สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์

29 พฤศจิกายน 2544
เป็นตอนที่ 10 จาก 20 ตอนของ

สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์

กรรมการมูลนิธิ

จะให้เด็กไว้ผมสั้น เด็กก็ว่าลิดรอนสิทธิมนุษยชน

พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)

สังคมที่พัฒนาแล้ว จะจัดตั้งวางระบบให้สิทธิมนุษยชนเป็นที่ยอมรับ หรือมีหลักประกันให้มีการยอมรับสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นฐานให้ชีวิตและสังคมดำรงอยู่ด้วยดี และมีโอกาสเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป

พร้อมกันนั้น มนุษย์ที่พัฒนาแล้ว ก็คือผู้ที่รู้จักใช้สิทธิมนุษยชนให้เป็นฐานแห่งการดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิตและสังคม โดยอำนวยโอกาสให้สามารถสร้างสรรค์ความเจริญงอกงามได้ยิ่งขึ้นไป

แค่การมี กับการใช้ ก็ไม่เหมือนกัน คนจะมีชีวิตอยู่และมีโอกาสเจริญงอกงามต่อไปได้ จำเป็นต้องมีนั่นมีนี่ เช่น ต้องมีของกิน มีที่อยู่อาศัย มีหยูกยารักษาบำบัดโรค หรือมีเงินทองไว้ใช้จ่ายบ้าง เป็นต้น สังคมที่ดีก็จัดวางหลักประกันให้คนมีสิ่งจำเป็นเหล่านี้ ให้คนอยู่ได้ และมีโอกาสก้าวต่อไปในความเจริญงอกงามต่างๆ แต่คนในสังคมนั้น เมื่อมีสิ่งจำเป็นแล้ว ก็ต้องรู้จักใช้ จึงจะเกิดผลดี

เห็นได้มากมายว่า สังคมมีสิทธิมนุษยชนให้แล้ว คนใช้สิทธิมนุษยชนกันไป แต่ไม่รู้จักใช้ กลายเป็นขัดแย้งเบียดเบียนกันไปก็มากมาย บางทีก็กลายเป็นการทำให้ชีวิตของตนเองยิ่งเสื่อมทราม

นอกจากนั้น สิทธิมนุษยชนเป็นเพียงหลักประกันพื้นฐานขั้นประถม แต่ไม่เพียงพอสำหรับความดีงามพิเศษอย่างอุดม

ยกตัวอย่างว่า ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกพอให้ลูกไม่เสียสิทธิมนุษยชน และถ้าพ่อแม่คอยรักษาสิทธิมนุษยชนของพ่อแม่เองไว้ ไม่ให้เสียสิทธิของตนไปเพราะลูก ก็เลี้ยงลูกได้ผล แต่ได้แค่ลูกอยู่รอด ไม่ใช่อยู่อย่างดี เช่น ไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควร ไม่อบอุ่นเป็นสุข

ในการที่ลูกจะเจริญเติบโตอย่างดี ปรากฏว่ามีบ่อยครั้งเหลือเกินที่พ่อแม่ต้องยอมสละสิทธิมนุษยชนของตนเพื่อทำอะไรต่างๆ ให้แก่ลูก คือพ่อแม่ไม่เห็นแก่สิทธิมนุษยชนของตน และมิใช่ทำเพียงแค่ที่ลูกจะได้ตามสิทธิมนุษยชนของลูก แต่ทั้งยอมเสียสิทธิมนุษยชนของตนให้แก่ลูก และทำให้แก่ลูกเกินกว่าที่ลูกควรจะได้ตามสิทธิมนุษยชนของเขา

ในความดีงามและความเจริญงอกงามมีความสุขนั้น สิทธิมนุษยชนไม่เพียงพอเลย พ่อแม่ยังต้องมีคุณธรรม มีน้ำใจ เช่น มีความรัก มีเมตตา ทำให้แก่ลูก และแม้แต่เสียสละเพื่อลูกด้วยใจรัก อีกทั้งความรักความเมตตานั้นก็ต้องประสานกับปัญญา ที่ต้องเสียสละเรี่ยวแรงและเวลามาพยายามคิดไตร่ตรองพิจารณาหาทางว่า จะทำอะไรอย่างไรจึงจะได้ผลดีที่สุดแก่ลูก ดังนี้เป็นต้น

ในแง่หนึ่ง พูดได้ง่ายๆ ว่า สิทธิมนุษยชนเป็นโอกาส และมนุษย์ที่ฉลาดจึงรู้จักใช้โอกาสนั้นให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ คือ คนที่พัฒนามีปัญญาบ้างแล้ว มิใช่แค่ว่าตนมีสิทธิมนุษยชน ก็ใช้ไปแต่ต้องใช้อย่างมีความคิดว่าจะใช้อย่างไร จึงจะได้ผลดีเกิดมีความเจริญงอกงามแก่ชีวิตและสังคม

คนที่รู้ตระหนักอยู่แก่ใจว่า มนุษย์เรานี้จะดีงามเลิศประเสริฐได้ ก็ด้วยการฝึกหัดพัฒนาตน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนนี้ อยู่ในวัยที่ควรเอาโอกาสที่มีอยู่มาใช้ในการศึกษาพัฒนาชีวิตให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ก็จะมองดูในแง่ที่ว่า ในการที่จะฝึกตนให้ดีให้พัฒนานั้น มีอะไรที่เราควรทำหรือต้องทำ ก็เต็มใจทำเพื่อให้การฝึกนั้นได้ผลดี รวมทั้งการใช้สิทธิก็ต้องให้สนองวัตถุประสงค์ในการฝึกนั้น ซึ่งหมายถึงการตระหนักรู้ทางปัญญาด้วยว่า อะไรที่เป็นไปเพื่อความดีงามของชุมชนของตน เพื่อประโยชน์สุขของสังคม เราก็ฝึกตนปฏิบัติตัวเพื่อให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์นั้น มิใช่จะใช้สิทธิมนุษยชนเพียงเพื่อสนองความเห็นแก่ตัวหรือความปรารถนาของตนเท่านั้น

การที่เด็กจะไว้ผมสั้นผมยาว และจะมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ก็พึงพิจารณาได้ตามหลักการและเหตุผลที่ว่ามานี้

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ตามใจ เพื่อให้ลูกไปอยู่ในโลกแห่งความฝืนใจใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพ >>

No Comments

Comments are closed.