สังคมไทย เลื่อนลอยกันต่อไป หรือเด็ดเดี่ยวด้วยจิตสำนึกที่จะแก้ไข

1 กันยายน 2537
เป็นตอนที่ 15 จาก 16 ตอนของ

สังคมไทย เลื่อนลอยกันต่อไป
หรือเด็ดเดี่ยวด้วยจิตสำนึกที่จะแก้ไข

อาตมาได้พูดแล้วว่า ไม่สนใจที่จะร่วมรณรงค์เรื่องนี้ แต่เป็นห่วงการรณรงค์นั้นว่า ถ้าจะทำ ก็ต้องทำด้วยความรู้ความเข้าใจ และระบุเหตุผลให้ชัดเจน

ส่วนจุดที่สนใจก็อยู่ตรงที่ว่า จะเอาพระพุทธศาสนามาใช้แก้ปัญหาและสร้างสรรค์สังคมไทยของเราได้อย่างไร

แต่ปัญหามันโยงเข้ามาว่า ในการที่จะแก้ปัญหาสังคมและสร้างสรรค์ประเทศชาตินั้น ถ้าจะทำให้สำเร็จจะต้องมีอะไรอย่างหนึ่งที่จะยึดเป็นอุดมการณ์สูงสุด หรือจะต้องเอาหลักอะไรสักอย่างหนึ่งมาสร้างมานำสังคมนี้ให้มีจิตสำนึกต่อจุดหมายร่วมกัน ซึ่งขอเรียกว่าเป็น “อุดมธรรมนำจิตสำนึกของสังคม” เรื่องก็เลยมาพันกันตรงนี้

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อาตมาไม่สนใจที่การรณรงค์ จุดที่สนใจก็คือว่า จะเอาพุทธศาสนามาใช้แก้ปัญหาของสังคมและสร้างสรรค์ประเทศชาตินี้อย่างไร

แต่แล้วปัญหานี้มันโยงไปสู่อีกปัญหาหนึ่งว่า ในการที่จะแก้ปัญหาสังคมและสร้างสรรค์ประเทศชาติได้อย่างนั้น มันกลายเป็นเรื่องจำเป็นที่ว่าเราจะต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งมาเป็นอุดมการณ์ที่รวมความคิดจิตใจของคนในชาติ และเป็นอุดมธรรมที่จะมานำจิตสำนึกของสังคมนี้ เราจึงจะสามารถแก้ปัญหาของสังคมและนำชาติให้ก้าวหน้างอกงามไปได้สำเร็จ

ถ้าเราจะต้องบัญญัติเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็น่าจะทำด้วยเหตุผลนี้ ในเมื่อเป็นความจำเป็น ไม่มีทางอื่น เพราะถ้าขืนปล่อยอยู่อย่างนี้ สังคมไทยจะเสื่อมโทรมและต่ำทรามลงไปตามลำดับ

แล้วมีทางอื่นไหมล่ะ ที่จะแก้ปัญหา?

ฉะนั้น ในตอนนี้ จะขอตั้งเป็นคำถาม ๒ ข้อ ให้ช่วยกันตอบ และขอให้ตอบโดยใช้ปัญญา ด้วยความคิดพิจารณา และด้วยความเป็นกลางที่มีใจไม่เอนเอียง

ข้อที่ ๑ ถามว่า จำเป็นไหม และถึงเวลาหรือยัง ที่ชาติไทยสังคมไทยนี้จะต้องมีอุดมการณ์สูงสุด ที่รวมความคิดจิตใจของคนในชาติ และจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่าอุดมธรรมนำจิตสำนึกของชีวิตและสังคม

เราจะต้องมีสิ่งนี้หรือยัง หรือจะอยู่กันไปวันๆ เรื่อยๆ เปื่อยๆ ไปอย่างนี้ ปล่อยให้ปัญหาความเลวร้ายต่างๆ รุมล้อมรุกไล่สังคมต่อไป และปล่อยชีวิตปล่อยสังคมไปตามกระแสเสพกระแสไสย์ ที่เราตามมาอย่างประมาทอ่อนแอและอย่างไม่รู้ไม่เข้าถึงไม่เท่าทันนั้น

ข้อที่ ๒ ถามว่า ถ้าจำเป็นและถึงเวลาที่จะต้องมี อะไรเหมาะสมที่สุดที่จะมาเป็นอุดมการณ์สูงสุด และเป็นอุดมธรรมที่จะนำจิตสำนึกของสังคมนี้ ด้วยเหตุผลและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่กล่าวมานั้น

อันนี้ขอตั้งเป็นคำถาม และขอให้ตอบด้วยใจบริสุทธิ์ยุติธรรม โดยมีใจเป็นกลาง และโดยใช้ปัญญาจริงๆ

ทีนี้ ขอถามคำถามย่อย ที่สืบเนื่องจากคำถามใหญ่นั้น ต่อไปอีกว่า

๑. อุดมการณ์อะไรที่คนไทยยึดถือแล้ว จะช่วยให้ประเทศไทยนี้มีอะไรที่จะให้แก่ชาวโลก ที่จะช่วยสร้างสรรค์อารยธรรมของโลก และทำให้คนไทยนี้มีความเป็นผู้นำได้บ้าง คือมีอะไรที่จะให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว

๒. อุดมการณ์อะไรที่เรายึดถือแล้วจะได้ผลในทางสร้างสรรค์ พร้อมทั้งไม่กดขี่บีบคั้นใครอื่นด้วย

อุดมการณ์หลายอย่าง ถ้ายึดถือขึ้นมาแล้ว จะทำให้เกิดการบีบคั้นเบียดเบียนผู้อื่น

แต่ในโลกนี้ ขอให้คิดกัน ถามทั้งโลกเลย ขอให้ตอบด้วยใจเป็นธรรม และด้วยปัญญาพิจารณาให้ชัดเจนว่า อุดมการณ์ที่ยึดถือแล้วจะไม่เป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนบีบคั้นชนกลุ่มอื่นเลย และมีทางที่จะเกื้อกูลด้วย

อย่างน้อยเป็นอุดมการณ์ที่ไม่เปิดช่องให้มีการเบียดเบียนบีบคั้นผู้อื่น หรือยากเหลือเกินที่จะไปเบียดเบียนใครได้ เพราะไม่มีคำสอนหรือหลักการที่จะยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างให้ทำอย่างนั้นได้

อุดมการณ์อะไรที่ยึดถือแล้ว จะเกิดผลอย่างนี้

ขอถามไว้เท่านี้ รวมความว่าเป็นคำถามใหญ่ ๒ ข้อ และคำถามย่อย ๒ ข้อ

อาตมภาพมาพูดวันนี้ ได้บอกแล้วว่าเป็นกลาง และไม่ได้สนใจในการรณรงค์ แต่สนใจในเรื่องที่ว่า

๑. ทำอย่างไรเราจึงจะเอาพุทธศาสนามาช่วยแก้ปัญหาของสังคมประเทศชาติตลอดจนของโลกทั้งหมดให้ได้ผล พร้อมกับที่มองว่า สังคมไทยของเรามีปัญหาอะไร และมีความเสื่อมโทรมอย่างไรบ้าง

๒. ได้คิดเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง และเมื่อถึงเวลาสำคัญอย่างนี้คนไทยเรากลับไม่มีความชัดเจน มีแต่ความพร่ามัวสับสน แล้วก็พูดอะไรกันไปต่างๆ ที่ไม่ทำให้มีอะไรชัดเจนขึ้นมาสักอย่าง มีแต่ทำให้พร่าสับสนยิ่งขึ้น แล้วก็กลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัวอย่างที่ว่าเมื่อกี้

อะไรที่เป็นปัญหา อะไรที่ควรเอามาใช้แก้ปัญหา ซึ่งควรจะพูดกันให้ชัดเจน ก็ไม่กล้าพูด กลัวทางโน้นกลัวทางนี้

ก็พูดกันมาให้มันชัดเจนสิ แล้วถ้ามันเป็นสิ่งที่จำเป็น มันดีจริงๆ เราก็เอามาใช้มาปฏิบัติกัน มีปัญหาพ่วงมาเล็กๆ น้อยๆ มีทางออกได้ ไม่ตัน ก็เดินหน้าไป ไม่มัวหวั่นไหว ควรจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้สักที

แม้แต่ที่ว่ารักชาติ ความคิดก็พร่ามัวตื้อตัน รักสำหรับไว้ทะเลาะกัน ไม่มีความหมาย

ในเมื่อชาวพุทธเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศชาติ ถ้าคนส่วนใหญ่พร่ามัวสับสน สังคมจะเดินหน้าไปดีได้อย่างไร

อย่าปล่อยสังคมไทยให้พร่ามัวอยู่อย่างนี้ จะเอาอย่างไร ก็ให้จริงสักอย่าง

อาตมภาพต้องขออภัยด้วยที่ไปอ่านเหตุผลในการที่จะบัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังที่ปรากฏในเอกสารการประชุมที่ถวายไปนั้นแล้ว ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย ต้องขออภัยท่านผู้ร่างด้วยว่าอย่าถือสากัน จะขอนำมาอ่านไว้หน่อย มีดังนี้

    …ยังมีคนไทยอีกหลายคน รวมทั้งคนไทยที่เป็นชาวพุทธที่มีความรู้และตำแหน่งสูง ไม่ยอมพูดว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ…จึงมีความจำเป็นที่จะต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้แน่ชัดว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

เรามีเหตุผลแค่นี้หรือ ที่จะเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพื่อจะให้คนทุกคนต้องพูดอย่างนี้ หรือแม้แต่ตอนท้ายก็จะพูดในทำนองเดียวกัน ในตอนว่าด้วยผลที่คาดว่าจะได้รับ ก็บอกว่า

    …เป็นการยอมรับทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย จะได้ไม่เกิดความลังเล ความคลางแคลงใจ และการโต้เถียงกันว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยจริงหรือไม่…

อาตมภาพว่า แค่นี้มันไม่น่าจะเป็นเหตุผลเลย และไม่น่าจะมาหวังผลเพียงแค่นี้เลย

อย่างที่กล่าวแล้วว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่มีเพื่อตัวเอง ถ้าจะทำ เราไม่ได้ทำเพื่อพระพุทธศาสนานะ เราจะต้องมีความคิดว่า ที่ทำนี้ เราทำเพื่อสังคมไทยและเพื่อมนุษยชาติ

เราจะเอาพระพุทธศาสนามาใช้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคมที่มันเสื่อมโทรมอยู่อย่างนี้ และเพื่อสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติให้เจริญงอกงามไปในทางที่ถูกที่ดี

และไม่ใช่แค่ประเทศไทยหรือสังคมไทยเท่านั้น แต่เราทำเพื่อจะได้ช่วยแก้ปัญหาของโลก เราจะได้เอาสิ่งที่เรามีอยู่ มาให้มาช่วยสร้างสรรค์อารยธรรมของมวลมนุษย์ด้วย อันนี้เป็นจุดหมายที่แท้จริง

จุดสำคัญอยู่ที่ว่า ถ้าเราเอาพระพุทธศาสนาขึ้นมาเป็นอุดมการณ์ที่เป็นจุดรวมใจรวมความคิดของคนในชาติ ที่ผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นคนส่วนใหญ่อยู่แล้วนี้ หรือเอาพุทธศาสนามาเป็นอุดมธรรมนำจิตสำนึกของสังคมนี้ มันจะช่วยให้เราบรรลุจุดหมายนี้ได้ไหม

กล่าวคือจุดหมายในการที่จะแก้ปัญหาสังคมไทย และในการที่จะช่วยแก้ปัญหาของสังคมโลก ทำให้ประเทศไทยนี้มีส่วนสร้างสรรค์อารยธรรมของโลกได้ด้วย

อาตมาอยากให้เบนความสนใจมาสู่จุดนี้ จึงได้ตั้งคำถามอย่างที่กล่าวมาแล้ว

เพราะฉะนั้น จะขอทวนคำถามอีกครั้งหนึ่ง ขอตั้งคำถามเพียง ๒ ข้อเท่านั้น คือ

ข้อ ๑ ถามว่า มีความจำเป็นไหม และถึงเวลาหรือยัง ที่ชาติไทย สังคมไทย จะต้องมีอุดมการณ์ที่เป็นจุดรวมความคิดจิตใจของคนในชาติ และมีจิตสำนึกของชีวิตและสังคมเสียที จำเป็นไหม และถึงเวลาหรือยัง

ข้อ ๒ ถามว่า ถ้าจำเป็นต้องมี และถึงเวลาที่จะต้องมีแล้ว อะไรเหมาะที่สุด ที่จะมาเป็นอุดมการณ์และเป็นเครื่องนำจิตสำนึกนั้น

ต่อจากนั้นมีคำถามย่อยอีก ๒ ข้อ คือ

๑. อุดมการณ์อะไร หรือสิ่งใดที่สังคมไทยยึดถือเป็นอุดมการณ์แล้ว จะทำให้ประเทศไทยเรานี้มีอะไรที่จะให้แก่โลกได้บ้าง และซึ่งจะทำให้สังคมไทยเปลี่ยนภาวะของตน จากความเป็นผู้รับและเป็นผู้ตาม ไปสู่ความเป็นผู้นำและเป็นผู้ให้

๒. อุดมการณ์อะไร ที่ยึดถือแล้ว จะได้ผลในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ โดยที่พร้อมกันนั้นก็ไม่กดขี่บีบคั้นใครอื่น แต่กลับมีผลในทางช่วยเหลือเกื้อกูลด้วย อย่างน้อยก็เป็นอุดมการณ์ที่เปิดช่องให้มีการบีบคั้นเบียดเบียนผู้อื่นได้ยากที่สุดหรือน้อยที่สุด ในโลกนี้มีอุดมการณ์และอุดมธรรมอะไรที่มีลักษณะอย่างนี้

ที่ว่ามานี้เป็นการพูดกันในเชิงปัญญา และเป็นการเชิญชวนให้พูดกันด้วยใจเป็นธรรม ไม่ต้องเอนเอียงเข้าข้างไหน แต่ให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยใจเป็นกลางว่า คำถามที่ยกขึ้นมาตั้งนี้ เมื่อตอบด้วยความรู้สึกที่แท้บริสุทธิ์ และได้ใช้ปัญญาอย่างสูงสุดแล้ว คำตอบจะออกผลมาเป็นอย่างไร ขอให้ทุกท่านไปคิดพิจารณา

ถ้าจะบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็น่าจะทำด้วยเหตุผลนี้ มิใช่ด้วยเหตุผลอย่างอื่น

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาที่ชัดเจน และด้วยใจเป็นกลางแล้ว คำตอบออกมาว่า สิ่งนั้นคือพระพุทธศาสนา การบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ถึงเวลาที่สมควร

แต่ก็ต้องย้อนกลับมาถามท่านผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย คือพวกเรากันเองนี้ว่า ชาวพุทธมีความชัดเจนแน่แล้วหรือในอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา และพร้อมแล้วหรือที่จะนำเสนออุดมธรรมของพระพุทธศาสนา ที่จะมาเป็นแกนนำในการแก้ปัญหาของสังคมไทย และสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษยชาติ

อาตมภาพได้พูดมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ขออนุโมทนาทุกท่าน ซึ่งขอถือว่าเป็นชาวพุทธที่เป็นผู้นำ ซึ่งมีความรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนา และสังคมไทยส่วนรวม ตลอดจนประโยชน์สุขของมนุษยชาติทั้งหมด

อาตมภาพเข้าใจว่าทุกท่านมีเจตนาดี เป็นกุศลเจตนา เพราะฉะนั้น เราคงจะได้มาช่วยกันในการที่จะแก้ปัญหาของสังคมไทย และสร้างสรรค์สังคมนี้ให้เจริญก้าวหน้าไปสู่สันติสุข และช่วยกันทำให้โลกนี้เป็นโลกแห่งความร่มเย็นเป็นสุขด้วย

ขอให้ทุกท่านที่มีกุศลเจตนานี้ จงประสบแต่จตุรพิธพรชัย ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย จงมีความร่มเย็นเป็นสุข เจริญงอกงามในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั่วกันทุกท่าน ตลอดกาลนาน

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< เลิกเสียที ความสับสนพร่ามัว และความขลาดกลัวที่เหลวไหล แน่วแน่ ชัดเจน มั่นใจ คือทางออกอันเดียวของสังคมไทยคำปรารภ >>

No Comments

Comments are closed.