คราวนี้ ขอสี่ข้อ

29 พฤศจิกายน 2544
เป็นตอนที่ 13 จาก 20 ตอนของ

คราวนี้ ขอสี่ข้อ

กรรมการมูลนิธิ

การสัมมนาครั้งนี้ กรอบความคิดที่เขาจะนำมาใช้ จะมีองค์ประกอบอยู่ ๔ ประการ คือ ๑. เกิดความมุ่งมั่นด้วยศรัทธา ๒. ใฝ่หาความรู้ คู่คุณธรรม ๓. นำความรู้ไปใช้อย่างฉลาด ๔. ไม่ประมาท ตรวจสอบ พัฒนา อยากทราบแนวทางที่จะ ดำเนินการให้ไปถึงจุดนี้

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

เริ่มต้นด้วย ข้อ ๑. ศรัทธา เป็นแรงใจที่ผูกไว้กับปัจจัยภายนอก ศรัทธาเป็นคุณสมบัติในขั้นที่พึ่งพาอาศัยปัจจัยภายนอก หรือขึ้นต่ออิทธิพลของปัจจัยภายนอกนั้น เมื่อครูมีศรัทธาในความเป็นครู ในภารกิจของอาชีพ และในหลักวิชาของครู ตัวครูเองก็มีแรงใจในการทำหน้าที่ แล้วครูก็เป็นกัลยาณมิตร และเป็นสื่อหลักที่จะสร้างศรัทธาขึ้นมาในตัวเด็ก ถ้าครูมีความรู้ มีสติปัญญาดี มีความสามารถและดำเนินชีวิตดี ถูกต้อง น่าเคารพ มีเมตตาต่อศิษย์ หวังดีต่อเด็กด้วยใจจริง และสอนได้ผลดี เด็กก็เกิดศรัทธา

เมื่อมีศรัทธาขึ้นมาแล้ว สิ่งหรือบุคคลซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา ก็จะเชื่อมโยงหรือแม้แต่จูงผู้ศรัทธาไปหาไปทำอะไรๆ ได้มากมาย หรือแม้แต่ทุกอย่างสุดแต่ศรัทธาจะแรงเท่าใด ถ้าเด็กศรัทธาในตัวครู พอศรัทธาในครูแล้ว ครูจะไปแนะไปบอกอะไร เด็กก็เชื่อก็ทำตาม อะไรๆ ก็เลยง่ายไปหมด ครูก็จะนำให้เด็กศรัทธาในคุณงามความดี ศรัทธาในศาสนา ในวัฒนธรรม ศรัทธาในการทำความดีสร้างสรรค์สังคม ตลอดจนมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งต่างๆ ศรัทธาช่วยได้หมด ศรัทธาเป็นจุดรวมพลัง เป็นจุดเริ่มต้น และเป็นแรงส่งสู่จุดหมาย ต้องทำให้ได้ทั้งให้ครูมีศรัทธาในงานของครู และให้เด็กมีศรัทธาในครู ซึ่งจะทำให้ครูสามารถทำหน้าที่เป็นปัจจัยภายนอกที่ดีที่สุด

ข้อ ๒. ใฝ่หาความรู้ คู่คุณธรรม พอครูมีศรัทธาและสร้างศรัทธาได้ จิตใจก็โน้มไปแล้วที่จะมีความใฝ่รู้ ถ้าครูมีศรัทธาในวิชาและอาชีพครู ก็จะเกิดแรงความอยากจะรู้และทำหน้าที่ครูให้ดีที่สุด อยากจะสอนให้เด็กดีอย่างเยี่ยมยอด ซึ่งก็จะนำไปเองสู่การค้นคว้าหาความรู้ที่จะมาสนองความปรารถนาที่เป็นกุศลนั้น และศรัทธานั้นก็จะทำให้เกิดแรงมุ่งมั่นที่จะเป็นครูที่ดี ซึ่งพาเอาคุณธรรมพ่วงมาด้วยเอง

เมื่อครูเป็นครูที่ดีมีศรัทธาอย่างที่ว่านั้น ก็โน้มใจเด็กให้ศรัทธาในตัวครูขึ้นมาอย่างแทบจะเป็นไปเองเลย ทีนี้ครูก็คำนึงอยู่เสมอ โดยมีความตระหนักว่า ตัวครูนี้เป็นปัจจัยภายนอก จุดหมายของงานไม่ใช่จบที่เราที่เป็นปัจจัยภายนอก แต่เราจะต้องกระตุ้นให้ปัจจัยภายในคือคุณสมบัติในตัวเด็กเกิดขึ้น ครูก็ใช้ความเป็นปัจจัยภายนอกนั้น โยงไปเชื่อมกับแรงศรัทธาต่อครูที่มีอยู่ในตัวเด็ก ก็กระตุ้นเร้าให้เด็กเกิดความใฝ่รู้ขึ้นในตัวเขาเอง เมื่อศรัทธาในอะไร เช่น มั่นใจว่าอันนั้นสิ่งนั้นเรื่องนั้น จริงแท้ ดีแน่ เป็นประโยชน์ ก็มุ่งแน่วไปในการค้นคว้าศึกษาอันนั้นเพื่อจะทำให้ปรากฏผลสมจริง ความใฝ่รู้ก็นำไปสู่การกระทำที่สร้างสรรค์

พร้อมกันนั้น ด้วยศรัทธาที่เชื่อมใจถึงกัน ก็ชักนำคุณธรรมเข้าไปในตัวเด็กด้วย เป็นแรงดูดดึงดังแม่เหล็กให้เด็กพลอยอยากประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม ตลอดจนมีทัศนคติที่พึงปรารถนา นี่คือโยงจากปัจจัยภายนอกเข้าไปเหนี่ยวนำปัจจัยภายในได้สำเร็จ

ข้อ ๓. นำความรู้ไปใช้อย่างฉลาด เมื่อเริ่มต้นดีด้วยศรัทธาที่ถูกทางแล้ว กระบวนการก็เคลื่อนคืบหน้าไปได้ไม่ยาก เพราะแทบจะเป็นไปเอง แต่ตอนนี้คุณสมบัติตัวสำคัญจะต้องเข้ามา นี้ก็คือขั้นตอนของปัญญา คือศรัทธาต้องส่งต่อมาให้ถึง “ปัญญา” อันได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ และความสามารถในการคิด ทั้งคิดเพื่อเปิดทางที่จะเข้าถึงความรู้ความเข้าใจที่ยิ่งขึ้นไป และคิดเพื่อจะเอาความรู้เข้าใจนั้นไปใช้ไปทำให้เป็นประโยชน์

ตอนนี้เป็นขั้นตอนทั้งของการใช้ปัญญา และการพัฒนาปัญญาให้แตกฉานหยั่งรู้หยั่งเห็นยิ่งขึ้นไป ก็ต้องรู้จักคิด หรือคิดเป็น เพราะคนถึงจะมีความรู้ แต่ถ้าคิดไม่เป็น ความรู้นั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ ส่วนคนที่คิดโดยไม่รู้ ก็เลื่อนลอยเหลวไหล ได้แต่คิดไปตามความรู้สึก ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ว่าไปตามอารมณ์

ตอนนี้ก็มีองค์ประกอบอีกตัวหนึ่ง ที่จะมาเป็นเครื่องมือของปัญญา เรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” ซึ่งจะทำให้คิดอย่างได้ผล ทั้งในแง่ที่จะก้าวไปในการเข้าถึงความจริง และในการทำให้เกิดผลดี มีการสร้างสรรค์หรือก่อประโยชน์ โยนิโสมนสิการนี้ก็เป็นเครื่องมือที่จะพึงพัฒนากันต่อไป

รวมความก็คือว่า ศรัทธาเป็นแรงเรียกระดมเอาความใฝ่รู้มา แล้วก็มุ่งหน้าหาความรู้ พร้อมกับรู้จักคิดให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และคิดที่จะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ไปสร้างสรรค์ ไปแก้ปัญหา ทำกิจกรรม มีการจัดการดำเนินการและทำงานอะไรต่างๆ ประยุกต์ความรู้ความคิดในการปฏิบัติ และใช้งานจริง โดยมีโยนิโสมนสิการ

ข้อ ๔. ไม่ประมาท ตรวจสอบ พัฒนา ข้อนี้คือมุ่งที่จะทำให้ได้ผลจริง ทั้งให้มั่นใจ และจะได้ก้าวเดินหน้าต่อไป จึงต้องมีความไม่ประมาท จะได้ระวังให้งานที่ทำไปนั้นรอบคอบรอบด้าน กันเผลอพร่องและไม่ให้ผิดพลาด ไม่ประมาททั้งในขณะทำการ และทำแล้วก็ไม่ประมาทด้วยการตรวจสอบ จากนั้น เมื่อได้เห็นจุดอ่อนจุดหย่อนจุดพร่อง ก็จัดเข้าในแผน แล้วก็เดินหน้าแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมให้พัฒนาต่อไป มิใช่ว่าพอเห็นว่าสำเร็จ ก็หยุดแค่นั้น

คนที่มีคุณสมบัตินี้ จะคอยตรวจดูจุดอ่อนข้อบกพร่องของตน ไม่มัวแต่ลำพองตัว ไม่มัวเพลิดเพลินมัวเมาในความสำเร็จ หรือมัวกระหยิ่มอยู่ในสิ่งที่ตนทำได้ แต่จะแก้ไขปรับปรุงทำให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

ในเรื่องนี้ องค์ธรรมสำคัญก็คือ

๑) ไม่ประมาท คือ มีสติ ไม่ให้เผลอ ไม่ให้พร่อง ไม่ให้พลาด ไม่ให้ละเลย และไม่ให้เสียโอกาส

๒) วิมังสา ใช้ปัญญาอีกแง่หนึ่ง คือ คอยพิจารณาตรวจสอบ ทดลอง มองแง่มุมหนทางที่จะแก้ไขปรับปรุง สู่ความสมบูรณ์

๓) ไม่สันโดษในกุศลธรรม คือ ไม่อิ่มไม่เต็มไม่รู้จักพอในผลสำเร็จที่ดีงาม หรือความก้าวหน้าไปในกุศล จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ สองข้อก่อนนั้นเป็นขั้นออกสู่ปฏิบัติการ ส่วนข้อนี้ ต้องมีเป็นพื้นใจ เป็นแรงขับให้สองข้อแรกนั้นต้องทำงานอย่างจริงจังเต็มที่

“ความไม่สันโดษในกุศลธรรม” (อสนฺตุฏฺฐิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ) นี้ เป็นหลักธรรมที่สําคัญยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสย้ำไว้ว่าเป็นคุณสมบัติที่ทําให้พระองค์ตรัสรู้ คือความไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอในการพัฒนากุศล คือเพิ่มพูนคุณสมบัติดีๆ สร้างสรรค์ทําสิ่งที่ดีงาม

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างในเหตุผลที่คิดในใจ กับเหตุปัจจัยในความเป็นจริง >>

No Comments

Comments are closed.