๒. มองวันวิสาขบูชา

10 พฤษภาคม 2543
เป็นตอนที่ 2 จาก 2 ตอนของ

เราควรได้อะไร
เพื่อให้เป็นกำไรจากวิสาขบูชา

ถาม มีวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่เกี่ยวพันกับวันวิสาขบูชา คือ วันอัฏฐมีบูชา ขอให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ช่วยอธิบาย

ตอบ วันอัฏฐมีบูชา เป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากวันวิสาขบูชา คือในวันวิสาขบูชานั้น เราทำพิธีบูชาระลึกพระคุณของพระพุทธเจ้า ในการที่พระองค์ได้ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เหตุการณ์สามอย่างนี้มาลงในวันเดียวกัน เหตุการณ์สุดท้าย ก็คือปรินิพพาน เพราะฉะนั้นวันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่รวมพระชนมชีพของพระพุทธเจ้าทั้งหมด

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มีเรื่องกล่าวถึงในพระไตรปิฎก เล่าถึงการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ พูดอย่างชาวบ้านก็คือการเผาพระบรมศพหรือพระสรีระของพระองค์ ซึ่งจัดขึ้นหลังจากนั้นไปแล้ว ๗ วัน ตรงกับวันที่เราเรียกว่า วันแรม ๘ ค่ำ ซึ่งเรียกเป็นภาษาบาลีว่าวันอัฏฐมี เราก็เลยมีการบูชา ทำพิธีระลึกพระคุณของพระพุทธเจ้า แสดงให้เห็นความสำคัญของเหตุการณ์ในการถวายพระเพลิงพุทธสรีระนั้นด้วย

คนโบราณในเมืองไทยเราจัดพิธีวันอัฏฐมีบูชา ก็คือจัดพิธีบูชาพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญคือการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ แต่ต่อมาระยะหลังนี้ พิธีวันอัฏฐมีบูชานี้เสื่อมจางหายไป เพราะว่าพวกเราชาวพุทธรุ่นใหม่นี้ เพียงจะรักษาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่มีมาแต่เดิมให้เหลืออยู่ก็ยากเสียแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเลือกเอาวันที่สำคัญมากๆ ไว้ วันอัฏฐมีนั้นมีความสำคัญน้อยกว่า ก็เลยค่อยๆ จางไป

เรื่องนี้ก็คล้ายว่า เมื่อพุทธศาสนาได้รับความสนใจเอาใจใส่จากประชาชนมาก คนทำการบูชาในวันวิสาขบูชายังไม่พอ ก็ขยายมาวันอัฏฐมีต่อ เมื่อรักษาไว้ไม่ไหว วันอัฏฐมีก็หดหายไป ก็เหลือวันวิสาขบูชา แล้วก็ยังมีวันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชาด้วย วันอัฏฐมีบูชาพูดง่ายๆ ก็เป็นวันพ่วงมากับวันวิสาขบูชา

ถาม ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ก็ยังห่วงชาวโลกอยู่ ไม่ทราบว่าได้ทรงกล่าวอะไรให้กับชาวโลกบ้าง

ตอบ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นหลักการ ถ้าว่าตามปัจฉิมวาจาหรือวาจาสุดท้าย ก็ตรัสบอกว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง คือสังขารทั้งหลาย มีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นชีวิตมนุษย์ก็ตาม หรือสังคมอารยธรรมอะไรต่างๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว ก็มีการแตกสลายกันไปตามเหตุปัจจัย สิ่งที่มนุษย์ต้องทำคือ ต้องไม่ประมาท ดังนั้นก็ตรัสฝากไว้ว่า ให้ไม่ประมาท

เมื่อเราไม่ประมาท เราก็จะใช้ประโยชน์จากหลักอนิจจังหรือความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้อง ว่าในขณะที่สิ่งทั้งหลายเสื่อมสลายเปลี่ยนแปลงไป

หนึ่ง ตัวเราเองไม่นิ่งนอนใจ เรากระตือรือร้นในการที่จะพัฒนาชีวิตของตน ให้วันเวลาผ่านไปอย่างดีที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด

สอง คือสังคม ประเทศชาติ ตลอดจนอารยธรรมของโลก ก็ต้องศึกษาวิเคราะห์เหตุปัจจัยเพื่อให้ไม่ประมาทว่า อะไรจะเป็นเหตุปัจจัยแห่งความเสื่อม แล้วก็แก้ไขป้องกันเหตุปัจจัยเหล่านั้น อะไรที่จะเป็นเหตุปัจจัยของความเจริญงอกงาม ก็ชวนกันรีบสร้างสรรค์ขึ้น

อันนี้เป็นหลักปฏิบัติในการเป็นอยู่โดยไม่ประมาท

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอนิจจัง คือเรื่องไม่เที่ยง มักจะตรัสควบกับความไม่ประมาท นั่นคือมนุษย์จะได้ประโยชน์จากความไม่เที่ยง และจากเรื่องของการแตกสลายเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่มันไม่คงทนอยู่ตลอดไป แต่ที่สำคัญก็คือหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่า การที่สิ่งทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรนั้น มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย มนุษย์จะอยู่ได้ดีที่สุดก็ต้องไม่ประมาท ไม่ประมาทอย่างไร

หนึ่ง ในการศึกษาเรียนรู้ ให้เข้าใจเหตุปัจจัย

สอง นำความรู้นั้นมาปฏิบัติแก้ไขเหตุปัจจัยที่จะทำให้เสื่อม และสร้างสรรค์เหตุปัจจัยที่จะทำให้เจริญ อย่างน้อยก็ดำรงรักษาเหตุปัจจัยในฝ่ายดีไว้

อย่างสังคมไทยเราปัจจุบันนี้ ควรจะพิจารณาตรวจสอบดูว่าชีวิตและสังคมของเราตั้งอยู่ในความประมาทไหม และมีสภาพของความเสื่อมมากมายหรือเปล่า พวกเรากำลังทำเหตุปัจจัยของความเสื่อมกันอยู่มากมายหรือเปล่า

ในแง่ของความเจริญ เราเจริญจริงหรือเปล่า และเราทำเหตุปัจจัยของความเจริญกันบ้างหรือเปล่า หรือว่าเราได้เพียงแค่รับเอาภาพของความเจริญมา แต่เราไม่ได้ทำเหตุปัจจัยของความเจริญ เราอาศัยเหตุปัจจัยของความเจริญจากที่อื่นและรับเอาแต่เพียงผลจากเขาใช่หรือไม่

ถ้าเราไม่ทำเหตุปัจจัยของความเจริญ เราจะเจริญงอกงามได้ยาก สิ่งที่เอามานั้นเป็นเหมือนของยืม หรือเป็นของที่ถูกหลอกถูกล่อให้เอามาใช้หลอกตัวเองเท่านั้น ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ยั่งยืน อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องมาวิเคราะห์ตรวจสอบตัวเองกันบ้าง

ตามหลักพุทธศาสนา สังคมพุทธต้องเป็นสังคมแห่งปัญญา เมื่อจะมีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาควบคู่และควบคุมว่า

หนึ่ง ที่ว่าเรามีศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้นเรามีศรัทธาถูกต้องหรือเปล่า ศรัทธาของเราเป็นศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่แท้หรือไม่

สอง ศรัทธาที่จะถูกต้องก็คือต้องมีปัญญา เรามีปัญญาประกอบหรือไม่

สาม เรามีการพัฒนาในเรื่องศรัทธาและปัญญานี้หรือไม่

เราได้มีการวิเคราะห์สภาวะสถานการณ์และใช้ปัญญากันจริงจังหรือเปล่า แม้แต่จะสร้างวิถีชีวิตแห่งปัญญาให้เกิดเป็นวัฒนธรรมแห่งปัญญา เช่นมีความใฝ่รู้ ชอบศึกษา เราทำกันบ้างไหม การใฝ่รู้ชอบศึกษาทำให้เกิดความเจริญปัญญาในตนเอง แต่นอกจากนั้นยังทำให้เรารู้เข้าใจสภาพความเป็นจริงของชีวิตและเหตุการณ์ของโลก ซึ่งจะทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้เท่าทันว่าโลกที่เจริญอย่างปัจจุบันนี้ เจริญจริงหรือเปล่า เจริญในแง่ไหน มีความเสื่อมพ่วงอยู่ หรือซ่อนอยู่อย่างไร มีเหตุปัจจัยมาอย่างไร เราควรจะเลือกรับส่วนไหน และจะนำมาปรับใช้ จะแก้ไข จะพัฒนาต่อไปอย่างไร

มนุษย์ที่มีปัญญา เป็นชาวพุทธ จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาและแก้ไข ไม่ใช่ตื่นไปกับภาพของสิ่งที่จะมาบำรุงบำเรอฉาบฉวยผิวเผินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีหลัก คติพระพุทธศาสนาที่จะนำมาใช้ปฏิบัติได้มีมากมาย อยู่ที่เราจะใช้ปัญญาวิเคราะห์พิจารณาหรือไม่

การเวียนมาถึงของวันวิสาขบูชา ก็คือเป็นการเตือนใจเรา และเป็นโอกาสสำหรับเราจะได้มาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วศึกษาให้เข้าใจและนำมาใช้ประโยชน์ เมื่อทำอย่างนี้อารยธรรมมนุษย์ก็จะพัฒนาได้ต่อไป ไม่อย่างนั้นเราก็เป็นเพียงผู้เสวยผลที่มีมาในอดีต ไม่รู้จักสร้างสรรค์อะไรเลย โดยแม้แต่จะรับก็อาจจะเลือกไม่เป็น เพราะไม่ใช้ปัญญา บางทีก็ไปเอาส่วนเสื่อมโทรมในที่ต่างๆ มารวมไว้กับตัวเอง

ฉะนั้นเมื่อถึงวันวิสาขบูชา อย่างน้อยก็ควรถือเอาประโยชน์จากการที่พระพุทธเจ้าได้สอนเราให้มีความไม่ประมาท ในการที่จะใช้ปัญญาศึกษาเหตุปัจจัย แล้วก็ใช้เรี่ยวแรงความเพียรในการกระทำของตนเอง ทำการแก้ไขและสร้างสรรค์ขึ้นมา ก็จะมีความเจริญได้อย่างแท้จริง

วันวิสาขบูชาจะเป็นวันสำคัญของโลกได้ ก็ต้องมีความสำคัญเริ่มตั้งแต่ที่ตัวของแต่ละคน แต่ละชีวิต แต่ละท้องถิ่น แล้วก็แต่ละสังคม ถ้าเราสามารถทำให้พระพุทธศาสนามีความหมาย ความสำคัญต่อประเทศไทยได้ ก็จะเกิดความสำคัญต่อโลกพ่วงมาด้วย และจะให้สำคัญต่อโลกแท้จริง ก็ต่อเมื่อคนไทยรู้จักนำเอาหลักพุทธศาสนามาใช้สร้างสรรค์แก้ไขปัญหาของสังคมตนเอง แล้วก้าวไปแก้ไขปัญหาของโลกด้วย

ที่พูดมานี้เป็นบทบาทที่แท้จริงของพุทธศาสนาที่ควรจะมี คือสามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาโลกไปในทางที่ถูกต้อง

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า เวลานี้โลกมีปัญหามากมายเพียงไร เราก็เอาภาพความฟุ้งเฟ้อผิวเผินอะไรบางอย่างมากลบๆ กันไว้ ลึกลงไปใต้นั้นก็ซ่อนเต็มไปด้วยปัญหาทั้งนั้น ประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา ล้าหลังก็ตาม เวลานี้มีปัญหาอะไรก็รู้กันอยู่แล้ว เจริญกันมาพัฒนากันไปเดี๋ยวก็บอกว่าเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน โลกนี้ถูกคุกคามด้วยปัญหาธรรมชาติแวดล้อมเสื่อมโทรม

สังคมที่พัฒนาแล้วหรือประเทศเจริญมากอย่างอเมริกา มีปัญหาตั้งแต่ชีวิตจิตใจเครียด มีความทุกข์มาก ฆ่าตัวตายมาก ฆ่ากันตายมาก ปัญหาความรุนแรง เด็กนักเรียนประถมเอาปืนไปยิงเพื่อนนักเรียนบ้าง ยิงครูที่โรงเรียนบ้าง ติดยาเสพติด ยาบ้า ยาม้า ยาอี โคเคน ครอบครัวก็แตกสลาย เด็กหญิงยังไม่ได้แต่งงานมีลูกตั้งแต่อายุ ๑๒ ลูกก็ไม่มีพ่อ ตัวเองก็ยังเลี้ยงลูกไม่เป็น เด็กก็เจริญเติบโตมา เป็นส่วนประกอบของสังคมที่เป็นปัญหา ซึ่งจะทำให้สังคมเสื่อมโทรมลงระยะยาว ไหนจะมีความแบ่งแยกรังเกียจเหยียดผิวกันเรื้อรังมาเป็นศตวรรษ

ล่าสุด วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๔๓ นี้ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม เป็นวันแม่ (Mother’s Day) ของอเมริกา ในวันแม่ปีนี้ คุณแม่ทั้งหลายทั่วประเทศอเมริกา ๑ ล้านคน ตกลงกันออกมาเดินขบวนเพื่อเรียกร้องให้รัฐสภาอเมริกันออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนให้เข้มงวดจริงจังขึ้น เพราะเวลานี้เด็กอเมริกันตายเพราะปืนเฉลี่ยวันละ ๑๒ คน

วันแม่ แทนที่จะเป็นวันแห่งความสุขของครอบครัว ที่แม่จะได้ชื่นชมยินดีปลาบปลื้มซาบซึ้งกับการแสดงน้ำใจกตัญญูของลูก กลับกลายเป็นวันที่แม่ต้องออกมาระบายความทุกข์เพราะปัญหาของลูก พร้อมกับที่วันแม่ที่ควรจะเป็นวันแห่งกิจกรรมทั้งหลายที่เป็นมงคล กลับกลายเป็นวันที่สะท้อนอาการโรคของสังคม ที่ความรุนแรงได้ระบาดทั่วลงมาถึงแม้แต่ในหมู่เด็กน้อยที่เยาว์วัย

นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ดังเช่นประเทศไทยเรา ที่จะไตร่ตรองว่าจะตามอย่างประเทศที่เรียกว่าพัฒนาแล้วกันอย่างไร

มองกว้างออกไปก็มีการแย่งชิงทรัพยากรกันในหมู่ประเทศต่างๆ ประเทศที่มีอำนาจมากก็แข่งขันกันในการที่จะแผ่อำนาจทางเศรษฐกิจ หาผลประโยชน์ หาแหล่งทรัพยากร มีการขัดแย้งผลประโยชน์ระหว่างประเทศร่ำรวยด้วยกัน มีความหวั่นกลัวต่อการครอบงำและเอารัดเอาเปรียบระหว่างประเทศที่มั่งคั่ง กับประเทศที่ขาดแคลน ระบบและองค์กรที่ว่าตั้งขึ้นเพื่อการค้าขายที่เสรีมีความเสมอภาค ก็เป็นที่สงสัยว่าจะไม่เกิดจากวัตถุประสงค์ที่จริงใจ ฯลฯ ถ้าสนใจเอาจริงเอาจัง รู้จักรับฟัง ก็จะมองเห็นสภาพปัญหาเหล่านี้

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นภาพทั่วไป ก็คือการมองไปที่สิ่งเสพบริโภคซึ่งมาล่อให้ตื่นเต้น โดยบางทีเราก็ไม่ได้มองว่า เบื้องหลังของสิ่งเหล่านี้มีอะไร

คนที่มีปัญญาจะอยู่เพียงกับภาพที่ปรากฏผิวเผินภายนอกไม่ได้ จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาวิเคราะห์ ถ้าเราจะต้องการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ชีวิตสังคมและอารยธรรมของโลกกันจริงๆ ก็เป็นโอกาสที่ว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชาทีหนึ่ง ก็มาทบทวน ตรวจสอบ วิเคราะห์ แล้วก็พยายามที่จะนำเอาหลักการของพระพุทธศาสนามาใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งในการสร้างสรรค์และแก้ปัญหา

ถาม ขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์อย่างสูง ที่ให้ความรู้และความเข้าใจในเรื่องวันวิสาขบูชาและช่วยเชื่อมโยงไปกับหลักการของพระพุทธศาสนา ที่จะช่วยสร้างอารยธรรมและช่วยชาวโลกได้อย่างไร

ตอบ ขออนุโมทนา เจริญพร

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ๑. วันวิสาขบูชา

หน้า: 1 2 3 4

No Comments

Comments are closed.