- การแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมา คือให้ชาวพุทธรู้จักศาสนาที่ตัวบอกว่านับถือ
- จะจัดจะแก้ไขอะไร ก็ต้องรู้จักสิ่งที่ตัวจะจัดจะแก้ไขนั้น
- การศึกษาที่แท้ ก็คือตรงตามธรรมชาติที่เป็นความจริงของชีวิต
- อุดมศึกษาจะสูงสุดจริง ต้องลงไปถึงบ้านที่เป็นฐานของสังคม
- บูรณาการวิชาเข้ากับชีวิตจริง
- บูรณาการระเบียบสังคมเข้าไปในวิถีชีวิตของคน
- ยิ่งยาก ยิ่งอยากทำ
- จากการศึกษาจัดตั้ง สู่การพึ่งตนได้ในการเรียนรู้
- ตามใจ เพื่อให้ลูกไปอยู่ในโลกแห่งความฝืนใจ
- สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์
- ใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพ
- จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างใน
- คราวนี้ ขอสี่ข้อ
- เหตุผลที่คิดในใจ กับเหตุปัจจัยในความเป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ ให้ตรงกับเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ แล้วไปทำเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- ถ้าว่าทำดีไม่ได้ดี ถึงตรงนี้หายสงสัยเสียที
- จะพัฒนากรรมได้ดี ต้องแยกแยะเหตุปัจจัยที่ซับซ้อนได้
- คิดถึงความเจริญของฝรั่ง ต้องรู้เหตุปัจจัยที่ต่างของเขา
- อนุโมทนา
คิดเหตุผลในใจ แล้วไปทำเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
เวลานี้ชอบเน้นกันนัก บางทีนักการศึกษาก็มาพูดบอกว่า เด็กไทยไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น จะให้เด็กไทยเก่งในการแสดงความคิดเห็น
ในเรื่องนี้ ถ้าเด็กไทยไม่รู้จักหาความรู้ แต่ชอบแสดงความคิดเห็น ระวังให้ดีเถิด จะกลายเป็นการแสดงความคิดเห็นแบบเลื่อนลอย หรือแสดงไปตามความรู้สึก ได้แค่ว่าไปตามที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ คนที่คิดและแสดงความคิดเห็นนั้น ถ้าไม่มีความรู้ เริ่มตั้งแต่ไม่มีข้อมูล และไม่แสวงหาความรู้ ก็แสดงความคิดเห็นไปแค่ตามชอบใจและไม่ชอบใจ แล้วก็จบ ไม่ได้อะไรขึ้นมา นี่คือ ชอบแสดงความคิดเห็น แต่ไม่หาความรู้
เพราะฉะนั้น จะต้องเอาการหาความรู้ มาเข้าคู่กับการรู้จัก คิดและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้
- แสดงความคิดเห็นได้อย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์
- สามารถใช้ความรู้ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์
- เกิดการแสวงหาความรู้และเข้าถึงความรู้ความเข้าใจในความจริงยิ่งขึ้นไป
ที่จริง การแสดงความคิดเห็นนั้น สัมพันธ์กับกระบวนการหาความรู้ และมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการหาความรู้เลยทีเดียว การหาความรู้เป็นทั้งฐาน และเป็นจุดหมายอย่างหนึ่งของการแสดงความคิดเห็น อย่างน้อยจะต้องแสดงความคิดเห็นบนฐานของความรู้ ไม่ใช่แสดงไปอย่างเลื่อนลอย ตามความชอบใจ-ไม่ชอบใจ แล้วแต่อารมณ์พาไป
เรายังไม่ทันจะได้เน้นกระบวนการหาความรู้ ก็กลับข้ามขั้นไปเน้นที่การแสดงความคิดเห็น เด็กจะต้องใฝ่รู้ ต้องเน้นให้มีฉันทะอย่างสูง ต้องมุ่งมั่นในการหาความรู้ แล้วก็มาประสานกับการรู้จักคิด และมีความสามารถในการแสดงความคิดเห็น
ถ้าเด็กไม่มีความใฝ่รู้ ไม่รู้จักที่จะหาความรู้ ไม่เข้าสู่กระบวนการพัฒนาความรู้ ก็พัฒนายาก นั่นก็คือสังคมประเทศชาติไม่พร้อมที่จะพัฒนา
กรรมการมูลนิธิ
ขอกราบเรียนถามว่า พระคุณเจ้าจะมีอุบายแนะนำนักการศึกษาให้เข้าใจความแตกต่างของเหตุผล กับเหตุปัจจัยอย่างไรครับ
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ามาวนเวียนอยู่กับเรื่องเหตุผล เหตุและผล แล้วก็เหตุปัจจัย ไม่รู้จบ เอาละ ลองมาทวนกันดูอีกที
ในโลก ในธรรมชาติทั่วไปทั้งหมด สิ่งทั้งหลายที่เป็นไปกันอยู่ต่างๆ นานานี้ ก็เป็นเรื่องของเหตุและผลนั่นเอง จากเหตุก็ทำให้เกิดผล และผลก็เกิดมาจากเหตุ เราก็พูดสั้นๆ ว่า ความจริงของธรรมชาติ เป็นเรื่องของเหตุและผล
ทีนี้ คนเราเมื่ออยู่ในโลก อยู่ในธรรมชาตินี้ ก็อยู่กับเหตุและผลนั้น และต้องปฏิบัติ ต้องทำอะไรๆ ไปตามเหตุและผลนั้นให้ถูกต้อง คนก็จึงต้องรู้เข้าใจเหตุและผลนั้น ต้องคิดต้องพูดต้องทำให้ถูกต้องสอดคล้องตามเหตุและผลนั้น โดยเฉพาะที่สำคัญอย่างยิ่ง คือสามารถรู้จักคิดโยงจากเหตุไปหาผล จากผลมาหาเหตุ หรือโยงระหว่างเหตุและผลให้ได้ ยิ่งชัดเจนเท่าไรก็ยิ่งดี แล้วก็พูดให้คนอื่นเข้าใจถึงเหตุและผลนั้นได้ด้วย
ความคิดของคน ที่โยงระหว่างเหตุและผลได้นี้ ก็เป็นเหตุผลสมจริง ตามเหตุและผลที่เป็นความจริงของธรรมชาติ ความคิดของคนนั้น เราก็เรียกว่าเป็นเหตุผล
นี่แหละ เหตุผลจึงเป็นความคิดของคน ซึ่งเทียบเคียงกับเหตุและผลตัวจริงในธรรมชาติ และเหตุและผลตัวจริงในธรรมชาติ ก็เป็นตัวตัดสินความถูกต้องของความคิดเหตุผลของคน
ส่วนคำว่า “เหตุปัจจัย” ก็ไม่มีอะไร เป็นเพียงวิธีพูดหรือสำนวน พูดอีกอย่างหนึ่ง ใช้แทนกันได้กับคำว่า “เหตุและผล” คือ ในเหตุและผลนั้น คำว่า “เหตุ” ถ้าจะพูดให้เต็ม ยังมีปัจจัยต่างๆ อีกมากร่วมอยู่ ด้วย ดังนั้น ถ้าจะพูดให้เต็ม จึงควรบอกว่า “เหตุปัจจัยและผล” แต่ถ้าพูดอย่างนั้น ก็ยึดยาดยาวเกินไป ก็เลยตัดเอาแค่ว่า “เหตุปัจจัย” คือละคำว่าผลไว้ในฐานเข้าใจกันหรือรู้กันเอง และในกรณีนี้ ก็เลยไปเน้นด้านเหตุ แล้วก็พูดให้เต็มใจให้พอแก่ใจไปเลยว่า เหตุปัจจัย
เป็นอันว่า ใช้คำว่า “เหตุปัจจัย” แทนและหมายถึงคำว่า “เหตุและผล” นั่นเอง และเมื่อพูดว่า “เหตุปัจจัย” ก็มีแง่ดีอีกอย่างหนึ่งด้วย คือ คำว่า “เหตุและผล” นั้นใกล้กันกับคำว่า “เหตุผล” จะทำให้สับสนกันง่าย พอเราพูดว่าเหตุปัจจัย คำพูดก็ต่างกันชัด ไม่สับสน
ก็จึงทวนที่พูดไว้ข้างต้นอีกทีหนึ่งว่า “เหตุผล” ที่เป็นความคิดในสมองของคน จะต้องให้สมจริงตาม “เหตุปัจจัย” ที่เป็นความจริงในธรรมชาติ
เพราะความไม่รู้จักแยกระหว่าง ๒ อย่าง คือ ระหว่างความคิดเหตุผลในสมองของคน กับเหตุและผลหรือเหตุปัจจัยและผลที่เป็นกระบวนการของความจริงในธรรมชาติ และโยงมาสัมพันธ์กันไม่ได้ชัดเจน ก็ทำให้ติดอยู่แค่เหตุผลในหัวมนุษย์ ซึ่งแม้จะเป็นการพัฒนาทางปัญญาได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไปไม่ถึงตัวความจริง ปัญหาจึงยังคงอยู่ว่า ทำอย่างไรจะโยง ๒ ด้านหรือ ๒ ตอนนี้มาต่อกันให้มันตลอดจนจบไปเลย
ที่แท้นั้น เราต้องการรู้เหตุปัจจัยและผลที่เป็นความจริงในธรรมชาติ ไม่ใช่ต้องการเหตุผลในหัวคน ซึ่งเป็นเพียงตรรกะ บางทีเรารู้สึกว่าเหตุผลในความคิดของเรานี้มันสอดคล้องดูท่าว่าสมจริงดี เราก็เลยเพลินติดอยู่กับความคิดนั่น ไม่ไปต่อ
เพราะฉะนั้น ในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงตรัสบ่อย ไม่ให้เชื่อเพียงเพราะตรรกะ ไม่ให้เชื่อเพียงเพราะสอดคล้องเข้ากันได้กับทฤษฎีของเราที่เราพอใจอยู่แล้ว แต่ต้องไปให้ถึงความจริงในธรรมชาติ ตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่แค่ตามที่เราคิดว่ามันเป็น หรือคิดให้มันเป็น
บอกแล้วว่า เราคิดเหตุผล ก็เพื่อโยงไปถึงความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา ที่เป็นกฎธรรมชาติ คือเรื่องความจริงตามเหตุปัจจัย หรือจะเรียกว่าเหตุและผลก็แล้วแต่ ดังที่ได้ยกตัวอย่างแล้ว ในเรื่องที่ว่า พระพุทธเจ้าเองที่จะตรัสรู้ แม้แต่ในเรื่องนามธรรม ก็ทรงใช้ทั้งการคิดเหตุผล และการหาความรู้เหตุปัจจัยที่แท้จริงในธรรมชาติ หนุนคู่กันไป ให้ ๒ ตอนนี้โยงต่อกันได้ แต่จุดหมายจบลงที่ความจริงตามเหตุปัจจัยหรือเหตุและผลในธรรมชาติ อันนั้นเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่ถูกหรือผิดแค่เหตุผลที่คิดในสมอง
นี้ก็คือต้องให้ชัดว่า เราเอาเหตุผลที่คิด เป็นเครื่องช่วยในกระบวนการหาความรู้ของมนุษย์ ที่จะไปเข้าถึงเหตุปัจจัยและผลในธรรมชาติ ต้องชัดตรงนี้
ฝรั่งก็พัฒนาไปมากในเรื่องการคิดเหตุผล (reasoning) อะไรๆ ก็ต้องมีเหตุผลสมจริง สมเหตุสมผล เป็น rational ซึ่งก็ดีไปขั้นหนึ่ง แต่ต้องระวังว่าจะไปติดกับทฤษฎีอะไรๆ ที่อยู่แค่ในขั้นของการคิดเหตุผล อยู่แค่ reasoning นั้น พอคิดได้เหตุผลดูน่าจะสมจริงดี มันสมเหตุสมผลเข้าที ก็สร้างเป็นทฤษฎีขึ้นมา แล้วก็เชื่อ จนถึงกับยึดมั่น แล้วก็ทำตาม หรือทำให้เป็นไปตามนั้น กลายเป็นทิฐิ แล้วก็กลายเป็นกรอบกั้นกีดขวางตัวเองไม่ให้เข้าถึงความจริงในธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนไว้ ให้ไม่ประมาทในการศึกษา ให้ตรวจสอบความคิดความเชื่อของตัวเอง ไม่ให้ติดในทิฐิ ให้ระวังไว้ ไม่ให้หลง และให้พัฒนาปัญญาให้ถึงความจริงในธรรมดาของมันเอง ให้การคิดเหตุผลหนุนการสืบค้นเหตุปัจจัยจนพบความจริง แล้วก็ทำการมิใช่เพียงตามความคิดเหตุผล แต่ทำตรงเหตุปัจจัยที่รู้อย่างเพียงพอ
No Comments
Comments are closed.