บูรณาการในทุกขอบเขตของการศึกษา

27 พฤศจิกายน 2530
เป็นตอนที่ 12 จาก 15 ตอนของ

บูรณาการในทุกขอบเขตของการศึกษา

ต่อไปข้อที่ ๒ คือ ตัวอย่างของพัฒนาการในแต่ละขนาด หรือขอบเขตย่อยภายในองค์รวม อย่างที่บอกเมื่อกี้แล้วว่า ในองค์รวมใหญ่ก็มีองค์รวมย่อยๆ เช่น ในระบบชีวิตของมนุษย์ก็มีระบบย่อย เช่น ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบสูบฉีดโลหิต เป็นต้น ซึ่งแต่ละระบบต้องการบูรณาการทั้งสิ้น ทีนี้ในบูรณาการนั้น จะต้องประมวลองค์ประกอบที่สัมพันธ์อิงอาศัยกัน เข้ามาประสานอย่างครบถ้วน ให้เกิดความกลมกลืนหรือสมดุล จึงจะเป็นองค์รวมที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น การบูรณาการ แม้แต่ในขอบเขตย่อยๆ ทุกขนาด จะต้องจับให้ได้ว่า มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่จะต้องถูกนำมาบูรณาการเข้าด้วยกัน และองค์ประกอบเหล่านี้ก็จะต้องเชื่อมโยงกันอยู่ในครอบคลุมทั้งหมดนั้น แล้วจึงจะเกิดความสมบูรณ์ในตัว เช่นเป็นระบบหายใจที่สมบูรณ์ เป็นระบบทางเดินอาหารที่สมบูรณ์ เป็นระบบประสาทที่สมบูรณ์ แล้วจึงจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ทีนี้มาพูดในแง่ของการศึกษา ขอโยงเข้าหาพระพุทธศาสนา เป็นที่รู้กันอยู่ว่า พระพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งการศึกษา เป็นระบบการฝึกฝนอบรมคน ระบบการฝึกฝนอบรมคนก็คือการศึกษา พระพุทธศาสนาเรียกระบบการศึกษาอบรมนี้ว่า สิกขา สิกขาก็คือ การศึกษานั่นเอง การศึกษานั้น ก็คือการสร้างพัฒนาการ การฝึกฝนอบรมคน ก็คือการสร้างพัฒนาการ เหมือนอย่างที่บอกเมื่อกี้นี้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกอบรมตนแล้วนั้น คืออย่างไร แล้วท่านก็ตอบว่า คือ เป็นผู้พัฒนาตนแล้วทั้ง ๔ ด้าน เพราะฉะนั้น การฝึกฝนอบรมก็ดี การศึกษาก็ดี พัฒนาการก็ดี ในความหมายคร่าวๆ แล้ว เป็นอันเดียวกันทั้งหมด ดังที่จะแปล สิกขา หรือ ศึกษา ว่า การฝึกฝนพัฒนา

ทีนี้ขอให้สังเกตว่า ธรรมในพระพุทธศาสนานี้ ท่านตรัสไว้เป็นหมวดๆ ทุกท่านที่เรียนเรื่องพระพุทธศาสนา ได้ยินได้ฟังเรื่องพระพุทธศาสนา จะเห็นว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนจะมาเป็นหมวดๆ แทบทั้งนั้น เป็นหมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ หมวด ๖ หมวด ๗ เช่น รัตนะ ๓ สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา อิทธิบาท ๔ ความเพียร ๔ สติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ บารมี ๑๐ ฯลฯ

ประการแรก การที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการศึกษา นั่นก็คือหลักแห่งพัฒนาการ ประการที่สอง การที่ท่านตรัสธรรมเป็นหมวดๆ นี่ก็คือเรื่องของบูรณาการ

พระพุทธเจ้าตรัสธรรมเป็นหมวดๆ ก็เพราะเรื่องบูรณาการนี่แหละ หมายความว่า ธรรมที่ท่านจัดเป็นกลุ่มๆ เป็นหมวดๆ นั้น แต่ละกลุ่มแต่ละหมวดจะต้องประสานกลมกลืนเข้าเป็นชุดเดียว ถ้าปฏิบัติไม่ครบชุด ก็จะเกิดข้อบกพร่องเป็นปัญหาขึ้นมา และอาจเกิดโทษด้วย เพราะฉะนั้น ธรรมอะไร ถ้าท่านตรัสไว้ ๔ ข้อ เราจะต้องระลึกไว้ก่อนว่า จะต้องปฏิบัติให้ครบทั้ง ๔ ข้อ ถ้าไม่ครบจะมีปัญหา ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น พรหมวิหาร ๔ บางทีเราเอามาแยกพูดเป็นเมตตา แล้วเราก็จะปฏิบัติบำเพ็ญเมตตา เรานึกไหมว่า ถ้าปฏิบัติไม่ครบหลักบูรณาการ ๔ องค์แล้วจะเกิดปัญหาขึ้น เกิดปัญหาแน่ เช่น ถ้าเมตตามากไป อาจจะกลายเป็นลำเอียง อาจจะทำให้เสียความยุติธรรม เป็นต้น ซึ่งท่านเตือนไว้แล้วทีเดียว พูดสั้นๆ พรหมวิหาร ๔ เป็นหลักธรรมเพื่อให้เป็นคนระดับพรหม หรือเป็นคนที่มีจิตใจประเสริฐ คนใจประเสริฐนั้นจะต้องมี

  1. เมตตา ความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ต้องการให้เขาเป็นสุข
  2. กรุณา ความคิดช่วยเหลือ อยากให้เขาพ้นทุกข์
  3. มุทิตา ความยินดี พลอยยินดีด้วยเมื่อผู้อื่นได้ดี ประสบความสำเร็จ
  4. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง เมื่อรู้ว่าเขารับผิดชอบตนเองได้ หรือสมควรจะต้องรับผิดชอบตนเอง

ข้อที่ ๑ ต่อทุกคนที่เป็นเพื่อนมนุษย์ หรือเป็นเพื่อนสัตว์ร่วมโลก ซึ่งอยู่กันตามปกติ เรามีเมตตาปรารถนาดี ต้องการให้เขาเป็นสุข ข้อที่ ๒ ต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก เรามีกรุณา ต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ข้อที่ ๓ ต่อผู้ที่ทำอะไรได้ดีมีความสำเร็จ เจริญก้าวหน้า เรามีมุทิตายินดีด้วยและส่งเสริม แต่การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยกรุณา และส่งเสริมผู้อื่นด้วยมุทิตา ในบางกรณีอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ เช่น ทำความชั่วมีความผิดควรได้รับโทษ แต่เราไปช่วยเหลือให้เขาพ้นจากความผิดด้วยความกรุณา หรือคนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ผิดธรรม ในสิ่งที่เป็นโทษต่อสังคม เราไปส่งเสริมด้วยมุทิตา อย่างนี้จะต้องเกิดผลเสียหายแน่ ในกรณีเช่นนี้ท่านให้มีอุเบกขา เป็นข้อที่ ๔ อุเบกขา เป็นตัวที่รักษาไม่ให้ผิดธรรม ถ้าการปฏิบัติอันใดใน ๓ ข้อต้นจะผิดธรรม ก็ต้องมีอุเบกขา

ธรรมสามข้อแรกรักษาคน ช่วยคน สนับสนุนคน แต่ข้อสุดท้ายคืออุเบกขารักษาธรรมไว้ หลักมีอยู่ว่า ถ้าคนจะทำให้ธรรมเสีย ก็ต้องรักษาธรรมไว้ เพราะฉะนั้น อุเบกขาจึงต้องมีไว้เพื่อรักษาธรรม ซึ่งจะรักษาหมู่ชนทั้งหมด หรือรักษาบุคคลนั้นเองในระยะยาว

รวมความว่า ทั้งสี่ข้อนี้จะต้องปฏิบัติให้ถูกบุคคล ถูกกรณี แม้แต่บุคคลผู้เดียว ก็ต้องปฏิบัติให้เหมาะ ให้ถูกเรื่อง ถูกที่ว่า คราวไหนควรใช้เมตตา คราวไหนใช้กรุณา คราวไหนใช้มุทิตา คราวไหนใช้อุเบกขา เช่น พ่อแม่ต้องปฏิบัติต่อลูกให้ได้สมดุล ระหว่างธรรมทั้งสี่ ถ้าปฏิบัติไม่ครบองค์ ๔ ก็ไม่บูรณาการ เมื่อไม่บูรณาการก็เกิดโทษ เช่น พ่อแม่แสดงแต่เมตตา กรุณาและมุทิตา ไม่ใช้อุเบกขา ไม่หัดให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาทำอะไรๆ ด้วยตัวเองบ้าง เอาแต่โอ๋ ทำให้ ทำแทนไปหมด เด็กเลยไม่รู้จักโต ไม่รู้จักรับผิดชอบตนเอง ทำอะไรเองไม่เป็น การขาดบูรณาการในการปฏิบัติธรรมของพ่อแม่ เลยทำให้ลูกไม่มีพัฒนาการที่ถูกต้อง นี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ

ในพระพุทธศาสนา จะมีการเน้นเรื่องอย่างนี้เสมอ เช่น การปฏิบัติในหลักที่เรียกว่าอินทรีย์ ๕ ท่านบอกว่า จะต้องมี “สมตา” สมตาก็คือ ความสมดุล หมายความว่า จะต้องมีความสมดุล เช่นว่า มีศรัทธามากไปก็ไม่ได้ ต้องมีปัญญาคุมให้สมดุล มีปัญญาแรงเกินไปก็ไม่ได้ ปัญญาในระดับที่ยังไม่สูงสุด อาจจะพลาด ต้องมีศรัทธาคุมให้มีสมดุล มีวิริยะ คือความเพียรมากไปก็ไม่ได้ ต้องมีสมาธิคุม สมาธิมากเกินไปก็ขี้เกียจ ต้องมีวิริยะคุม แล้วสุดท้ายต้องมีสติคุมทุกอัน นี่ก็เรียกว่าบูรณาการเหมือนกัน เป็นระบบๆ ธรรมแต่ละหมวด เป็นระบบบูรณาการทั้งนั้น จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมีให้ครบ ๑๐ ถ้าไม่ครบ ๑๐ ก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็ระบบบูรณาการ

ระบบปฏิบัติในพุทธศาสนา หรือระบบการศึกษาอบรมทั้งหมด ก็คือสิกขา ๓ ในการปฏิบัติสิกขา ๓ ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาครบ ถ้าไม่ครบก็ไม่สำเร็จ ไม่บรรลุจุดหมายของพระพุทธศาสนา ศีลก็เป็นตัวหนุน ช่วยให้ใจพร้อมที่จะเจริญสมาธิ สมาธิก็มาช่วยให้รักษาศีลได้หนักแน่นจริงจังมากขึ้น สมาธิเป็นฐานให้แก่ปัญญา ทำให้มีความคิดจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่ กำหนดแน่วอยู่กับสิ่งใด ก็คิดสิ่งนั้นได้ชัด มองเห็นจะแจ้งขึ้น ช่วยให้ปัญญาแก่กล้า ปัญญาดีขึ้นก็ช่วยให้ทำจิตใจได้ดีขึ้น รู้จักว่าควรจะปฏิบัติต่อจิตใจในด้านสมาธิอย่างไรจึงจะได้ผลดี และย้อนมาช่วยให้การรักษาศีลพัฒนาไปถูกทาง ไม่งมงายเป็นต้น สิกขาทั้ง ๓ นี้ ก็บูรณาการกันอยู่ตลอดเวลา แล้วจึงจะเกิดผลที่สมบูรณ์

หมวดธรรมต่างๆ ที่เป็นระบบบูรณาการในขอบเขตที่ครอบคลุม ควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษ หมวดธรรมประเภทนี้มีอีกมาก เช่น อริยสัจ ๔ หลักปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ ภาวนาหรือพัฒนาการ ๔ ด้าน ที่กล่าวแล้ว เป็นต้น

ระบบที่ชัดเจนที่สุดก็คือมรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นระบบบูรณาการใหญ่อันหนึ่งของพระพุทธศาสนา เพราะข้อปฏิบัติทั้งหมดของพุทธศาสนาเรารวมเรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ นี้ต้องพรั่งพร้อมถึงที่แล้วเกิดเป็นธรรมสามัคคี ถ้าพรั่งพร้อมถึงที่ ได้สัดส่วนพอดี ประสานกลมกลืนกัน เกิดเป็นธรรมสามัคคีเมื่อใด ก็บรรลุมรรคผลเมื่อนั้น แต่ถ้ามรรคมีองค์ ๘ ไม่ได้สัดส่วนพอดี ไม่ครบ ไม่เกิดเป็นธรรมสามัคคี ก็ไม่บรรลุมรรคผล ตรัสรู้ไม่ได้ เป็นอริยบุคคลไม่ได้

เพราะฉะนั้น คำว่าธรรมสามัคคีนั่นเอง เป็นชื่อเก่าอย่างหนึ่งของบูรณาการในปัจจุบัน ปัจจุบันเรามาพบคำฝรั่งว่า integration เราก็พยายามคิดบัญญัติศัพท์ขึ้น integration นี่จะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดีนะ แล้วก็ไปค้นหา ในที่สุดก็สร้างศัพท์ขึ้นมาว่าบูรณาการ แต่ค้นไปค้นมาก็คือธรรมสามัคคีนี่เอง มีอยู่แล้ว ท่านใช้มาตั้งนาน ธรรมสามัคคี คือ ความพรั่งพร้อมขององค์ประกอบต่างๆ ที่เรียกว่า ธรรมทั้งหลาย ซึ่งประสานกลมกลืนได้สัดส่วนกัน ทำให้เกิดความสมดุลพอดี เป็นอันว่า หลักสมดุลพอดีได้ที่ คือบูรณาการนี้ ในทางปฏิบัติ ก็คือ ระบบของมรรค มรรคที่สมบูรณ์ก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ที่เราเรียกว่า ทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทาก็คือ ข้อปฏิบัติที่สมดุลพอดีได้ที่ มัชฌิมา แปลว่า ท่ามกลาง หมายถึงพอดีได้ที่ พอดีได้ที่ก็คือสมดุล สมดุลก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ตกลงว่า หลักพุทธศาสนานี้เป็นเรื่องของบูรณาการทั้งหมด

คำต่างๆ ว่า สมตา ธรรมสามัคคี มัชฌิมา ล้วนแต่เป็นเรื่องของบูรณาการที่เข้าสู่หลักสมดุลทั้งนั้น ฉะนั้น ปฏิบัติการในระบบบูรณาการ หรือ integration ก็คือความหมายหนึ่งของมัชฌิมาปฏิปทานั่นเอง ตกลงพูดไปพูดมาก็เข้าสู่ทางสายกลางแบบเดียวกับปาฐกถาครั้งที่แล้ว ซึ่งเอาไปเข้าชุดและตั้งเป็นชื่อรวมว่า ทางสายกลางของการศึกษาไทย พูดไปพูดมาครั้งนี้ก็มาลงที่ทางสายกลางอีกเหมือนเก่า

เป็นอันว่า ถ้าเราสร้างบูรณาการได้อย่างในระบบการศึกษาที่เรียกว่าพุทธศาสนานี้ ก็จะเกิดการบรรลุมรรคผล ตรัสรู้เป็นอริยบุคคล จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เกิดเป็นสภาวะใหม่ซึ่งมีคุณสมบัติใหม่ ต่างไปจากเดิม มีบุคลิกภาพ มีความรู้สึกนึกคิดใหม่ ตลอดจนมีท่าทีการมองสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนไป ไม่เหมือนปุถุชน อย่างที่ท่านเปรียบว่า เหมือนคนพอโตกลายเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่นึกติดใคร่ผูกพันกับของเด็กเล่น ที่เด็กๆ เอาจริงเอาจังจะเป็นจะตาย นี่ก็เป็นไปตามหลักของบูรณาการในพัฒนาการ โดยเกิดสมดุล ที่ทำให้มีภาวะและคุณสมบัติใหม่

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< สาระของเสรีภาพองค์สามที่การศึกษาจะต้องบูรณาการ >>

No Comments

Comments are closed.