- การแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมา คือให้ชาวพุทธรู้จักศาสนาที่ตัวบอกว่านับถือ
- จะจัดจะแก้ไขอะไร ก็ต้องรู้จักสิ่งที่ตัวจะจัดจะแก้ไขนั้น
- การศึกษาที่แท้ ก็คือตรงตามธรรมชาติที่เป็นความจริงของชีวิต
- อุดมศึกษาจะสูงสุดจริง ต้องลงไปถึงบ้านที่เป็นฐานของสังคม
- บูรณาการวิชาเข้ากับชีวิตจริง
- บูรณาการระเบียบสังคมเข้าไปในวิถีชีวิตของคน
- ยิ่งยาก ยิ่งอยากทำ
- จากการศึกษาจัดตั้ง สู่การพึ่งตนได้ในการเรียนรู้
- ตามใจ เพื่อให้ลูกไปอยู่ในโลกแห่งความฝืนใจ
- สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์
- ใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพ
- จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างใน
- คราวนี้ ขอสี่ข้อ
- เหตุผลที่คิดในใจ กับเหตุปัจจัยในความเป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ ให้ตรงกับเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- คิดเหตุผลในใจ แล้วไปทำเหตุปัจจัยที่เป็นจริง
- ถ้าว่าทำดีไม่ได้ดี ถึงตรงนี้หายสงสัยเสียที
- จะพัฒนากรรมได้ดี ต้องแยกแยะเหตุปัจจัยที่ซับซ้อนได้
- คิดถึงความเจริญของฝรั่ง ต้องรู้เหตุปัจจัยที่ต่างของเขา
- อนุโมทนา
เหตุผลที่คิดในใจ กับเหตุปัจจัยในความเป็นจริง
กรรมการมูลนิธิ
ถ้าทำอย่างนี้ได้ ก็สามารถทำให้เกิดการเรียนแบบฉลาดรู้ ได้ แต่มีอีกจุดหนึ่งที่ยังสงสัยคือว่า จริงๆ ศาสนาคือหลักของเหตุ ผล คราวนี้ก็มีเหตุผลของแต่ละบุคคลและเหตุผลที่เป็นจริง จะยึด ถืออันไหนเป็นหลัก
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
เหตุผล ซึ่งเป็นความคิดที่อยู่ในสมองของคน มิใช่เป็นของแท้ ของจริง มันไม่ใช่เป็นจุดเริ่ม แต่ทั้งจุดเริ่ม จุดท้าย จุดหมาย และจุดยืน อยู่ที่เหตุและผล หรือเหตุ-ผล ซึ่งเป็นความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาในธรรมชาติ คือความเป็นไปตามเหตุปัจจัย
คำว่า “เหตุผล” นั้น เราใช้กันโดยหมายถึงเรื่องของความคิดในสมองของคน ที่เหมือนกับเป็นการพยายามจำลองภาพความเป็นไปของเหตุและผลที่เป็นความจริงในธรรมชาติ
บางครั้ง เมื่อเรายังมองไม่เห็นความสัมพันธ์ของเหตุกับผล หรือยังไม่เข้าใจความเป็นไปตามลำดับจากเหตุสู่ผลที่มันเป็นจริงของมัน เราก็ใช้การคิดของเราช่วยเชื่อมโยงเหตุกับผล จากเหตุขึ้น ไปหาผลบ้าง ย้อนจากผลลงมาหาเหตุบ้าง เพื่อให้เราเข้าใจหรือจับได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลที่เป็นความจริงของมันเองนั้น เป็นอย่างนั้นๆ
การคิดเป็นการหาหรือพยายามไล่มองให้เห็นความจริง ไม่ใช่เป็นตัวความจริง เพราะฉะนั้น ตัวตัดสินก็คือภาวะที่เป็นเหตุและเป็นผล ที่เป็นความจริงอยู่ในธรรมชาติ ดังนั้น เราจึงพยายามคิดเหตุผล เพื่อจับให้ได้ให้ตรงไปถึงตัวเหตุและเป็นผล ที่เป็นความจริงในธรรมชาติ อย่างที่ว่าไปแล้ว
บางครั้งเราก็คิดออกมาเป็นคำพูดอธิบายเหตุผล ซึ่งเป็นการพยายามที่จะให้คนอื่นเข้าใจหรือมองเห็นเหตุและผล ที่เป็นความจริงนั้น
บางครั้ง เราก็ฟังและตรวจสอบคนอื่นว่าเขาพูดมีเหตุผล คือแสดงความสัมพันธ์ของเรื่องราว ซึ่งสอดคล้องกับตัวเหตุและผล ที่เป็นความจริงหรือไม่
ในที่สุด ตัวแท้ที่ต้องการ หรือตัวตัดสิน ก็คือตัวเหตุและผล ที่เป็นความจริงในธรรมชาตินั้นแหละ
จึงได้บอกว่า เหตุและผลที่เป็นความจริงตามธรรมดาในธรรมชาติ เป็นทั้งจุดเริ่มที่เรานึกถึงจึงตั้งความคิดเหตุผลนั้นขึ้นมาเป็นจุดท้ายหรือจุดหมายที่เราต้องการไปให้ถึง และเป็นจุดยืนตัวที่อยู่ของมันอย่างนั้นที่จะเป็นตัวชี้ขาดตัดสิน
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องไปค้นหาเหตุปัจจัย ที่อยู่ในความเป็นจริงตามสภาวะของมัน ไม่ใช่อยู่แค่หาเหตุผลในหัวสมองหรือในความคิดเท่านั้น เหตุผลในความคิดของเราเป็นเครื่องช่วยเราในการสืบเสาะค้นสิ่งชี้บ่งจับร่องรอยจนเป็นกระบวนที่จะก้าวไปให้ถึงความจริง คือว่า เมื่อเรายังไม่รู้ไม่เห็นยังไม่ประจักษ์ความจริง เราก็จึงเริ่มที่ความคิดเหตุผลนั้น แต่จะหยุดอยู่หรือจบลงแค่ที่เหตุผลไม่ได้
พระพุทธศาสนาสอนความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา และในความจริงนั้น สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงเกิดเป็นผล เป็นปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เราได้ประสบ เราพูดสั้นๆ ว่า ผลเกิดจากเหตุ พูดยาวๆ ให้ครอบคลุมว่า เกิดจากเหตุปัจจัย ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดผลอะไร ก็ต้องรู้เหตุปัจจัยของมัน แล้วก็ทำเหตุปัจจัยนั้นๆ ถ้าต้องการทำอะไรให้สำเร็จ ก็ต้องจับเหตุปัจจัยในความเป็นจริงของมันให้ได้ ถ้าจับไม่ได้ไม่ตรง ก็ทำไม่สำเร็จ เป็นอันว่า จะอยู่แค่ความคิดเหตุผลไม่ได้ ต้องไปให้ถึงตัวความจริง คือเหตุปัจจัยในระบบของธรรมชาติ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เราจะปลูกต้นไม้ เรามีความรู้เรื่องเหตุปัจจัยในความเจริญงอกงามเติบโตของต้นไม้ เรารู้ลำดับเหตุและผลในการเจริญเติบโตของมัน ก็นับว่าเราพร้อมที่จะปลูกต้นไม้นั้นได้ ตอนนี้ ในความคิดของเรานั้น เรารู้เข้าใจเหตุผลเลยว่าถ้าจะเอาเมล็ดลง ควรจะขุดดินใส่หลุม และหลุมควรจะลึกเท่าไร ควรจะใส่ปุ๋ยและอะไรลงไปด้วยเท่าไร ทำไมจะต้องรดน้ำพรวนดินอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเหตุผลทั้งหมดนั้นก็ว่าไปตามความจริงของเหตุและผลในธรรมชาตินั่นเอง นี่คือเหตุผลในความคิดของเราโยงตรงกับเหตุ ปัจจัยและผลที่เป็นของจริงในธรรมชาติ และเพราะรู้เข้าใจเหตุผลนี้ เราจึงทำงานปลูกต้นไม้ได้สำเร็จผลดี
แต่ทั้งนี้ เราจะอยู่แค่นั่งคิดเหตุผล หรือรู้เข้าใจเหตุผลอยู่ในใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้นไม้มันก็ไม่งอกขึ้นมา เหตุผลที่คิดเห็นในสมองก็คือที่ฝรั่งเรียกว่า reason ซึ่งไม่ใช่เป็นเหตุและผลอย่างที่ฝ่ายฝรั่งเรียกว่า cause and effect ที่เป็นของจริงในธรรมชาติหรือตามสภาวะของมัน เมื่อรู้เข้าใจมองเห็นผลจากเหตุปัจจัยในธรรมชาติ ว่าต้นไม้งอกขึ้นมาจากเมล็ด หรืออาศัยกิ่งตอนมา แล้วยังต้องมีปัจจัยอื่น เช่น อุณหภูมิระดับไหน เราก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น เมื่อทำเหตุปัจจัยครบถ้วนถูกต้อง ผลก็เกิดขึ้น
เป็นอันว่า จากความคิดสืบค้นเหตุปัจจัย โดยอาศัยความรู้ในความจริงที่ได้พบได้เจอมาแล้วเท่าที่เรามีอยู่ เราก็มาเชื่อมโยงจนได้เหตุผลขึ้นมาในสมองของเรา เมื่อเห็นเหตุผลอันนี้แล้ว ก็เป็นช่องเป็นแนวทางให้เราต่อไปถึงความจริงที่เป็นของแท้ ซึ่งเป็นขั้นต่อไปที่เรายังไม่ประจักษ์ นี่คือมันไม่จบที่เหตุผลของเรา แต่ไปจบที่ความจริงแท้ คือที่เหตุปัจจัยที่เป็นธรรมชาติ ถ้าเหตุผลในความคิดของเราสอดคล้อง เราก็ก้าวไปพบได้ประสบตัวความจริงอีกที แต่ต้องมีสติระลึกว่า เหตุผลที่เราคิดบางทีก็ผิดได้ จึงต้องไปลงตัวที่ความจริงซึ่งมีอยู่ตามธรรมดานั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิด ความจริงก็มีอยู่ตามธรรมดาของมัน นี้คือจุดเริ่มของพุทธศาสนาว่า ความจริงมีอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติ
เรื่องเหตุผล ที่นำไปสู่การสืบค้นให้พบเหตุปัจจัยตัวจริงนี้ คือสิ่งที่ท้าทาย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนแสนยาก และได้ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เพราะได้ค้นจนพบสิ่งที่ยากนี้
นี่จึงเท่ากับย้อนไปย้ำสิ่งที่พูดไว้ข้างต้นแล้วว่า คนผู้มีการพัฒนาที่ถูกต้อง จะไม่กลัวความยาก ถ้าคนกลัวความยาก ชีวิตก็พัฒนาไม่ได้ สังคมก็พัฒนาไม่ไป
ถ้ากลัวความฝืนใจ ก็ให้รู้จักแก้ และมันก็แก้ได้ อย่างที่บอกแล้วว่า เราสามารถเปลี่ยนความฝืนใจของเด็กให้เป็นความเต็มใจ พลิกความฝืนใจเป็นความเต็มใจไปเลย ถ้าเราเก่งจริง ก็สามารถเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนความต้องการได้ พัฒนาคุณสมบัติใหม่ๆ ขึ้นมาในใจในชีวิตได้ ทำบัญชีปัจจัยภายในที่พึงประสงค์ขึ้นมาแล้วสร้างมันเลย ความเปลี่ยนแปลงที่ดีงามก็จะเกิดขึ้น นี่คือการพัฒนา ไม่ใช่ยอมแพ้ปล่อยกันอยู่แค่นั้น ถ้าการศึกษาช่วยอันนี้ไม่ได้ จะเรียกว่าเป็นการศึกษาได้อย่างไร
No Comments
Comments are closed.