จากการศึกษาจัดตั้ง สู่การพึ่งตนได้ในการเรียนรู้

29 พฤศจิกายน 2544
เป็นตอนที่ 8 จาก 20 ตอนของ

จากการศึกษาจัดตั้ง สู่การพึ่งตนได้ในการเรียนรู้

เมื่อพูดเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงการศึกษาแบบ child-centered ที่แปลกันว่า “มีเด็กเป็นศูนย์กลาง” นี่ก็เป็นปัญหาในเรื่องความเข้าใจ ถ้าไม่ศึกษาให้ชัด ดูแค่ตัวถ้อยคำแล้วตีความเอาเอง บางทีก็มองความหมายพลาดเพี้ยนไปหมด บางคนถึงขนาดเข้าใจว่า child-centered เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง คือเอาใจเด็ก หรือตามใจเด็ก ก็เลยเถิดไปเสีย

ว่าอย่างย่นย่อ การเอาเด็กเป็นศูนย์กลางนั้น คือ เราใช้การจัดตั้งในห้องเรียน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก เป็นสื่อกระตุ้นให้เกิดคุณสมบัติที่ต้องการ ซึ่งเป็นปัจจัยภายใน ขึ้นในตัวเด็ก เหมือนกับว่าเราพาเขามาเข้าทาง ให้เขามีจุดตั้งต้นที่จะสามารถก้าวต่อไปด้วยตนเอง เช่น การเรียนให้สนุก-มีความสุขในการเรียน ก็คือเราใช้ความสุขจัดตั้ง เป็นสื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดมีความสนใจแล้วก็ใฝ่รู้ ที่จะนำไปสู่การเรียนอย่างมีความสุขด้วยตนเอง

ถ้าให้เด็กศึกษาอย่างถูกต้อง จิตใจของเขาก็จะพัฒนาความใฝ่รู้และความปรารถนาจะฝึกฝนตนเองขึ้นมา จากนั้น คุณสมบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องหรือเกื้อหนุนกันก็จะเกิดตามมาด้วย เช่น ความเข้มแข็ง การรู้จักควบคุมตนเอง ความมีวินัย สติ สมาธิ และความสุข เป็นต้น แต่ถ้ามัวตามใจเด็กอยู่ ครูและโรงเรียนก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของปัจจัยภายนอก แต่อาจจะกลายเป็นเครื่องบำเรอไป และเด็กก็ไม่ได้ฝึกตน ไม่มีการพัฒนา

แล้วที่ร้ายที่สุดก็คือ เด็กมิใช่จะอยู่ในห้องเรียนที่ครูทำความสุขแบบจัดตั้งให้ตลอดไป แต่เขาจะต้องไปอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่มันไม่ตามใจเราและไม่จัดตั้งความสุขให้ เด็กที่โตขึ้นแบบนี้ ก็จะอยู่ในโลกแห่งความฝืนใจ และจะมีแต่ความยากลำบากและความทุกข์เรื่อยไป

เป็นอันว่า การจัดการเรียนให้สนุก-มีความสุขในการเรียน ที่เป็นการจัดตั้งความสุขนั้น เป็นวิธีการในการเอาปัจจัยภายนอกมากระตุ้นให้เกิดปัจจัยภายในขึ้นในตัวเด็ก เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย คือการที่เด็กจะเรียนอย่างเป็นสุขด้วยตนเองต่อไป โดยที่เขาจะไปศึกษาค้นคว้าหาความรู้อย่างมีความสุขเรื่อยไป มิใช่จะต้องมาคอยพึ่งพาอาศัยครู ต้องรอให้มีครูมาอยู่มานำ เฝ้าแต่รอว่าเมื่อไรจะถึงชั่วโมงนี้สักที จะได้เรียนสนุกอย่างเป็นสุข ซึ่งก็ดีในขั้นต้นก่อนถึงจุดหมาย แต่ถ้าไม่ก้าวต่อไปให้ถึงขั้นที่ว่าแม้จะไม่มีใครมาช่วยมาชักพา เขาก็ริเริ่มและเรียนเองอย่างมีความสุขได้ ถ้าไม่ไปให้ถึงจุดนั้น ก็จบกัน ตัวเด็กเองจะต้องก้าวไปมีความสุขด้วยตัวเองในการเรียน นั่นคือที่หมาย

กรรมการมูลนิธิฯ

พอท่านเจ้าคุณอาจารย์พูดอย่างนี้ เหมือนกับว่าเราต้องสร้างเด็กที่มีความใฝ่รู้ในทุกๆ ด้านอยู่ตลอดเวลา คือเห็นอะไรก็สามารถคิดได้ มันน่าจะต่อไปถึง อิทธิบาท ๔ ถูกต้องไหมเจ้าคะ

พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)

อ๋อ… ถ้าเข้าทางแล้ว มันจะเป็นไปของมันเอง เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่จะทำหน้าที่ของมัน เริ่มแรกคือให้เขามีความใฝ่รู้ขึ้นมาก่อน เมื่อเขามีเป้าหมายของเขาเอง คือเขาต้องการรู้เรื่องอะไร เขาก็อยากค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องนั้น แล้วเขาก็มีความสุขในการเรียนรู้ของเขาเอง

เมื่อกระตุ้นปัจจัยภายในของเด็กขึ้นมาได้แล้ว เขาก็สามารถพึ่งตนเองได้ในการเรียนรู้ การศึกษาต้องเป็นกระบวนการที่ทำให้คนมีความสามารถในตัวของเขาเอง อย่างที่บอกแล้วว่า การที่ครูมาช่วยก็คือเป็นปัจจัยภายนอก ซึ่งมาช่วยนำเขาเข้าสู่ทางเดินที่ถูกต้อง แต่เวลาเดิน เขาต้องเดินเอง ไม่ใช่จะให้ครูอุ้มครูแบกอยู่ตลอดเวลา หรือครูจะจูงอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ ชีวิตจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น

ชีวิตจริงไม่ใช่อยู่ในห้องเรียน แต่ห้องเรียนต้องนำเด็กเข้าสู่ชีวิตจริง คือสามารถจัดทำดำเนินการให้เด็กเข้าสู่ชีวิตจริงได้อย่างงดงาม นี่คือ ให้การศึกษาจัดตั้งมานำเด็กเข้าสู่การศึกษาที่แท้จริง

ชีวิตของเด็กเป็นของตัวเขาเอง ไม่ใช่คนอื่นมาทำให้ คนอื่นทำได้แค่มาเป็นปัจจัยหนุนนำ จึงต้องให้เด็กมีความสามารถ มีความเข้มแข็ง เริ่มด้วยมีความใฝ่รู้ อยากจะเรียนอยากจะฝึกฝนตนเอง อยากจะทำอะไรๆ ให้มันดี ให้มันงาม ให้มันสำเร็จ ให้มันสมบูรณ์ ถ้าคุณสมบัติตัวนี้ (คือ ฉันทะ) เกิดขึ้นมาแล้ว ความยากก็กลายเป็นความง่าย หรือเป็นภาวะที่ท้าทายความสามารถที่จะทำให้สำเร็จ หรือไม่ก็เป็นตัวเร้าความสนใจที่จะมาฝึกตนในการทำแบบฝึกหัด นี่ก็คือเขาเต็มใจจะทำ เมื่อเต็มใจแล้ว ความยากก็ไม่มีความหมายในทางลบ คือไม่เป็นเรื่องฝืนใจ แต่กลับมีความหมายในทางบวก บอกว่า ยิ่งยาก ก็ยิ่งได้ฝึกตนมาก ใจสู้ ใจพร้อม เต็มใจ แล้วก็ตามมาด้วยสุขใจ

ในกรณีนี้ บทบาทของครูอยู่ที่สามารถพลิกความฝืนใจให้เป็นความเต็มใจ ถ้าครูไหนทำได้ ก็เก่ง ไม่ใช่มัวแต่คิดจะตามใจเด็กกลัวเด็กฝืนใจ แต่ครูต้องปลุกจิตสำนึกในการศึกษา คือจิตสำนึกในการฝึกตนของเด็กขึ้นมาให้ความรู้สึกฝืนกลายเป็นความคิดที่จะฝึก

ดูกันตั้งแต่ในครอบครัว ถ้าพ่อแม่เห็นเด็กจะทำอะไรที่ยาก แล้วกลัวเด็กจะลำบาก กลัวเด็กจะฝืนใจ ไม่รู้จักวิธีพลิกผัน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทาง เด็กจะไม่พัฒนา แต่กลายเป็นถูกขัดขวางการพัฒนา ต้องเข้าใจว่า ที่เราทำนี้ไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นการเปลี่ยนหรือปลูกทัศนคติในทางบวก และสร้างคุณสมบัติที่ดีขึ้นมาในจิตใจของเขา

ดังได้บอกแล้ว สังคมตะวันตกในยุคที่ผ่านมา เป็นสังคมของคนที่มุ่งมั่นจะเอาชนะความยาก หรือใฝ่รู้-สู้ยาก เขาเลี้ยงดูกันมาแบบนั้น ให้เด็กมองอะไรต่างๆ เป็นสิ่งท้าทาย คิดมุ่งมั่นที่จะเอาชนะความยาก ก็เลยทำให้เข้มแข็งขยันหมั่นอุตสาหะ ดังเห็นได้ชัดในคำว่า “อุตสาหกรรม” (industry = ความขยันหมั่นมุ่ง หรือความมุ่งมั่นบากบั่น) ฝรั่งไม่ได้อ่อนแออย่างพวกที่รอเสพรอบริโภคหรอก แต่เขาเป็นนักบุกฝ่า และเป็นนักผลิตที่เข้มแข็ง (อาจจะเลยไปเป็นเหี้ยมโหดเสียด้วยซ้ำ)

สังคมของเราที่ว่านิยมตามฝรั่งนั้น เราไม่ได้ตามในขั้นถึงเนื้อถึงตัวของเขาอย่างที่ว่านี้ คือ ในขั้นเนื้อหาสาระ เรายังตามเขาไม่ได้ เราไม่ชอบตามในการทำเหตุ แต่ชอบตามในการเสพผล คนที่ชอบเสพผลนั้น ย่อมไม่อยากทำอะไร จึงต้องเจอความฝืนใจอยู่เรื่อย ฉะนั้นถ้ามัวกลัวจะฝืนใจกันอยู่ ก็แหมะอยู่นี่ไม่ต้องก้าวไปไหนแล้ว

เรื่องก็อยู่ที่การปรับเปลี่ยนท่าทีของจิตใจเท่านั้นเอง ซึ่งสัมพันธ์กับสังคมในเรื่องค่านิยม ถ้าสามารถทำให้เด็กๆ เกิดค่านิยมชอบเอาชนะความยากขึ้นมา พอเขาเกิดความพอใจขึ้นมาแล้ว ความฝืนใจที่จะทำ ก็เปลี่ยนเป็นความเต็มใจที่จะทำ แล้วอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด เพราะฉะนั้น การศึกษาต้องทำงานนี้ คือเปลี่ยนท่าทีฝืนใจต่อเรื่องที่ยาก ให้เกิดเป็นความพอใจในการที่จะฝึกสร้างความสำเร็จ การศึกษาทำงานนี้ได้ ด้วยการบูรณาการธรรมที่ตรงเป้าเข้าไปในชีวิตของเด็ก ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเขา คือพัฒนาจิตใจให้เปลี่ยนท่าทีทัศนคติใหม่

การศึกษาต้องทำงานนี้ จึงจะชื่อว่าทำหน้าที่ ไม่ใช่มัวไปรอตามใจคน ถ้าอย่างนั้น การศึกษาก็เป็น passive คือไม่ได้ทำอะไร ก็ไม่มีความหมาย ที่จริงคือไม่เป็นการศึกษา แต่เรียกโดยสำนวนว่าเป็นการศึกษาที่ล้มเหลว และก็จะพาให้สังคมล้มเหลวด้วย

ที่พูดไปแล้วนี้ เป็นเรื่องของการเอาความฝืนใจไปโยงกับความยาก ซึ่งเป็นคนละเรื่อง มันยากและฝืนสำหรับคนที่ใจไม่เอา ไม่สู้ แต่ถ้าใจพร้อมใจสู้ใจเอาแล้ว มันไม่ฝืนใจ แต่กลับเป็นเรื่องที่ท้าทายและเต็มใจ ถ้าจะเอาอย่างฝรั่ง ก็ต้องเอาแนวนี้ ไม่ใช่ว่าแม้แต่จะตามฝรั่ง ก็ตามไม่ถูก

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ยิ่งยาก ยิ่งอยากทำตามใจ เพื่อให้ลูกไปอยู่ในโลกแห่งความฝืนใจ >>

No Comments

Comments are closed.