จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างใน

29 พฤศจิกายน 2544
เป็นตอนที่ 12 จาก 20 ตอนของ

จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างใน

กรรมการมูลนิธิ

จุดที่ยากที่มองเห็นอยู่อีกจุดหนึ่ง ก็คือว่า การที่จะสอนให้เด็ก เกิดการใฝ่รู้และมีความรักที่จะเรียนอยู่ตลอดเวลานั้น ตัวครูเองอาจ จะเข้าใจผิดหรือเปล่า แต่ที่มองดู ตัวครูก็มีหลักสูตร หลักสูตรเป็น ตัวกำหนดครู แต่ในการที่จะสอนตามนั้น ครูบางท่านจะรู้จักดัดแปลงหรือจัดในการที่จะทำอย่างไรให้น่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่เอา ตามนั้น และโดยที่ครูเองไม่ได้เป็นผู้อำนวยการให้เกิดการเรียนรู้ ฉะนั้นจุดนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ว่า แม้แต่ตัวครูเองก็ยังไม่ได้เป็นผู้ ใฝ่รู้ หรือมองเห็นว่าจุดนี้น่าจะให้นักเรียนรู้และคิดเองเป็น

พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)

เรื่องนี้มีข้อพิจารณา ๒ ชั้น

๑. ในขั้นพื้นฐาน ตัวครูเองขาดคุณสมบัติ ตัวเองก็ไม่มีความ ใฝ่รู้ แล้วยังขาดทัศนคติในทางการศึกษาอีกด้วย ไม่ค่อยมีความ คิดความมุ่งหมายในการทำหน้าที่ จิตสำนึกในความเป็นครูที่จะ สอนเด็กด้วยความมุ่งมั่นให้ได้ผลดีเลิศ ให้เด็กเป็นเด็กดี ก็มีน้อย

๒. ในขั้นปฏิบัติการ ก็วางเป้าหมายไว้ชั้นเดียว คือ มุ่งแต่ว่า จะสอนอย่างไรให้เด็กสนใจ เช่นที่ว่าให้เรียนอย่างมีความสุข ก็มอง แค่ว่า ให้เด็กสนุก ให้ชั้นเรียนมีบรรยากาศที่เด็กมีความสุข แต่ไม่มี เป้าหมายแท้ที่ซ้อนลึกเข้าไปว่า ทำอย่างไรจะให้เด็กได้ฝึกตน สู่จุด หมายที่ว่า แม้เมื่อพ้นจากครูไปแล้ว ก็จะเรียนอย่างมีความสุขด้วย ตัวเอง ให้มีคุณสมบัตินี้ในตัว โดยไม่ติดจมอยู่แค่ในขั้นพึ่งพาการ จัดตั้งของครู

ถ้าเด็กอยู่แค่ในขั้นมีความสุขแบบจัดตั้งไปเรื่อย ครูก็ได้แต่ สาละวนจัดชั้นเรียนจัดบรรยากาศแล้วก็เหนื่อยในการหาทางทำให้ เด็กสนใจให้สนุก ความสุขก็พึ่งพาครู เป็นความสุขแบบพึ่งพา แล้ว เด็กจะพัฒนาได้อย่างไร ก็อย่างที่บอกแล้วว่า เราใช้การจัดตั้ง การ สร้างบรรยากาศ การเรียนในชั้นอย่างมีความสุข โดยครูมีสื่อการ สอนให้เด็กมีความสุข เรียนได้ผล สนใจ เป็นวิธีการขั้นต้น ซึ่งมี ความมุ่งหมายที่แท้จริงอยู่ที่ว่าจะนำไปสู่การพัฒนาคุณสมบัติใน ตัวเด็กให้เขามีความสนใจใฝ่รู้ อยากเรียนรู้ และมีความสุขในการ เรียนของเขาเอง เมื่อถึงจุดหมายนั้นจึงจะสำเร็จ

ถ้ายังอยู่แค่เรียนเป็นสุขในชั้น ต้องบอกว่านั่นคือความล้ม เหลว เป็นความสำเร็จขั้นเดียวของครู ที่ไปไม่ถึงเป้าหมาย คือติด แค่ในขั้นพึ่งพา ยังอาศัยปัจจัยภายนอก แต่ปัจจัยภายนอกเข้ามาก็ เพื่อสื่อให้ปัจจัยภายในเกิดขึ้น เมื่อเด็กยังต้องอาศัยปัจจัยภาย นอกอยู่ ปัจจัยภายในยังไม่เกิด ก็อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ พึ่งตนไม่ได้ ไปไหนก็ต้องพึ่งคนอื่น อยู่ในบ้านก็พึ่งพาพ่อแม่ ไปโรงเรียนก็พึ่งพา ครู เป็นระบบพึ่งพา ในที่สุดสังคมก็จะอ่อนแอไปไม่ไหว

เรื่องการเรียนอย่างมีความสุขนี้ ต้องเข้าใจกันให้ชัด การศึกษาที่มีเด็กเป็นศูนย์กลาง มีความหมายแค่ไหน ถ้าเข้าใจไม่ถูก ก็เป็นปัญหาแก่สังคม ฝรั่งเจ้าตำรับเองก็เคยเกิดปัญหา child- centered education ในสมัยก่อนปี ๒๕๐๐ นั้น ในอเมริกานิยมกัน มาก มีจอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เด่นชูโรงมา แต่พอรัสเซียปล่อย ดาวเทียมลูกแรก ชื่อ Sputnik ขึ้นไปสำเร็จ คนอเมริกันก็หันมาติ เตียนระบบการศึกษาของตัวเอง บอกว่า นี่แหละ เพราะใช้ child-centered education จึงทำให้วิชาการไม่แข็ง คนไม่เข้มแข็ง วินัย หย่อน จึงต้องพ่ายแพ้แก่โซเวียต อเมริกาสูญเสียความเป็นผู้นำใน การบุกเบิกอวกาศ

ถึงตอนนี้ ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1957 child-centered education คือการศึกษาที่มีเด็กเป็นศูนย์กลาง ที่เคยเฟื่องฟูมา ก็เสื่อมจากความนิยม วงการการศึกษาหันกลับไปหา teacher- and subject-centered education กันอีก จนกระทั่งหลังปี 1980 จึงเกิดความเห็นพลิกกลับมาอีกว่า เด็กเรียนหนักเกินไป ทําให้เครียด ใจไม่สบาย เป็นทุกข์และแปลกแยก ก็เลยบอกว่าต้องกลับมาใช้ child-centered education ฝรั่งเองก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เราก็ดูจากภูมิหลังของเขาว่ามีความเสื่อมความเจริญเป็นมาอย่างไร ล้มเหลวหรือสําเร็จแค่ไหน ด้านใด เพราะอะไร มีข้อดีข้อด้อยตรงไหน แต่อย่างน้อยต้องแก้ปมนี้ให้ได้ คือการที่ครูของเรายังเข้าใจไม่ค่อยชัดว่า child-centered education ที่ว่าเอาเด็กเป็นศูนย์กลางนั้น คืออย่างไร

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพคราวนี้ ขอสี่ข้อ >>

No Comments

Comments are closed.