- การแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมา คือให้ชาวพุทธรู้จักศาสนาที่ตัวบอกว่านับถือ
- จะจัดจะแก้ไขอะไร ก็ต้องรู้จักสิ่งที่ตัวจะจัดจะแก้ไขนั้น
- การศึกษาที่แท้ ก็คือตรงตามธรรมชาติที่เป็นความจริงของชีวิต
- อุดมศึกษาจะสูงสุดจริง ต้องลงไปถึงบ้านที่เป็นฐานของสังคม
- บูรณาการวิชาเข้ากับชีวิตจริง
- บูรณาการระเบียบสังคมเข้าไปในวิถีชีวิตของคน
- ยิ่งยาก ยิ่งอยากทำ
- จากการศึกษาจัดตั้ง สู่การพึ่งตนได้ในการเรียนรู้
- ตามใจ เพื่อให้ลูกไปอยู่ในโลกแห่งความฝืนใจ
- สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์
- ใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพ
- จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างใน
- คราวนี้ ขอสี่ข้อ
- เหตุผลที่คิดในใจ กับเหตุปัจจัยในความเป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ ให้ตรงกับเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ แล้วไปทำเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- ถ้าว่าทำดีไม่ได้ดี ถึงตรงนี้หายสงสัยเสียที
- จะพัฒนากรรมได้ดี ต้องแยกแยะเหตุปัจจัยที่ซับซ้อนได้
- คิดถึงความเจริญของฝรั่ง ต้องรู้เหตุปัจจัยที่ต่างของเขา
- อนุโมทนา
คิดถึงความเจริญของฝรั่ง ต้องรู้เหตุปัจจัยที่ต่างของเขา
กรรมการมูลนิธิ
อยากจะเข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย และนำมาสอนได้จะดีมาก จะทำได้อย่างไร กราบเรียนว่าความจริงทางวิทยาศาสตร์พอจะเห็นทาง คือถ้าสอนวิทยาศาสตร์กันดีๆ เก่งๆ เข้าใจธรรมชาติได้ แต่เราก็สอนกันแบบจำๆ สมัยก่อนสอนว่า ใบไม้พืชสีเขียวเท่านั้นที่จะต้องใช้แสงจากดวงอาทิตย์ อเมริกาพบมาก่อนเรา ๑๐ ปี ว่าพืชใต้ทะเลที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงก็ใช้ความร้อนของอุณหภูมิน้ำได้ ของเราสอนอย่างนี้ ๑๐ ปี ว่าพืชไม่มีคลอโรฟิลไม่ได้ คือมีเหตุเดียวปัจจัยเดียว เหตุเดียวผลเดียว ในสังคมศาสตร์ยากที่สุด
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
ก็ลองคิดดู ของเราบอกมาตั้งเกินกว่า ๒ พันปีแล้ว บอกว่าการมองเหตุเดียวผลเดียว เป็นลัทธิที่ผิด จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ชาวพุทธเองก็ยังแทบไม่รู้กัน จึงได้เพิ่มเติมเรื่องนี้เข้ามาในหนังสือพุทธธรรมเล่มเล็ก ในบทที่ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเหตุปัจจัย เพื่อให้มองโลกอย่างแยกแยะเหตุปัจจัยได้กว้างขวางทั่วตลอด
ท่านปฏิเสธ เอกการณวาท คือลัทธิเหตุเดียว-ผลเดียว รวมทั้งเหตุเดียวให้เกิดผลทุกอย่าง คำนี้ไม่ได้มาในพระไตรปิฎก แต่อยู่ในอรรถกถา คือเป็นการอธิบายของอรรถกถาต่อจากพระไตรปิฎกอีกที ท่านยกตัวอย่างลัทธิเหตุเดียว-ผลเดียว เช่นว่าลัทธิพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลก ก็เป็นลัทธิเหตุเดียว แต่พุทธศาสนาสอนหลักการว่า ผลหลากหลายจากปัจจัยอเนก หรือว่าเหตุปัจจัยหลากหลายสู่ผลอเนก นี่เป็นเรื่องของการพัฒนาปัญญา ต้องช่วยกันหน่อย อย่างน้อยก็ทำให้เริ่มมองอะไรๆ กว้างขึ้น เข้าถึงเรื่องที่ซับซ้อนได้มากขึ้น และรู้จักเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายได้ดีขึ้น แล้วก็ใช้ได้ทั้งทางด้านธรรมชาติ และใช้ได้ทั้งทางสังคม
พูดถึงเรื่องสังคมมนุษย์ น่าจะเน้นไว้อีกเรื่องหนึ่ง ที่จะเป็นการรู้จักอารยธรรมตะวันตกอย่างสำคัญ คือ ในด้านหนึ่ง ต้องรู้ว่าแนวคิดวิวัฒนาการของดาร์วิน (Darwinism) ได้มีอิทธิพลต่อสังคมฝรั่งมาก คือการถือหลักการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) ซึ่งบอกว่าพืชสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในท่ามกลางธรรมชาติ ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้อยู่รอด พืชสัตว์ใดเข้มแข็งก็อยู่ได้ ที่อ่อนแอก็ล้มหายตาย ตลอดจนสูญสิ้นพันธุ์ไป เรียกว่าเป็นการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ที่สำคัญยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือว่า มีการพัฒนานำเอาแนวคิดนี้มาใช้เชิงสังคมว่า มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาตินี้ ดังที่ปรากฏเด่นในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หาก ธุรกิจใดเข้มแข็ง ก็อยู่ได้ ส่วนธุรกิจหรือกิจการใดอ่อนแอ ก็ต้องล้มหายวอดวายไป และธุรกิจหรือกิจการที่เข้มแข็งคงอยู่ ก็จะยิ่งเข้มแข็งพัฒนามากขึ้น จึงต้องให้มีการแข่งขันกันอย่างไม่มีข้อจำกัดขีดขั้น มิให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซง แล้วกิจการธุรกิจพร้อมทั้งเศรษฐกิจจะยิ่งเจริญกันใหญ่ เพราะคนยิ่งแข่งขัน ก็ยิ่งเข้มแข็ง ใครอยู่รอดมาได้ คนนั้นจะดีพิเศษยอดเยี่ยมจริงๆ นี้คือที่เรียกว่าลัทธิดาร์วินเชิงสังคม (Social Darwinism) ซึ่งเข้ามาครอบงำสังคมอเมริกันเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีที่แล้ว
ชาวอเมริกัน รวมทั้งมหาเศรษฐีอย่าง คาร์เนกี (Andrew Carnegie) และรอกกิเฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) พากันชื่นชมลัทธินี้มาก เมื่อ Herbert Spencer ผู้ต้นลัทธิ Social Darwinism ซึ่งให้แนวคิดความอยู่รอดของผู้ที่เหมาะที่สุด หรือใครดีใครอยู่ (survival of the fittest) นี้ มาอเมริกาในปี 1883 ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีพิเศษเลยทีเดียว
ลัทธินี้ครอบงำความคิดของอเมริกามานาน แม้ต่อมาจะเบาลง เสื่อมอิทธิพลลงไป แต่ก็ยังเข้มอยู่ในจิตใจและสายเลือดของคนอเมริกัน เป็นพลังขับดันระบบแข่งขัน ทำให้คนอเมริกันมีวิถีชีวิตแน่นแฟ้นในวัฒนธรรมแห่งการแข่งขัน มุ่งมั่นเอาชนะให้ได้
เรื่องนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนให้เห็นว่า คนไทยที่ว่าตามฝรั่งนั้น ตามไม่จริง เราอ่อนแอขาดความมุ่งมั่น ไม่เหมือนฝรั่งที่ถือว่า การแข่งขันเป็นหัวใจในการสร้างความเจริญของเขา เขาคิดตลอดเวลาว่า ทำอย่างไรจะแข่งขันจะเอาชนะได้สำเร็จ นำไปสู่ระบบตัวใครตัวมัน ใครดีใครอยู่ อย่างที่ว่าจะสอนลูก ก็ต้องบอกให้เหนือคนอื่นเข้าไว้
เบื้องหลังความเจริญของฝรั่งคือ การแข่งขันเอาชนะ จะต้องสร้างคนของเขาให้เป็นนักสู้ เข้มแข็ง ไม่กลัวสิ่งยาก แนวคิดของฝรั่งปลูกฝังมาบนพื้นฐานวัฒนธรรมของ “ผู้ยอดเยี่ยม คือผู้ชนะสิ่งที่ยาก” แค่นี้เราก็ไม่เอาแล้ว แค่เรื่องฝืนใจ ก็กลัวแล้ว ไม่รู้จักพลิกความฝืนใจให้เป็นความเต็มใจ ก็เลยพัฒนาคนไม่ไป การศึกษาถ้าขืนเป็นอย่างนี้ ก็คงต้องรอความล้มเหลว แล้วก็พาประเทศชาติให้ล้มเหลว ต้องแก้ไขกันในขั้นลงลึก ให้เปลี่ยนแปลงชัดๆ จึงจะสำเร็จ
เป็นอันว่า อย่าไปคิดเลยว่าเราได้ตามฝรั่งมา เราตามไม่จริงหรอก ถ้าว่าตาม ก็ตามไม่ถูก ตามไม่ทัน ตามไม่ตรงทาง ไปจับเอามาผิดๆ ถูกๆ ที่จริงคือไม่ได้ตาม ได้แต่ถูกครอบ หรือตกเป็นเหยื่อไป
แต่ที่ว่ามานี้ ก็ไม่ใช่จะส่งเสริมให้ตามเขา เราไม่ต้องเอาอย่างเขาหรอก แต่ก็ควรเอาเยี่ยงในแง่ของความเข้มแข็งมุ่งมั่นในการกระทำให้บรรลุจุดหมาย
กรรมการมูลนิธิ
วันนี้พวกเราได้แง่คิดอะไรมากมาย ที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคณะผู้เตรียมจัดงานสัมมนามากเลย และก็รบกวนเวลาของท่านเจ้าคุณอาจารย์มากเหลือเกิน ต้องขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง ก็จะนำเทปอันนี้ไปให้คณะทำงานได้ฟังและได้พิจารณาด้วย คงจะถ่ายสำเนาหัวข้อผลหลากหลายจากปัจจัยอเนกไปให้เขาดูประกอบด้วย ก็คิดว่าได้แนวทางที่จะนำไปปรับปรุงต่อไป
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
ทีนี้ก็ไม่ต้องสรุปอะไรมาก อยากจะเน้นเรื่องการศึกษาของเรา ที่จะต้องให้สามารถเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนจิตใจคนได้ ต้องสร้างปัญญาขึ้นมาให้ได้จริงๆ ให้สามารถมองอะไรต่ออะไรเปลี่ยนไปจากเดิมได้ เหมือนอย่างพระอรหันต์ที่ท่านเปลี่ยนการมองโลกใหม่ โดยมีท่าทีและมีสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป พัฒนาเปลี่ยนแปลงความต้องการได้ มีความสามารถแท้จริง ถึงเจอเรื่องยาก ก็ไม่ต้องฝืนใจ ถ้าจะทำอะไร ก็สร้างความเต็มใจได้ ถึงมีทุกข์ก็เปลี่ยนเป็นสุขได้ หาความสุขจากความทุกข์ก็ได้ เจอสิ่งที่เป็นโทษ ก็หาประโยชน์จากมันได้ เผชิญสิ่งร้าย ก็ทำให้มันกลายเป็นดี ไม่ว่าจะพบอะไร ก็มองให้ถึงความจริง นี้คือเรื่องของการพัฒนาที่เป็นงานของการศึกษาทั้งนั้น
No Comments
Comments are closed.