บูรณาการระเบียบสังคมเข้าไปในวิถีชีวิตของคน

29 พฤศจิกายน 2544
เป็นตอนที่ 6 จาก 20 ตอนของ

บูรณาการระเบียบสังคมเข้าไปในวิถีชีวิตของคน

อย่างเวลานี้ ที่ว่ากำลังจัดระเบียบสังคมกันอยู่นั้น ก็มองไปที่รูปแบบ และการจัดตั้งวางระบบ ที่พูดด้วยคำสั้นๆ ว่า “วินัย” โดยมีหลักการต่างๆ ที่เป็นเรื่องของข้อปฏิบัติเบื้องต้นหรือกติกาในทางสังคม อย่างที่พูดกันถึงเรื่องการละเว้นอบายมุข เรื่องศีล ๕ ซึ่งโยงไปเข้ากับพื้นฐานทางวัฒนธรรม เป็นต้นด้วย การที่เราจัดระเบียบสังคมนั้น โดยสาระหรือเนื้อแท้ก็มุ่งให้ไปที่จุดนี้แหละ

แต่เวลายกเรื่องจัดระเบียบสังคมขึ้นมาพูด เราอาจจะนึกไปที่เรื่องกฎหมาย หรือการวางกฎข้อบังคับอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการชั้นนอกที่จะมาช่วยให้มีผลเป็นจริงขึ้นมา แต่ถ้าอยู่แค่ชั้นนอก ไม่ลงมาถึงวัฒนธรรม ไม่เข้าไปถึงจิตใจ การจัดระเบียบสังคมก็ไม่สำเร็จ จิตใจก็ฝืนเพราะรู้สึกว่าถูกบังคับ ทำโน่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้ เพราะมีกฎหมายมีระเบียบข้อจำกัดบังคับ ก็ฝืนใจตลอดเวลา การจัดระเบียบสังคมก็อยู่ด้วยการบังคับเท่านั้น พอเปิดโอกาสเมื่อไร ก็ล้ม นี่ก็คือบูรณาการเข้าไปในชีวิตไม่ได้

การจัดระเบียบสังคมจะสำเร็จลงตัวได้ก็ด้วยการบูรณาการเข้าไปในชีวิตอย่างที่ว่านี้ คือ ถ้าได้อย่างดีที่สุด ก็เมื่อคนมีปัญญามองเห็นเหตุผลคุณประโยชน์ เห็นดีเห็นงามด้วย จิตใจพร้อม เต็มใจจะปฏิบัติ และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ดำเนินตาม แล้วก็กลายเป็นวิถีชีวิตของคน ตรงนี้แหละ ระเบียบสังคมที่เป็นของจริงก็จะเกิดขึ้น คือระเบียบสังคมที่จัดวางข้างนอก เข้าไปเป็นวิถีชีวิตในตัวคน ความสำเร็จอยู่ที่นี่

ถ้าไม่ได้อย่างดีที่ว่านี้ อย่างน้อยก็หาทางตะล่อมให้ทำกันไปตามระเบียบที่จัดวางไว้ให้นั้นจนเคยชิน ก็กลายเป็นวิถีชีวิตไปได้เหมือนกัน

ถ้าวางระเบียบสังคมขึ้นมาแล้ว แต่ยังจัดคนให้เข้าระเบียบกันอยู่ ก็แสดงว่ายังไม่สำเร็จ เป็นเพียงความพยายามที่จะจัดระเบียบสังคม

เป็นอันว่า สิ่งที่ต้องการคือวิถีชีวิต และแต่เดิมนานมาแล้ว เรามีวิถีชีวิตชาวพุทธ แต่มันได้หายไปและคนก็เหลวไหลหลงทางไปวุ่นวายกับอบายมุข และแย่งชิงเบียดเบียนกัน วิถีชีวิตชาวพุทธก็เสื่อมลงไป พอมันเลอะเทอะสับสน เราก็มาจัดระเบียบสังคมกันใหม่ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้วิถีชีวิตที่ต้องการขึ้นมาหรือไม่

การจัดระเบียบสังคมควรจะเป็นเรื่องชั่วคราวสั้นๆ เป็นเพียงขั้นตอนที่จะผ่านเข้าไปเป็นวิถีชีวิต ถ้าขืนอยู่กันด้วยการจัดระเบียบ ก็จะเป็นสังคมแห่งการบีบบังคับ คนก็จะฝืนใจ มีความเครียด และไม่ได้ผลจริงจังยั่งยืน

การที่จะอยู่กันได้เป็นระเบียบอย่างนั้น ก็คือข้อปฏิบัติต่างๆ ได้ลงไปสู่ชีวิตจริงที่คนเต็มใจทำ หรืออยู่กันอย่างเป็นธรรมดาไปแล้ว นั่นก็คือเป็นวิถีชีวิตนั่นเอง และที่ว่านี้ ไม่เฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบสังคมที่เป็นระดับภายนอกเท่านั้น แม้ในเรื่องของคุณธรรมความดีงามภายใน ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องให้เป็นวิถีชีวิตขึ้นมาให้ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องเน้นให้เป็นวิถีชีวิต

เมื่อคนมีวิถีชีวิตที่ทำให้สังคมเป็นระเบียบ คนก็อยู่กันร่มเย็นเป็นสุข สามารถทำการสร้างสรรค์และพัฒนาชีวิตพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้างอกงามยิ่งขึ้น แต่ถ้าสังคมไม่มีระเบียบ คนก็จะด้อยคุณภาพลงไป เพราะสังคมที่เป็นสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการพัฒนา แต่เปิดช่องหรือล่อเร้าให้หาช่องที่จะทำการในทางเสื่อม จะทำการสร้างสรรค์อะไรก็มีอุปสรรคขัดขวางมาก ยากที่จะสำเร็จ คนด้วยกันเองก็ขัดขวางแก่งแย่งกัน ก้าวหน้าไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในขั้นพื้นฐาน ถ้าจะให้ได้ผลดีจริง ไม่ต้องบูรณาการวิชาพุทธศาสนาเข้ากับวิชาอะไรหรอก แต่ควรจะมุ่งบูรณาการธรรมเข้าไปในชีวิตที่เป็นอยู่นี้

อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมองในแง่โอกาสด้วย สังคมที่เป็นอยู่นี้ไม่ค่อยเปิดทางให้มีการบูรณาการธรรมเข้าไปในวิถีชีวิต ก็จึงต้องอาศัยระบบการศึกษาที่จัดตั้งไว้นี้ มาหาช่องที่จะเอาธรรมเข้าไปสู่ชีวิต เมื่อช่องทางโดยตรงไม่มี ก็ไปหาช่องแทรกตัวในวิชาการต่างๆ ในกรณีอย่างนี้ ถ้าจะทำให้ถูกต้อง ก็คงไม่ใช่เป็นการบูรณาการวิชาพุทธศาสนาเข้ากับวิชาอื่นๆ แต่เป็นการอาศัยวิชาการเหล่านั้น เป็นช่องทางที่จะบูรณาการธรรมะเข้าไปในชีวิตของเด็ก

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< บูรณาการวิชาเข้ากับชีวิตจริงยิ่งยาก ยิ่งอยากทำ >>

No Comments

Comments are closed.