมภ์บำรุงและเข้าร่วมกิจกรรมของนิกายศาสนาที่รัฐบาลอุปถัมภ์บำรุง

หลายศตวรรษก่อนหน้านั้น รวมทั้งในยุคสมัยเดียวกับที่อเมริกาเป็นอาณานิคม เต็มไปด้วยความปั่นป่วน การวิวาทขัดแย้งวุ่นวายของประชาชน และการห้ำหั่นบีฑากัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากนิกายที่รัฐยกขึ้นสถาปนา ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ทางศาสนาและการเมืองของตนไว้ให้เด็ดขาด

ด้วยอำนาจของรัฐบาลที่ส่งเสริมสนับสนุนนิกายศาสนานั้นๆ ในต่างกาละ ต่างเทศะ พวกคาทอลิกก็ห้ำหั่นบีฑาพวกโปรเตสแตนต์ พวกโปรเตสแตนต์ก็ห้ำหั่นบีฑาพวกคาทอลิก พวกโปรเตสแตนต์นิกายโน้นก็ห้ำหั่นโปรเตสแตนต์ที่ต่างนิกายอื่นๆ พวกคาทอลิกสายความเชื่อหนึ่ง ก็ห้ำหั่นบีฑาพวกคาทอลิกอีกสายความเชื่อหนึ่ง แล้วทุกนิกายเหล่านี้ (ทั้งโปรเตสแตนต์ ทั้งคาทอลิก) ก็ได้ห้ำหั่นบีฑาพวกยิวเป็นคราวๆ

ด้วยความพยายามที่จะบังคับให้จงรักภักดีต่อนิกายศาสนาที่ได้ขึ้นมาเป็นนิกายที่สูงสุดและเข้าพวกกับรัฐบาลในยุคสมัยนั้นๆ ชายหญิงทั้งหลายได้ถูกปรับสินไหม ได้ถูกจับขังคุก ได้ถูกทรมานอย่างโหดร้าย และถูกสังหาร ในบรรดาความผิดทั้งหลายที่คนเหล่านี้ถูกลงโทษ ก็เช่นการพูดโดยไม่เคารพต่อความ คิดเห็นของอาจารย์สอนศาสนาในนิกายที่รัฐบาลอุ้มชู การไม่ไปร่วมกิจกรรมของนิกายเหล่านั้น การแสดงความไม่เชื่อในคำสอนของอาจารย์สอนศาสนาเหล่า นั้น และการที่มิได้ยอมเสียภาษีรัฐและภาษีศาสนาเพื่ออุปถัมภ์บำรุงนิกายศาสนานั้น

ปฏิบัติการเหล่านี้ที่มีในโลกเก่า คือยุโรป ได้ถูกนำมาปลูกฝังลงและเริ่มจะแพร่ขยายไปในผืนแผ่นดินอเมริกาใหม่ กฎบัตรกฎหมายทั้งหลายที่มหากษัตริย์ของอังกฤษได้พระราชทานบรมราชานุญาตแก่บุคคลและบริษัททั้งหลาย ซึ่งได้กำหนดให้เอกชนและบริษัทเหล่านั้น ตรากฎหมายขึ้นมาบังคับควบคุมชะตากรรมของชาวอาณานิคม ก็ได้ให้อำนาจแก่เอกชนและบริษัทเหล่านี้ที่จะสร้างศาสนสถาน ซึ่งทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อถือหรือไม่ จะต้องอุปถัมภ์บำรุงและร่วมกิจกรรม

การดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจนี้ พ่วงมาด้วยการนำเอาวิธีปฏิบัติต่างๆ และการห้ำหั่นบีฑาของโลกเก่า (ยุโรป) มากมายหลายอย่างมาใช้ซ้ำอีก พวกคาทอลิกพบว่าตัวเองถูกตามล่าและถูกประณามหยามเหยียดเพราะเหตุแห่งความเชื่อของตน พวกเควกเกอรส์ผู้ดำเนินตามจิตสำนึกของตน ก็ต้องเข้าคุกไป พวกแบบติสต์ก็เสี่ยงอันตรายเป็นพิเศษจากพวกโปรเตสแตนต์บางนิกายที่เป็นใหญ่ ชายหญิงที่นับถือศาสนาต่างๆ ซึ่งบังเอิญเป็นชนส่วนน้อยในบางถิ่นบางที่ก็ถูกห้ำหั่นบีฑา เพราะเหตุที่ยืนหยัดในการบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามแนวทางที่จิตสำนึกของตนกำหนดนำ

ผู้ที่มีความคิดเห็นผิดแผกแตกแยกออกไปเหล่านี้ ถูกบังคับให้ต้องเสียภาษีศาสนาและภาษีบ้านเมือง เพื่อเอามาอุปถัมภ์บำรุงนิกายศาสนาที่รัฐอุ้มชู ซึ่งมีศาสนาจารย์ไปเที่ยวเทศนาคำสอนอันแสบร้อน ที่มุ่งจะเสริมสร้างความเข้มแข็งมั่นคงให้แก่นิกายของตน ด้วยการก่อให้เกิดความชิงชังอย่างร้อนแรงแก่ผู้ที่คิดผิดแผกออกไป

ปฏิบัติการเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งสามัญดาษดื่น ถึงขั้นที่สร้างความหวาดผวาแก่ชาวอาณานิคมผู้รักเสรีภาพ จนเกิดเป็นความรู้สึกขยาดแขยง การเรียกเก็บภาษีเพื่อเอามาจ่ายเป็นเงินเดือนของอาจารย์สอนศาสนาและมาก่อสร้างดูแลรักษาโบสถ์ พร้อมทั้งทรัพย์สินของโบสถ์เหล่านี้ ก่อให้เกิดความขุ่นข้อง หมองใจแก่ชาวอาณานิคมเหล่านั้น ความรู้สึกเหล่านี้แหละ ที่แสดงออกมาเป็นข้อความในอนุบัญญัติข้อ ๑ (First Amendment)

[ข้อความตอนหนึ่งจากมติของศาลสูงสุด คดีอีเวอร์สันเป็นโจทก์ฟ้องคณะกรรมการการศึกษา ค.ศ. ๑๙๔๗, Microsoft Encarta Encyclopedia 2001]

นี่คือประวัติศาสตร์ความเป็นไปของสังคมอเมริกัน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลยกับของเรา ฉะนั้นถ้าเราจะไปเอาแนวคิดนี้มาใช้ มันก็ไปกันไม่ได้ คือเท่ากับไปเอาปัญหาของเขามาใส่ตัว แล้วทิ้งของดีของตนหรือประโยชน์ที่ตัวควรจะได้

เสรีภาพของอเมริกา เพื่อให้ศาสนาไม่รังแกกัน
เสรีภาพของไทย เพื่อให้ต่างศาสนาสามัคคีกัน

ว่ากันว่าอเมริกามีเสรีภาพทางศาสนา จริงอยู่ ถ้าเทียบกับประเทศทั้งหลายทั่วไป เขามีเสรีภาพทางศาสนามาก แต่ถ้าเทียบกับไทย เราพูดได้เลยว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ค่อนข้างขาดเสรีภาพทางศาสนา

ในเมืองไทยเรานั้น ใครจะแจกเงินเพื่อล่อให้นับถือศาสนาของเขาก็แจกไป รอบพุทธมณฑลปีที่แล้วทางคริสต์ไม่รู้นึกอย่างไร เอาป้ายเผยแพร่ศาสนาไปติดตามต้นไม้ ตามเสาไฟฟ้า บนถนนรอบพุทธมณฑล แล้วข้างวัดก็ไปติดที่ต้นไม้ เราก็ไม่ว่าอะไร ป้ายเผยแพร่ศาสนาคริสต์นี้ ติดตามริมถนนกระทั่งบนเขาสูงในเชียงราย ก็ตามสบาย ใช่ไหม ของไทยเราพื้นฐานมีเสรีภาพทางศาสนามากอยู่แล้ว จึงไม่ว่าอะไรใคร ปล่อยกันตามสบายจนถึงขนาดที่ว่า คนศาสนาอื่นเขาอดรนทนไม่ได้

ขอเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายปีก่อน มีชาวยิวคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดตั้งแต่อยู่ในเมือง คนยิวคนนี้มาบอกว่า เขาไปทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลคริสต์แห่งหนึ่งในภาคเหนือ ไม่ต้องระบุชื่อ เพราะตามภรรยาของเขาที่มาทำวิจัยที่นั่น เขาได้เห็นอยู่ตลอดเรื่อยเลย ศาสนาจารย์คริสต์ชักจูงคนไทยให้นับถือศาสนาด้วยการให้สิ่งล่อ ให้เงิน ให้ของอะไรต่างๆ เขาบอกว่าในประเทศของเขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำไมในประเทศไทยจึงปล่อยให้ทำกันอย่างนี้ เราก็รู้ว่าคนศาสนาอื่นเขาไม่ยอมหรอกแบบนี้ คือคนไทยเราเปิดกว้างมาก จนกระทั่งว่าไม่มีขอบเขตก็ว่าได้ เลยกลายเป็นปล่อยปละละเลย เพราะฉะนั้น ถ้าพูดในแง่เสรีภาพทางศาสนานี่ ของเราไม่ได้มีปัญหาเลย

จากอดีตสืบมา ทางใต้ของประเทศไทยเรา ชาวพุทธกับชาวมุสลิมอยู่กันได้ดี มีคนใต้เล่าให้ฟังถึงขนาดที่ว่า เวลาชาวมุสลิมสร้างมัสยิด คนพุทธไปช่วยสร้าง แล้วเวลาชาวพุทธสร้างโบสถ์ ชาวมุสลิมก็มาช่วยสร้าง มีน้ำใจต่อกัน อยู่กันอย่างสงบสบาย แต่ตอนหลังนี้ชักมีเสียงไม่น่าสบายใจเข้ามา

เมื่อ ๓-๔ ปีก่อน มีพระที่นราธิวาสเข้ามา ท่านวิตกกังวลเป็นห่วงมาก ท่านบอกว่า สมัยท่านเรียนหนังสือ เด็กพุทธเด็กมุสลิม เรียนด้วยกันหมด เป็นเพื่อน รู้จักกันสนิทสนม แต่มายุคนี้แยกกันเรียน ตั้งแต่ในชั้นประถม เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นคนละพวกไป ท่านห่วงใยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น สภาพที่ดีของเรานี้ทำไมเราไม่ดูแล แล้วมันหายไปได้อย่างไร เราต้องสืบสาวเหตุ แล้วคิดหาทางว่าจะฟื้นฟูได้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่าที่จะไปดูปัญหาของอเมริกันแล้วจะเอามาใช้ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย เป็นอันว่า ปัญหาของเรานี้ เป็นคนละอย่างกับเขา

ย้อนอดีตไปไกลอีกหน่อย ในสมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นายพลฟอร์บัง ชาวฝรั่งเศส มารับราชการที่กรุงศรีอยุธยาตั้งหลายปี เมื่อกลับไปแล้ว ไปกราบทูลพระเจ้าหลุยส์บ้าง เล่าให้บาทหลวงฟังบ้าง บอกว่าเมืองไทยนี้ บาทหลวงจะไปสอนอย่างไรก็สอนไปเถิด เขาเล่าว่าบาทหลวงไปติเตียนพระพุทธศาสนากับพระด้วย พระท่านว่าอย่างไรรู้ไหม ท่านบอกว่า อาตมาว่าศาสนาของท่านก็ดี แต่ทำไมท่านไม่ว่าศาสนาของฉันดีบ้างนะ ถ้าเป็นเมืองฝรั่งสมัยนั้น ใครไปว่าอย่างนั้น รบกันตายฆ่ากันตาย นายพลฟอร์บังยังเล่าด้วยว่า บาทหลวงไปเทศนาสอนชาวบ้าน ชาวพุทธก็มานั่งฟัง บอกว่า เขานั่งฟังเหมือนกับฟังนิทาน ไม่ถือสาอะไร นั่นคือชาวพุทธไม่ได้รังเกียจใคร

ควรพูดให้ชัดขึ้นอีกหน่อยว่า เสรีภาพทางศาสนาของอเมริกันเป็นเสรีภาพเชิงลบ เป็นเรื่องของการที่จะไม่รุกล้ำกัน ไม่ละเมิดกัน ไม่ให้มาขัดแย้งกัน ต้องมีการบัญญัติห้ามกัน ตั้งข้อ กำหนดต่างๆ แล้วก็ยังระแวงกัน หวาดกัน อึดอัดกัน เอาแค่ให้มี tolerance อดใจไว้และทนกันได้ แต่ของเราว่ากันตามสบาย ชาวพุทธจะไปงานอะไร ไปโบสถ์คริสต์ ไปมัสยิดก็ไป ให้อยู่ร่วมกันด้วยดี ร่วมมือกันได้ มีไมตรี และช่วยเหลือกัน คือไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เราจะเอาปัญหาเข้ามาทำไม

เรื่องที่เราควรคิดนั้นอยู่ที่ว่า เราทำอย่างไรจะเอาสิ่งดีที่เรามี หรือของดีของเราออกมาใช้ประโยชน์ ให้ได้ผลดีแก่ประเทศชาติ สังคม และเป็นแบบอย่างแก่ชาวโลกเขาบ้าง

เบื้องหลังอเมริกาที่ร.ร.ต้องไม่สอนศาสนา
กับความจริงของไทยที่ต้องเข้าใจพระพุทธศาสนา

การสอนศาสนานั้นมีสามแบบ คือ

๑. สอนเป็นข้อมูลวิชาการ โรงเรียนอเมริกันสอนเรื่องศาสนาได้ตามหลักข้อนี้ และคงเป็นแบบนี้กระมังที่สงสัยกันว่า กำลังมีการคิดที่จะจัดให้มีให้เป็นขึ้นในเมืองไทย คือสอนเป็นข้อ มูลให้รู้ไว้ว่า ศาสนานั้นเกิดที่ไหน มีศาสดาชื่ออะไร มีคัมภีร์ชื่ออะไร

๒. สอนเพื่อให้นับถือ คือ convert ตามประเพณีแต่เดิมมา หรือตามหลักศาสนาของฝรั่งนี่ เขาคิดได้อย่างเดียวว่า ถ้าสอนศาสนา ก็หมายถึงว่าจะต้องเป็นการ convert คือเอาคนไปเข้ารีต เวลาไปฟังพวกฝรั่ง ถ้าเราไม่รู้ทันก็อาจจะคิดว่าเขาพูดแบบที่สาม แต่ที่จริงเป็นความคิดพื้นฐานคนละแบบ ซึ่งของเราไม่เป็นอย่างที่เขาคิด

๓. สอนเพื่อฝึกอบรมให้เป็นคนดี ข้อที่สามนี้ไม่ค่อยมีในความคิดของฝรั่ง เพราะเขานึกว่าสอนศาสนาก็มุ่งในข้อ ๒ ส่วนข้อ ๓ นี้เป็นการสอนจริยธรรม (ระบบความคิดแยกส่วน)

ต่างจากของเราซึ่งมุ่งที่ข้อสาม การสอนศาสนากับจริยธรรม ไม่ใช่เรื่องคนละอย่าง (แต่เดิมมาคำว่าจริยธรรมเราก็ไม่มีใช้ เพิ่งบัญญัติตามฝรั่งเมื่อราว ๓๐ ปีนี่เอง)

สภาพของเราก็ไม่เหมือนเขา มีปัญหาหลายอย่างที่เป็นเรื่องเฉพาะของเขา แต่ในแง่การสอนนี่ก็เป็นอันว่า แนวการสอนและความมุ่งหมายคนละอย่าง ฝรั่งนั้นในเมื่อแกมุ่งไปในทางที่จะ convert ก็ทำให้มีปัญหากัน ศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกายก็ระแวงกันขัดแย้งกัน เมื่อแกไม่มีทางออก แกก็หันไปทางจริยธรรมสากล จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า universal ethics ขึ้นมา ซึ่งเป็นการพยายามประนีประนอม แล้วก็ไม่ได้ผลอะไร คิดว่าเท่าที่ผ่านมา universal ethics ไม่มีอะไรที่จะยึดโยงลึกซึ้งลงไปในจิตใจของคนได้ อันนี้เป็นข้อที่จะต้องรู้ว่าเราสอนศาสนากันเพื่ออะไร ตอนนี้ถ้าเมืองไทยจะมาคิดสอนศาสนาให้เป็นข้อมูลวิชาการ หรือจะสอนจริยธรรมสากลแทน ก็จบเท่านั้นเอง

ปัญหาไทยกับสหรัฐฯ ที่ว่าเป็นคนละอย่างนี่ ที่เป็นเรื่องหลัก ก็คือ ในสหรัฐฯ ศาสนิกแตกแยกกัน ทั้งที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาเดียวกัน คือศาสนาคริสต์ (อเมริกันนับถือคริสต์ประมาณ ๘๕%) ส่วนใหญ่เป็นนิกายโปรเตสแตนต์ มีคาทอลิกเป็นส่วนน้อยราว ๒๐% แต่ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ที่ว่าเป็นโปรเตสแตนต์นั้น พอดูลึกเข้าไป ปรากฏว่าแยกเป็นนิกายเล็กนิกายน้อยมากมาย นับเฉพาะที่มีผู้นับถือเกิน ๕,๐๐๐ คน และมีโบสถ์หรือศาสนสถานตั้งแต่ ๕๐ แห่งขึ้นไป มีรวมแล้วราว ๑๔๔ นิกายย่อย และในจำนวน ๑๔๔ นิกายย่อยนั้น ที่มีสมาชิกเกิน ๓ ล้านคนมีเพียง ๗ นิกายเท่านั้นเอง และนิกายย่อยที่มีสมาชิกมากที่สุดก็ไม่ถึง ๙ ล้านคน

ข้อสำคัญก็คือความแตกแยกแย่งชิงกัน ไม่เฉพาะระหว่างโปรเตสแตนต์กับคาทอลิกเท่านั้น แค่โปรเตสแตนต์นิกายย่อยที่มากมายนั้นก็สอนไม่เหมือนกัน ตีความหลักไม่เหมือนกัน ยอมกันไม่ได้ และกลัวจะแย่งจะข่มเหงกัน หวาดระแวงกัน กลัวอีกนิกายหนึ่งจะมา convert คนของตัวไป แต่ของเรานี้ไม่มีปัญหาอย่างนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ ทั้งจังหวัด ทั้งภาคนับถือศาสนาเดียวกัน สอนหลักการเดียวกัน มีข้อแตกต่างก็ว่ากันได้ เถียงกันได้ เป็นเรื่องปลีกย่อย แต่ปัญหาของเราอยู่ที่ว่า คนที่ว่านับถือพระพุทธศาสนานั้น ไม่รู้จักศาสนาที่ตนนับถือ ฉะนั้นการสอนพุทธศาสนาในเมืองไทย จึงมีวัตถุประสงค์อีกแบบหนึ่งที่ต่างจากฝรั่ง คือ

๑. สอนเพื่ออบรมคนให้เป็นคนดี

๒. สอนในฐานะที่เขาเป็นพุทธศาสนิกชน ให้รู้จักพระพุทธศาสนาที่เขานับถืออยู่แล้ว

เราสอนให้ชาวพุทธรู้จักศาสนาของเขา ไม่ใช่ปล่อยให้นับถือแล้วไม่รู้เรื่องรู้ราว ซึ่งจะทำให้สูญเสียประโยชน์ที่พึงได้ ทั้งแก่ตัวของเขาเอง และของสังคมประเทศชาติ เราไม่ได้สอนเพื่อจะไป convert แนวคิดของฝรั่งกับของเราต่างกันคนละเรื่องละราว สภาพแวดล้อมก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น นอกจากต้องรู้จักฝรั่งให้เพียงพอแล้ว ก็ต้องทำความเข้าใจในเรื่องสังคมของตัวเองให้ดี

พร้อมกันนั้นต้องชัดว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องระหว่างศาสนา แต่เป็นเรื่องของการช่วยให้ประชาชนและสังคมประเทศชาติได้รับประโยชน์จากศาสนาโดยถูกต้อง และเป็นการส่งเสริมศาสนาให้ถูกทาง โดยสอดคล้องกับความเป็นจริง อย่างที่พูดแล้วว่าเราไม่ได้มีปัญหาอย่างอเมริกาเลย

คนไทยเป็นพุทธศาสนิก ๙๔-๙๕% ก็แทบจะทั้งประเทศอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่แค่นั้น ที่ว่า ๙๔-๙๕% นั้นเป็นตัวเลขรวมเฉลี่ย ไม่ใช่ว่าจังหวัดนั้นก็ ๙๕% จังหวัดนี้ก็๙๕% แต่ที่จริงในจังหวัดทั้งหลายค่อนประเทศ คนนับถือพุทธหมดหรือแทบหมดทั้ง ๑๐๐% ปัญหาของเราคือทำอย่างไรจะให้พุทธศาสนิกชนรู้จักศาสนาที่ตนนับถือ และปฏิบัติได้ถูกต้อง นี่คือเหตุผลสำคัญที่เราต้องสอนพุทธศาสนา ในภาวะอย่างนี้ ถ้าโรงเรียนไม่สอนพระพุทธศาสนานั่นสิ จึงจะเป็น เรื่องแปลกประหลาด

คิดให้ชัด สอนศาสนาอย่างไรก่อปัญหาปิดกั้นปัญญา
สอนศาสนาอย่างไร ปัญญาพิพัฒน์ ชีวิตและสังคมวัฒนา

อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ได้ยินว่าจะมีการหลอมรวมหลักศาสนาต่างๆ มาใช้แบบบูรณาการ หนังสือพิมพ์ลงเมื่อวานนี้ มีบางท่านส่งมาให้อ่าน ถ่ายจากหนังสือพิมพ์ (แต่ไม่บอกว่าฉบับใด)หัวข่าวว่า “หลอมหลักทุกศาสนาเข้ากับหลักสูตรสามัญ…” ดูข้อความยังกำกวมอยู่ น่าจะให้ชัดว่ามุ่งความหมายว่าอย่างไร

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ไม่ทราบ

พระธรรมปิฎก เรื่องนี้ถ้าจริงอย่างที่มีการวิจารณ์กัน จะมีผลต่อไประยะยาว เพราะฉะนั้นจึงขอถือโอกาสพูดนิดหน่อย ถ้าหลอมรวมหลักศาสนา หนึ่ง ศาสนาแห่งศรัทธาเขาไม่ยอม เพราะเขาถือของเขาตายตัว แต่ สอง กลายเป็นว่าเราจะตั้งศาสนาใหม่ เพราะว่าเมื่อเอาคำสอนจริยธรรมมารวมกัน เราก็เหมือนเป็นศาสดาที่ตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่ เป็นการลบหลู่ศาสดาของศาสนานั้นๆ เพราะว่าศาสดาของแต่ละศาสนาท่านก็มีเหตุผลของท่าน ว่าทำไมท่านจึงต้องตั้งศาสนานี้ขึ้น เช่น ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าคนอินเดียมัวบูชายัญ ถือวรรณะกันอยู่ มัวแต่ถือพระเวท ทำให้ผูกขาดการศึกษาเฉพาะบางวรรณะ คนไม่รู้จักพึ่งตนเอง ไม่ฝึกตน เป็นต้น พระองค์จึงทรงสอนหลักธรรมขึ้นใหม่ ศาสนาต่างๆ จึงมีเอกลักษณ์ของตนเอง ถ้าเราจะหลอมรวมหลักศาสนา ก็คือเรามีแนวคิดอย่างหนึ่ง ได้แก่แนวคิดหลอมรวม เมื่อทำไปตามแนวคิดนั้น ก็เลยกลายเป็นศาสนาใหม่ที่ไม่เกิดจากประสบการณ์จริง

ทีนี้เราหลอมรวมหลักศาสนา คิดว่าจะให้เป็นบูรณาการ คือ integration แต่กลายเป็นการทำลาย integrity คือทำลายบูรณภาพของศาสนา ซึ่งเป็นการแน่นอนว่า ศาสนาจะสูญเสีย integrity คือเสียบูรณภาพไปเลย

พร้อมนั้นที่บอกว่าเราทำให้เป็นจริยธรรมสากล มันก็เป็น doctrine หรือหลักลัทธิที่คลุกเคล้าขึ้นใหม่ พอเอาไปสอนเด็กก็กลายเป็น indoctrinate คือปลูกฝังลัทธิบอกว่าจะหนี indoctrination ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าตัวทำ indoctrination เสียเอง

อีกอย่างที่สำคัญมากคือ จะเป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางปัญญา เพราะเราไปจัดจริยธรรมสำเร็จรูปให้แก เด็กแทนที่จะใช้ปัญญาเป็นอิสระ สืบค้นหาเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีคุณธรรมข้อนี้ๆ การใช้ปัญญาก็ไม่มี

ตามปกตินั้น ในศาสนาต่างๆ แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน เอาง่ายๆ อย่างการมองโลกมองธรรมชาติของคริสต์ เขามองว่าพระเจ้าสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร สิงสาราสัตว์ มาให้เป็นอาหารของมนุษย์ และให้มนุษย์มี dominion คือมีอำนาจบังคับสิ่ง เหล่านี้ ฝรั่งจึงถือว่ามนุษย์มีสิทธิจัดการกับธรรมชาติได้ตามชอบใจ

แต่ต่อมาตอนนี้เกิดปัญหาธรรมชาติแวดล้อมเสีย ฝรั่งก็ติเตียนกันว่า เป็นเพราะศาสนาและปรัชญาของพวกตนสอนให้เชื่อมาผิดๆ ทีนี้จะหาทางออก ทำอย่างไรดี แกก็เก่งเหมือนกัน คนรุ่นใหม่ อย่างนายอัล กอร์ ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีคนที่แล้ว คนสายนี้ได้ตีความใหม่ว่า อันที่จริงไม่ใช่อย่างที่เชื่อกันมาหรอก ฝรั่งปฏิบัติกันมาผิดเอง พระเจ้าไม่ได้ต้องการอย่างนั้น

เขาตีความกันใหม่ว่า ที่พระเจ้าได้สร้างสิงสาราสัตว์ และพืชพันธุ์ธัญญาหารมา และให้มนุษย์มี dominion เหนือสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หมายความว่าให้มนุษย์จัดการตามความชอบใจของตน แต่หมายความว่าพระเป็นเจ้าทรงมอบให้มนุษย์มีอำนาจที่จะได้ช่วยดูแลสิ่งเหล่านั้นแทนหูแทนตาของพระเจ้า คือสิ่งที่สร้างมานั้นเป็นสมบัติของพระเจ้า แล้วพระองค์ให้มนุษย์มี dominion แปลว่ามีอำนาจควบคุม จะได้ช่วยดูแล แต่เป็นการดูแลไว้ให้พระเจ้านะ เพราะฉะนั้นจะต้องรักษาให้ดี แนวคิดนี้เขาเรียกว่า stewardship of nature (การเป็นผู้ดูแลธรรมชาติต่างหูต่างตาของพระผู้เป็นเจ้า) นี่แหละฝรั่งก็หาทางออกไป

หันมาดูแนวคิดของเราไปคนละทางกับของฝรั่ง คือเรามองว่าสิ่งทั้งหลายเป็นรูปธรรมและนามธรรม มีอยู่ตามธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ก็อยู่ในระบบของธรรมชาติ จะเรียกว่าโลก หรือจักรภพก็ตาม ล้วนอยู่ในระบบความสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน เพราะฉะนั้นจึงมีผลกระทบต่อกัน แต่มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษที่ฝึกฝนพัฒนาได้ เพราะฉะนั้นเราจึงถือโอกาสพัฒนามนุษย์ที่เป็นสัตว์ที่ฝึกได้นี้ ให้มีคุณภาพดี เพื่อให้มนุษย์นั้นสามารถช่วยทำให้ระบบความสัมพันธ์นั้นดีขึ้น เกื้อกูลกัน และอยู่กันได้ดีขึ้น

นี่เป็นตัวอย่างของแนวคิดที่ต่างกันไปคนละอย่าง ซึ่งมีเรื่องที่ต้องศึกษามาก ในการศึกษานั้นถ้าไปทำแบบเอาหลักอะไรๆ มาหลอมรวมกัน ก็กลายเป็นหลอมไปตามความคิดของคนที่ทำการหลอมนั่นแหละ ก็กลายเป็นการปิดกั้นปัญญาไป แทนที่จะรู้เหตุรู้ผล รู้อะไร ก็เลยได้แค่ถูก indoctrinate (ยัดเยียดหลักลัทธิ)

อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น เมตตา ความรัก ก็คนละแบบ ของฝรั่ง ความรักเป็น emotion ของเราบอกว่า เมตตาต้องมากับปัญญา ต้องรู้ว่าทำไมจึงต้องมีเมตตา เพราะเขาเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกับเรา เป็นเพื่อนร่วมโลก มนุษย์สัตว์ทุกชีวิตรักสุขเกลียดทุกข์ทั้งนั้น ฉะนั้นการฆ่ากันเบียดเบียนกันจึงไม่ควรทำ แต่ควรรักกัน ช่วยเหลือกัน เด็กจะต้องเรียนศาสนาแบบมีปัญญา รู้จักใช้ความคิดสืบค้น การจัดการศึกษาศาสนาจึงเป็นเรื่องที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ศรัทธาอย่างเดียว

ทำไมเราไม่ปฏิบัติการเชิงรุกบ้าง ฝรั่งมีดีจุดนี้ แต่ด้อยจุดนั้น เรามีดีอันนี้ทำไมไม่เอาขึ้นมาจัดทำส่งเสริมให้เห็นเป็นตัวอย่าง ให้โลกมองเห็นทางออกจากปัญหาที่ติดตันกันอยู่ แม้แต่อเมริกาก็ควรต้องเอาอย่างเราในเรื่องเสรีภาพทางศาสนา เพราะเสรีภาพทางศาสนาของเราเป็นเชิงบวก ไม่ใช่เชิงลบแบบของอเมริกัน เรื่องนี้เราไม่ได้สนใจศึกษาตัวเอง ต้องตื่นตัวกันขึ้นมาศึกษา

นอกจากนั้น เรื่องของเราบางอย่างที่ปัจจุบันปล่อยให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา อย่างเด็กมุสลิมกับพุทธในภาคใต้ ทำไมต้องแยกกันเรียน ทำไมเรียนด้วยกันแบบเก่าไม่ได้ เกิดอะไรขึ้น เราเดินหน้าเขวมาผิดทางใช่ไหม แล้วเรามีการขยับเขยื้อนในทิศทางที่จะแก้ปัญหาสังคมแบบนี้ไหม หรือเอาแต่รูปแบบ จะเอากฎหมายเข้าว่าตามหลัก the rule of law แต่แค่นั้นไม่พอหรอก

จะเห็นว่าอเมริกันแก้ปัญหาแค่ผิวดำผิวขาวแตกแยกกัน ก็แก้ไม่ตก เพราะจะเอาแต่ด้านกฎหมาย ถ้าคนไม่รักกัน ก็ไม่มีทางสำเร็จ ช่องว่างก็จะกว้างออกไปเรื่อยๆ ต้องเอาจิตใจด้วย เรื่องนี้ เราจะต้องมาช่วยกันให้ความรู้สร้างความเข้าใจกันให้มากๆ เพราะเป็นเรื่องที่เราปล่อยปละละเลยมานาน ไม่ได้มองตัวเองเลย

น่าจะเอาจุดหมายที่ชอบธรรมขึ้นตั้ง แล้ววางระบบแบบแผน หรือรูปแบบให้สนองจุดหมายนั้นให้ดีที่สุด จุดหมายนี้คือประโยชน์สุขของชีวิตและสังคม แต่ให้เป็นจุดหมายที่ชอบธรรม ไม่มีการรังแกใคร เรื่องคนส่วนใหญ่ส่วนน้อยก็ทำให้ได้ด้วยกัน หรือต่างคนต่างได้ เช่น วิธียกเว้น อะไรอย่างนี้ คือไม่ให้สูญเสียประโยชน์ที่ควรจะได้ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ให้เสีย คนส่วนน้อยก็ต้องไม่เสีย ไม่ใช่ว่าขัดกันติดตัน แล้วทำไม่ได้ แต่เราต้องมีทางออก ไม่ใช่ว่าเห็นแก่คนส่วนน้อยสิบคนแล้วคนห้าพันคนสูญเสียประโยชน์ อย่างนี้ไม่ถูก ต้องให้คนห้าพันได้ประโยชน์เป็นหลักขึ้นมาแล้ว ก็จัดให้คนสิบคนได้ประโยชน์ที่เหมาะสมกับเขา ไม่ได้ทอดทิ้งใคร

อีกปัญหาหนึ่งคือ บางทีติดรูปแบบ อย่างเรื่องประชาธิปไตย ในเรื่องเสรีภาพทางศาสนา ก็มาติดเรื่องกฎเกณฑ์กติกา ซึ่งกลายเป็นเรื่องไม่มีชีวิตชีวา แล้วก็เป็น negative คือเป็นด้านลบไปหมด มองข้ามความเป็นจริงของภาวะแวดล้อมและภูมิหลังของกรณีนั้นๆ ตลอดจนลืมความมุ่งหมายที่แท้ของเรื่องที่จะทำ เราต้องมาช่วยกันคิดให้จริงจังและให้ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้

ถึงเวลา ตื่นขึ้นมา มองให้กว้างไกล
ตั้งจุดหมายให้ชัด และไม่ประมาทเร่งรัดทำ

ขอพูดจุดสุดท้ายว่า ในเมื่อการทำงานครั้งนี้ได้เกิดปัญหาขึ้นกับการพระศาสนาและคณะสงฆ์แล้ว เราก็ไม่ใช่แค่ว่ามาแก้ปัญหานั้นให้หมดไป ไม่ใช่เท่านั้น แต่จะต้องมองไปในระยะยาว และมุ่งให้บรรลุจุดหมายที่จะให้สถาบันพระศาสนามีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องมุ่งไปให้ถึงนั่น

เราจะเห็นว่า จากการที่ไม่รู้ไม่เข้าใจกัน ไม่ประสานกัน และการปล่อยองค์กรให้อ่อนแอ ก็จึงได้มีปัญหาต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดผลเสียแก่คณะสงฆ์เองและสังคมส่วนรวมอย่างไร เมื่อปัญหาเกิดขึ้น ครั้งนี้ ในแง่หนึ่งก็เหมือนเป็นภัยอันตรายที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งทางด้านพระศาสนาและคณะสงฆ์จะต้องตื่นขึ้นมา และมาฟื้นฟูตัวเองให้จริงจัง เพื่อป้องกันภัยข้างหน้าไม่ให้เกิดขึ้นอีก

การเกิดปัญหาที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นความมุ่งร้ายอะไร อย่างที่พูดแล้วว่าบางทีเราทำไปด้วยหวังดี แต่เพราะเราแยกกัน ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรต่อกัน ทำให้ห่างเหินและเกิดความผิดพลาด โดยไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา

นี่แหละเท่ากับเป็นสัญญาณเตือนภัยว่า ต้องรีบตื่นตัวขึ้นมาปรับปรุงแก้ไข มิฉะนั้นก็จะทิ้งให้มีช่องว่างไว้อีก แล้วปัญหาหรือภัยที่เกิดจากความไม่รู้โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคงจะร้ายแรงขึ้นด้วย

ฉะนั้นจุดสำคัญก็คือต้องถือโอกาสนี้เป็นจุดเริ่ม เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจว่า แย่มานานแล้วนะ เอาจริงเอาจังเสียที เร่งฟื้นฟูทำให้เข้มแข็ง ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมประเทศชาติได้จริงๆ เสียที อาตมาขอโอกาสฝากไว้เท่านี้ ขออนุโมทนา

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ขอนมัสการพระเดชพระคุณนะครับ สิ่งที่พระเดชพระคุณพูดมานี้ มันก็ตรงใจ อย่างน้อยกระผม เพราะว่าความอึดอัดประการหนึ่งเวลาทำโครงสร้างนี้ ต้องทำภายในกรอบที่กฎหมายมีอยู่

แต่ประเด็นที่พระเดชพระคุณพูดถึงเรื่องทำอย่างไรจึงจะให้ศาสนาพุทธนั้น กลับคืนไปสู่สภาพเดิมตามธรรมชาติของคนพุทธ และวัฒนธรรมพุทธ เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมานี้ ศาสนาพุทธก็อยู่ในกระแสชีวิต เป็นเรื่องประจำวันของคนพุทธ การศึกษาเล่าเรียน ก็ศึกษาเล่าเรียนพระพุทธศาสนา

พอมาระยะหลังเป็นอย่างที่พระเดชพระคุณได้พูดไว้แล้ว เป็นการเอาแบบตะวันตก คือไปเอาวัฒนธรรมของเขา คิดว่าเป็นของเรา แล้วออกกฎเกณฑ์ กติกาต่างๆ ที่เหมาะกับวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่า ไม่ได้แก้ปัญหา เอามาใช้ในเมืองไทย

พระเดชพระคุณพูดชัดเจนแล้วว่า ศาสนาพุทธนั้นและวัฒนธรรมคนพุทธไทยนี้ เป็นวัฒนธรรมที่มีเสรีภาพกว้างขวาง อาจจะกว้างขวางเกินไปก็ได้ ที่กระผมรับไม่ได้คือ เอาเกณฑ์ตะวันตกมา แล้วก็ปิดกั้นศาสนาพุทธ ไม่ให้เข้าไปสอนในโรงเรียน คิดว่าศาสนาพุทธนั้นจำเป็นสำหรับการอยู่อย่างมีความสุข ไม่ใช่เฉพาะคนพุทธ แต่คนชาติอื่นด้วย ถ้าเราจะเผยแพร่ความคิดอันนี้ออกไป

ผมอยากกราบเรียนว่า สิ่งที่พระเดชพระคุณพูดมานี้ จะออกมาเป็นเอกสารเผยแพร่ได้ไหมครับ แต่คงจะต้องเพิ่มเติมบางประเด็นให้มันครอบคลุมตอบปัญหาได้ชัด ตรงนี้คือประการที่หนึ่ง กราบรบกวนพระเดชพระคุณไว้ ถ้าหากว่าพระเดชพระคุณจะออกมาเป็นเอกสารที่สมบูรณ์แล้ว ท่านเลขาสำนักงานปฏิรูปจะพิมพ์ ใช่ไหมครับ เราก็ยินดีที่จะพิมพ์

พระธรรมปิฎก อาตมายินดี ไม่ขัดข้อง ก็ขออนุโมทนาด้วย

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ที่จริงพระเดชพระคุณพูดยังไม่ครบ บทวินิจฉัยของพระเดชพระคุณเรื่องธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของบุคคลเผ่าไทย ที่มีความเกี่ยวพันกันกับศาสนาพุทธนั้น ยังมีอีกหลายแง่หลายมุม ถ้าพระเดชพระคุณรวบรวมมาแล้วคิดออกมา แล้วเสนอออกมาครบถ้วน จะเป็นประโยชน์กับสังคมไทย อันนั้น คือประการที่หนึ่ง

ประการที่สอง ตรงนี้เกินความสามารถของพวกเราแต่ละคน ที่พระเดชพระคุณพูดถึงว่า ขณะนี้มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะ ใช้โอกาสนี้เสีย ที่จะฟื้นให้ศาสนาพุทธของเรากลายเป็นศาสนาของสันติภาพ

การนำศาสนาคริสต์เอามาหลอมรวมกับศาสนาพุทธ ผมไม่ทราบว่าใครมีความคิดวิตถารอุตริวิปลาสอย่างนั้น ศาสนาพุทธหลอมรวมไม่ได้ ผมมีความเข้าใจศาสนาพุทธอาจจะเล็กน้อย แต่ว่าพุทธธรรมนั้นเป็นธรรมชาติที่เป็นแก่นแท้ เวลาเขียนบทความ อันนี้กระผมถึงไม่ใช้คำว่าปฏิรูปพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาปฏิรูปไม่ได้ อันนี้กระผมคิดว่าถ้าจะเอามาหลอมรวม คือจะไปสร้างศาสนาใหม่ ที่ท้ายสุดไม่มีใครยอมรับได้สักคน ถึงบอกว่า เป็นความคิดที่วิปลาส ไม่ทราบว่าใครส่งเสริมแนวคิดนี้ขึ้นมา

พระธรรมปิฎก ว่าไปตาม นสพ. เมื่อกำกวม สกศ. ก็ควรชี้แจงให้ชัด

ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ ขออนุญาตชี้แจงเรื่องข้อมูลนิดหนึ่ง เข้าใจว่าการลงข้อความคงจะคลาดเคลื่อน เท่าที่เมื่อก่อนเคยอยู่สภาการศึกษา ตอนนี้ย้ายมาทำงานอยู่สำนักงานปฏิรูป เคยเห็นเอกสาร คิดว่า ดร.รุ่ง แก้วแดง ต้องการที่จะเห็นว่าเมื่อมีสภาการศึกษาศาสนาวัฒนธรรม อยากจะเห็นว่าศาสนานี้สามารถเข้าไปบูรณาการในการเรียนการสอนได้ แต่ว่าศาสนาใครก็ศาสนานั้น แต่ไม่ใช่ไปหลอมรวมศาสนาเข้าด้วยกัน ศาสนาพุทธก็ไปบูรณาการเข้าไปในการเรียนการสอนให้มากขึ้น เพราะว่าตอนนี้เราเห็นอยู่ว่าการสอน เอาศาสนาพุทธไปสอนในโรงเรียนนี้ ก็สอนแค่รูปแบบ และไม่ได้สอนเข้าไปถึงแก่นของศาสนาพุทธเท่าที่ควร คิดว่าเป็นเจตนารมณ์ตรงนี้มากกว่า เวลาอ่านอาจจะเข้าใจผิด

พระธรรมปิฎก เมื่อลงเป็นข่าว ก็ต้องว่าไปตามสื่อนั้นก่อน และต้องระวังไว้

ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ ประเด็นที่สอง บางทีคอยวิจารณ์อยู่เหมือนกัน เพราะว่าบางทีท่านไปให้ใครเขียน บางคนอาจจะเขียนไม่ได้รู้เรื่องลึกซึ้ง เคยวิจารณ์สิ่งที่เขียนออกมาว่า เขียนอย่างนี้ผิด ไม่ถูก มองศาสนาพุทธแบบผิวเผิน บางทีบางคนเหมือนกับเป็นนักวิจัย ไปรับเขียนอะไรให้ อาจจะเข้าใจผิดได้

พระธรรมปิฎก เรื่องการรู้จักตัวเรา การเข้าใจสังคมของเรา เป็นเรื่องที่น่าออกหนังสือ ดังตัวอย่างเรื่องนายพลฟอร์บังในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ที่เล่าให้ฟังข้างต้น และจดหมายเหตุของพวกบาทหลวงในสมัยนั้น ที่พูดถึงท่าทีของคนไทยต่อศาสนาของเขา

เรื่องอย่างนี้เราต้องเข้าใจตัวเอง และน่าจะมีสิทธิภูมิใจด้วย ใช่ไหม คือควรจะเอาเรื่องเหล่านี้มาเขียนให้เด็กได้รู้ ว่าเรามีอะไรดีของตัวเอง ที่ควรจะภูมิใจ แล้วเอาศักยภาพที่ดีที่ตัวมีออกมาใช้ ซึ่งในแง่นี้ พูดได้ว่าศักยภาพของเราสูงเหนือกว่าอเมริกันมาก

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ตะวันตกเองหมดที่พึ่งทางใจ ต้องหันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา เราจะปิดกั้นเด็กไทยไม่ให้เรียนพระพุทธศาสนา คิดว่าอันนี้เป็นปัญหา กระผมคิดว่าประเด็นที่ท่านอาจารย์พูดไว้เมื่อสักครู่ ณ วันนี้ เรารู้ถึงสภาพความเสื่อมที่เกิดจากผู้ปฏิบัติ ทั้งที่เป็นคนพุทธและคนที่บอกว่าเป็นพุทธ แต่อาจจะไม่ใช่พุทธ ถ้าเราจะทำอะไรก็ตาม คงจะต้องทำให้เป็นระบบพอสมควร คือให้มันครอบคลุม กระผมก็ทำได้แต่เพียงตัวโครงสร้าง แต่การแก้โครงสร้างมันไม่ได้แก้อะไร จะต้องแก้กระบวนการอื่นให้มันครบวงจร

ถ้าหากว่าชาวพุทธหรือกลุ่มชาวพุทธต่างๆ แทนที่จะมาพูดกันเชิงตำหนิ หรือบ่นต่อว่า ก็เอาแนวที่พระเดชพระคุณตั้งไว้เป็นโจทย์ เอามาแล้วก็มาคิดหาทางออกที่มันสอดรับสวมกันได้เป็นระบบ จะเป็นอานิสงส์อย่างยิ่ง คืออย่างที่พระเดชพระคุณว่านั่นแหละครับ นักการเมืองเอง คนที่รับผิดชอบเรื่องการศึกษาเอง ก็ไม่เข้าใจ หรือแม้แต่คนพุทธเองก็ไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติ พระเดชพระคุณพูดมานี้กระผมได้อานิสงส์ เพราะว่าแต่ก่อนนี้ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ทะลุปรุโปร่งอย่างที่พระเดชพระคุณได้บรรยายเอาไว้

ถ้าหากว่าเอามาพูดกันทั้งระบบ แล้วเสนอแนวทางที่จะช่วยทำให้ศาสนาพุทธนั้น สามารถทำให้คนเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง และลงไปถึงโรงเรียน วางระบบที่จะปกป้องการรุกล้ำทำลายศาสนาพุทธให้มั่นใจ รัฐบาลคิดว่าคงจะได้ประโยชน์ เพราะเขาก็มีคนช่วยคิดแทน เพราะพระเดชพระคุณกับใครต่อใครที่มีความรักศาสนาพุทธ ยังเป็นที่พึ่งได้อีก กระผมคิดว่าก็จะเป็นประโยชน์

ทีนี้ สองประเด็นสั้นๆ นะครับ สิ่งที่พระเดชพระคุณพูด วันนี้พรุ่งนี้กระผมจะพบกับรัฐมนตรีช่วยการศึกษาและผู้บริหารของกระทรวงศึกษา จะขออนุญาตพระเดชพระคุณเอาไปสืบต่อและจะอ้างพระเดชพระคุณด้วย ว่ามีความเป็นห่วง

ส่วนเรื่องที่สอง ถ้าหากว่าจะมีอะไรที่จะทำให้งานของพระศาสนานั้นเกิดประโยชน์โสตถิผลตามที่ควรจะเป็น อาจจะต้องกระทบกับงานที่กระผมทำ จะขออนุญาตรับเป็นข้อเสนอไป แล้วจะเอาไปปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ครับ

แล้วแนวต่อไป ถ้าหากว่ากลุ่มชาวพุทธต่างๆ จะรับต่อจากนี้ ผมว่าทำให้เป็นระบบ แล้วสำนักงานปฏิรูปการศึกษาจะได้เอาเรื่องนี้ไปคุยกับทางผู้บริหารของกระทรวงศึกษาทั้งสองเรื่อง จะได้เป็นประโยชน์ร่วมกัน ผมขออนุญาตกล่าวเพียงเท่านี้

พระธรรมปิฎก ขออนุโมทนาท่านประธานอาจารย์ปรัชญา เวสารัชช์ อย่างมาก ที่คิดว่าท่านก็มีความเข้าใจ แล้วก็มีความหวังดีต่อประเทศชาติมากอยู่แล้ว ก็มาช่วยกันสาน ช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อจะให้ส่วนที่เรารู้คนละด้านๆ มาเสริมกัน ขออนุโมทนา อาจารย์สุวัฒน์ เงินฉ่ำ อาจารย์เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ และทุกท่าน

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ ทีนี้ถ้าถอดเทปแล้วจะต้องฝากพระเดชพระคุณช่วยดูต่อ เพราะว่ามีจุดนี้ พระเดชพระคุณจะเล่าต่อไหม อีกประเด็นหรือบางประเด็นหลังจากถอดเทปมาแล้ว

พระธรรมปิฎก ถ้าเขียนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไหว โดยมากต้องพูดไปเลยให้เสร็จไป แล้วก็เอาบทลอกเทปมาตรวจ ได้แค่นั้น

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ คือ ถ้าพระเดชพระคุณอนุญาตนะครับ หลังจากถอดเทปมา กระผมก็จะขออนุญาตโดยส่วนตัว จะดูว่ามีเรื่องอะไรที่อาจจะให้พระเดชพระคุณเล่าต่อ ก็จะขอนิมนต์รบกวน

พระธรรมปิฎก ก็ขออนุโมทนาด้วย เพราะว่าท่านก็หวังดีต่อส่วนรวม ฉะนั้น เราก็ต้องช่วยกัน

ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ มีประเด็นหนึ่งที่ยังไม่ได้เรียนท่านประธานฯ ตอนที่เราทำแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่านก็เคยได้ช่วยมาก คือในหลักการนั้น สภาพัฒน์ฯ ยังไม่ได้พูดเลยว่า ต้องเอาคนเป็นสำคัญ แต่ในแผนการศึกษาท่านได้กรุณาช่วยให้คำแนะนำ และก็เขียนออกมา ว่าจะต้องสอนให้คนกับศาสนา วิถีชีวิตคนกับคนกับธรรมชาติ อะไรต่างๆ เหล่านี้ก็เขียนได้ดี แต่บังเอิญว่า เอาไปเป็นแผนนำไปสู่การปฏิบัตินี่มันไม่เกิดผลเท่าที่ควร

พระธรรมปิฎก ต้องยอมรับว่ายาก

ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ ยากค่ะ แล้วก็สภาการศึกษากับกระทรวงการศึกษาฯ ก็อยู่คนละหน่วยงาน ก็ต้องเชื่อมประสานที่นำไปสู่ปฏิบัติจริงๆ ที่ท่านประธานฯ พูดคิดว่ายังมีประเด็นที่สำคัญอีกนะที่เราน่าจะโฟกัสลงมานิดหนึ่ง เพราะว่าถ้าจะพูดถึงการส่งเสริมพระพุทธศาสนาในวงกว้าง ก็คิดว่ามันเกินกำลังพวกเรา แต่ถ้าโยงมาถึงการสอนในโรงเรียน

พระธรรมปิฎก ก็ต้องช่วยกัน อาตมาก็ไม่ได้ชำนาญอะไรมาก

(พูดแทรก) เมื่อกี้ กระซิบกับท่านอดีตอธิบดีว่าเรารณรงค์เรื่องยาเสพติดในโรงเรียน รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน แต่ไม่ได้รณรงค์ในเรื่องของศาสนาพุทธเลย เหมือนว่ามันขาดตอนไปเลย

พระธรรมปิฎก เราเอาศาสนามาช่วยแก้ปัญหายาเสพติด ปัญหาความรุนแรงเป็นต้นด้วย เวลานี้ความรุนแรงก็จะเข้ามาสังคมไทย

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ เริ่มเป็นแล้วครับ พวกเราไปรับฟังความคิดเห็นต่างๆ ก็มีพระภิกษุหลายรูปทีเดียว ทำไมละครับพระก็อยู่ ทำไมไม่ให้พระไปช่วยสอนศาสนา ท่านก็ปวารณาว่าจะสอนอาทิตย์ละครั้ง จะมีชั่วโมงสอนให้ท่าน ท่านก็ยินดี

พระธรรมปิฎก ในแง่นี้ก็ต้องเห็นใจทางบ้านเมืองเหมือนกัน เมื่อห่างเหินกันไประยะหนึ่งนี้ ก็ต้องยอมรับฝ่ายพระก็เสื่อมคุณภาพลง ฉะนั้นเวลาจะกลับฟื้นต้องยอมรับความยาก พอจะเอาจริง สมมติจะหาพระมาสอนนี่จะหาได้ไม่พอหรอก พอดีท่านประธานฯ ไปเจอองค์ที่ท่านพร้อมดีอยู่ แต่อีกเยอะแยะนี่ไม่พร้อมเลย

(พูดแทรก) แต่อย่างน้อยดี หนึ่งสองก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

พระธรรมปิฎก ใช่ ต้องเริ่ม คือเริ่มแล้วก็ค่อยๆ สู้ความยากลำบาก แต่อย่าไปหวังผลเลิศรวบรัด คือถ้าไปนึกว่า เออเราเอาแล้ว ไม่เห็นได้เรื่อง อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรู้ความเป็นจริง ขณะนี้ถ้าเราจะเริ่มใหม่ ต้องมีอุปสรรคมากมาย เราสู้ไม่ท้อ ถ้าเตรียมใจไว้อย่างนี้ก็ไปได้

(พูดแทรก) ผมขออนุญาตใส่ประเด็นหนึ่งนะครับ เรื่องวัดในบทบาทของสถานศึกษาซึ่งควรปฏิรูปกลับคืนมา รู้สึกเราไม่มีการพูดกันถึงเรื่องนี้ คือในแง่ของการเป็นสถานศึกษาของเยาวชนซึ่งเดี๋ยวนี้ ได้หายไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าในสภาปฏิรูปฯ ก็ไม่คิดที่จะทำอะไร

พระธรรมปิฎก อ้อ แม้แต่ในเชิงการศึกษาแบบนอกระบบนอกโรงเรียน คือความจริงนะ วัดนี้อย่างน้อยต้องเป็นแหล่งการศึกษานอกโรงเรียนหรือนอกระบบ คือทำหน้าที่ตลอดเวลา เพราะการศึกษาคือชีวิต มันต้องอยู่ในชีวิตเลย เด็กไปวัดได้บรรยากาศ แต่เราก็ต้องสร้างสภาพบรรยากาศในวัดด้วย ให้มันโน้มนำจิตใจไปในคุณงามความดี เวลานี้เรากำลังร่อยหรอและเสื่อมลงไปหมด แม้แต่วัดก็มีอะไรที่ไม่เหมาะ เข้าไปแล้ว จิตใจก็ชักจะไม่โน้มไปในกุศล

(พูดแทรก) ขอประเด็นหนึ่งนะครับ ตอนนี้ทุกเขตพื้นที่การศึกษาเขาจะจัดให้มีสถานศึกษาอันหนึ่ง เป็นสถานศึกษาที่สอนนอกระบบ ถ้าหากว่าจะสามารถเชื่อมการสอนของพุทธเอาไว้ตรงนี้ได้นะครับ ซึ่งก็แน่นอน คงไม่กีดกัน แต่ว่าอย่างน้อยในเมื่อคนพุทธเป็นคนส่วนใหญ่ เราก็เอาตรงนี้ เผยแพร่ผ่านรายการวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ ทำเป็นระบบได้ ก็จะเป็นประโยชน์

พระธรรมปิฎก เจริญพร

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< -๑- ทำไมกิจการพุทธศาสนา จึงควรตั้งเป็นองค์กรอิสระคำนำ >>

No Comments

Comments are closed.