- การแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมา คือให้ชาวพุทธรู้จักศาสนาที่ตัวบอกว่านับถือ
- จะจัดจะแก้ไขอะไร ก็ต้องรู้จักสิ่งที่ตัวจะจัดจะแก้ไขนั้น
- การศึกษาที่แท้ ก็คือตรงตามธรรมชาติที่เป็นความจริงของชีวิต
- อุดมศึกษาจะสูงสุดจริง ต้องลงไปถึงบ้านที่เป็นฐานของสังคม
- บูรณาการวิชาเข้ากับชีวิตจริง
- บูรณาการระเบียบสังคมเข้าไปในวิถีชีวิตของคน
- ยิ่งยาก ยิ่งอยากทำ
- จากการศึกษาจัดตั้ง สู่การพึ่งตนได้ในการเรียนรู้
- ตามใจ เพื่อให้ลูกไปอยู่ในโลกแห่งความฝืนใจ
- สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์
- ใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพ
- จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างใน
- คราวนี้ ขอสี่ข้อ
- เหตุผลที่คิดในใจ กับเหตุปัจจัยในความเป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ ให้ตรงกับเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ แล้วไปทำเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- ถ้าว่าทำดีไม่ได้ดี ถึงตรงนี้หายสงสัยเสียที
- จะพัฒนากรรมได้ดี ต้องแยกแยะเหตุปัจจัยที่ซับซ้อนได้
- คิดถึงความเจริญของฝรั่ง ต้องรู้เหตุปัจจัยที่ต่างของเขา
- อนุโมทนา
สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์
กรรมการมูลนิธิ
จะให้เด็กไว้ผมสั้น เด็กก็ว่าลิดรอนสิทธิมนุษยชน
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
สังคมที่พัฒนาแล้ว จะจัดตั้งวางระบบให้สิทธิมนุษยชนเป็นที่ยอมรับ หรือมีหลักประกันให้มีการยอมรับสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นฐานให้ชีวิตและสังคมดำรงอยู่ด้วยดี และมีโอกาสเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
พร้อมกันนั้น มนุษย์ที่พัฒนาแล้ว ก็คือผู้ที่รู้จักใช้สิทธิมนุษยชนให้เป็นฐานแห่งการดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิตและสังคม โดยอำนวยโอกาสให้สามารถสร้างสรรค์ความเจริญงอกงามได้ยิ่งขึ้นไป
แค่การมี กับการใช้ ก็ไม่เหมือนกัน คนจะมีชีวิตอยู่และมีโอกาสเจริญงอกงามต่อไปได้ จำเป็นต้องมีนั่นมีนี่ เช่น ต้องมีของกิน มีที่อยู่อาศัย มีหยูกยารักษาบำบัดโรค หรือมีเงินทองไว้ใช้จ่ายบ้าง เป็นต้น สังคมที่ดีก็จัดวางหลักประกันให้คนมีสิ่งจำเป็นเหล่านี้ ให้คนอยู่ได้ และมีโอกาสก้าวต่อไปในความเจริญงอกงามต่างๆ แต่คนในสังคมนั้น เมื่อมีสิ่งจำเป็นแล้ว ก็ต้องรู้จักใช้ จึงจะเกิดผลดี
เห็นได้มากมายว่า สังคมมีสิทธิมนุษยชนให้แล้ว คนใช้สิทธิมนุษยชนกันไป แต่ไม่รู้จักใช้ กลายเป็นขัดแย้งเบียดเบียนกันไปก็มากมาย บางทีก็กลายเป็นการทำให้ชีวิตของตนเองยิ่งเสื่อมทราม
นอกจากนั้น สิทธิมนุษยชนเป็นเพียงหลักประกันพื้นฐานขั้นประถม แต่ไม่เพียงพอสำหรับความดีงามพิเศษอย่างอุดม
ยกตัวอย่างว่า ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกพอให้ลูกไม่เสียสิทธิมนุษยชน และถ้าพ่อแม่คอยรักษาสิทธิมนุษยชนของพ่อแม่เองไว้ ไม่ให้เสียสิทธิของตนไปเพราะลูก ก็เลี้ยงลูกได้ผล แต่ได้แค่ลูกอยู่รอด ไม่ใช่อยู่อย่างดี เช่น ไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควร ไม่อบอุ่นเป็นสุข
ในการที่ลูกจะเจริญเติบโตอย่างดี ปรากฏว่ามีบ่อยครั้งเหลือเกินที่พ่อแม่ต้องยอมสละสิทธิมนุษยชนของตนเพื่อทำอะไรต่างๆ ให้แก่ลูก คือพ่อแม่ไม่เห็นแก่สิทธิมนุษยชนของตน และมิใช่ทำเพียงแค่ที่ลูกจะได้ตามสิทธิมนุษยชนของลูก แต่ทั้งยอมเสียสิทธิมนุษยชนของตนให้แก่ลูก และทำให้แก่ลูกเกินกว่าที่ลูกควรจะได้ตามสิทธิมนุษยชนของเขา
ในความดีงามและความเจริญงอกงามมีความสุขนั้น สิทธิมนุษยชนไม่เพียงพอเลย พ่อแม่ยังต้องมีคุณธรรม มีน้ำใจ เช่น มีความรัก มีเมตตา ทำให้แก่ลูก และแม้แต่เสียสละเพื่อลูกด้วยใจรัก อีกทั้งความรักความเมตตานั้นก็ต้องประสานกับปัญญา ที่ต้องเสียสละเรี่ยวแรงและเวลามาพยายามคิดไตร่ตรองพิจารณาหาทางว่า จะทำอะไรอย่างไรจึงจะได้ผลดีที่สุดแก่ลูก ดังนี้เป็นต้น
ในแง่หนึ่ง พูดได้ง่ายๆ ว่า สิทธิมนุษยชนเป็นโอกาส และมนุษย์ที่ฉลาดจึงรู้จักใช้โอกาสนั้นให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ คือ คนที่พัฒนามีปัญญาบ้างแล้ว มิใช่แค่ว่าตนมีสิทธิมนุษยชน ก็ใช้ไปแต่ต้องใช้อย่างมีความคิดว่าจะใช้อย่างไร จึงจะได้ผลดีเกิดมีความเจริญงอกงามแก่ชีวิตและสังคม
คนที่รู้ตระหนักอยู่แก่ใจว่า มนุษย์เรานี้จะดีงามเลิศประเสริฐได้ ก็ด้วยการฝึกหัดพัฒนาตน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนนี้ อยู่ในวัยที่ควรเอาโอกาสที่มีอยู่มาใช้ในการศึกษาพัฒนาชีวิตให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ก็จะมองดูในแง่ที่ว่า ในการที่จะฝึกตนให้ดีให้พัฒนานั้น มีอะไรที่เราควรทำหรือต้องทำ ก็เต็มใจทำเพื่อให้การฝึกนั้นได้ผลดี รวมทั้งการใช้สิทธิก็ต้องให้สนองวัตถุประสงค์ในการฝึกนั้น ซึ่งหมายถึงการตระหนักรู้ทางปัญญาด้วยว่า อะไรที่เป็นไปเพื่อความดีงามของชุมชนของตน เพื่อประโยชน์สุขของสังคม เราก็ฝึกตนปฏิบัติตัวเพื่อให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์นั้น มิใช่จะใช้สิทธิมนุษยชนเพียงเพื่อสนองความเห็นแก่ตัวหรือความปรารถนาของตนเท่านั้น
การที่เด็กจะไว้ผมสั้นผมยาว และจะมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ก็พึงพิจารณาได้ตามหลักการและเหตุผลที่ว่ามานี้
No Comments
Comments are closed.