— — ค. การตั้งทฤษฎีว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ และพระอรหันต์ในคราวเดียวกัน

20 กรกฎาคม 2533
เป็นตอนที่ 11 จาก 15 ตอนของ
ค. การตั้งทฤษฎีว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ และพระอรหันต์ในคราวเดียวกัน

ท่านโพธิรักษ์พูดว่า “คนที่เป็นอรหันต์แล้ว อาตมาขอบอกไว้ คนที่เป็นอรหันต์แล้วนี่น่ะ อยากเกิดได้อีกนะคุณ ฟังใหม่นะ อาตมาเป็นทั้งพระโพธิสัตว์และเป็นทั้งพระอย่างที่เรียกว่า ทางเถรวาทถือว่า อรหันต์ อาตมาเอาทั้งสองทิศ อรหันต์ก็เอา โพธิสัตว์ก็เอา เพราะฉะนั้น อาตมานี้รู้แจ้งทั้งสองทิศ” (จากแถบบันทึกเสียงของพระโพธิรักษ์ บรรยายเรื่อง “คนๆ นั้นที่นรกไม่ต้องการ” ที่สันติอโศก ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ ในรายงานเรื่องพระสงฆ์นอกพระธรรมวินัย ตามมติของที่ประชุมสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ ๓๕ หน้า ๒๗-๒๘)

ตามข้อความที่ยกมานี้ จะเห็นว่า ท่านโพธิรักษ์ได้ตั้งหลักการหรือทฤษฎีใหม่ ที่ขัดกับหลักการเดิมของพระพุทธศาสนาตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศไว้ ทฤษฎีหรือหลักการใหม่นี้มีสาระสำคัญ คือ

ก. พระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ก็ได้

ข. พระอรหันต์เกิดใหม่อีกก็ได้

เพราะฉะนั้น บุคคลจึงเป็นทั้งพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์ได้ในเวลาเดียวกัน

หลักการในเรื่องเหล่านี้ เป็นธรรมขั้นสูงสุดหรือเป็นอุดมคติของพระพุทธศาสนาทีเดียว ดังนั้น การที่โพธิรักษ์กระทำเช่นนี้จึงเป็นการล้มล้างดัดแปลง ตลอดจนทำลายหลักการของพระพุทธศาสนาอย่างถึงที่สุด

พระโพธิสัตว์นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่า เป็นผู้ที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ คือ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ซึ่งรวมไปถึงยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลขั้นใดๆ ด้วย ดังพุทธพจน์ที่ตรัสถึงพระองค์เองบ่อยๆ ว่า “อนภิสมฺพุทฺโธ โพธิสตฺโตว สมาโน” (เช่น ม.อุ.๑๔/๔๕๒/๓๐๒) แปลว่า “(เรา) ผู้ยังมิได้ตรัสรู้ เป็นโพธิสัตว์อยู่” เป็นที่รู้กันดีว่า พระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่แสวงหาโพธิ กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนพระอรหันต์นั้น เป็นผู้ได้บรรลุธรรมสูงสุดแล้ว ไม่มีการเกิดใหม่อีก จึงมีพุทธพจน์ตรัสย้ำบ่อยๆ ว่า “ชาติ(การเกิด)สิ้นแล้ว . . .” (เช่น วินย.๑/๓/๙) “ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกลาย นี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ไม่มีภพใหม่อีก” (เช่น สํ.ม.๑๙/๙๐๘/๒๗๓)

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่อาจจะมีใครเป็นทั้งพระโพธิสัตว์และเป็นพระอรหันต์ได้ในเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังพุทธกาล ได้มีภิกษุกลุ่มหนึ่งเรียกว่าพวกอันธกะเกิดความเห็นผิดขึ้นว่า พระโพธิสัตว์เป็นอริยบุคคลได้ก็มี ต่อมาในการสังคายนาครั้งที่ ๓ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้มีการชำระสะสางการพระศาสนา สอบสวนพบบุคคลจากลัทธิภายนอกพุทธศาสนา ที่เข้ามาบวชปะปนอยู่ในสงฆ์แล้วได้ให้สึกไปเป็นจำนวนมาก ครั้งนั้น พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ประธานการสังคายนา ได้เรียบเรียงคัมภีร์กถาวัตถุขึ้น โดยประมวลลัทธิความเห็นผิดต่างๆ ที่นอกหลักการของพระพุทธศาสนา นำมาชี้แจงชำระสะสาง เพื่อให้ความเห็นผิดนั้นหมดไปจากพระพุทธศาสนา คราวนั้น ความเห็นของพวกอันธกะ ก็ได้ถูกยกขึ้นมาชี้แจงชำระสะสางในคัมภีร์กถาวัตถุด้วย พวกอันธกะมีความเห็นผิดดังนี้

“พระโพธิสัตว์ ได้หยั่งลงสู่ทางอันแน่นอน (อริยมรรค) มีพรหมจรรย์อันประพฤติแล้ว” (อภิ.ก.๓๗/๙๖๙/๓๑๒)

ตามคำวินิจฉัยในคัมภีร์กถาวัตถุนี้บ่งชัดว่า พระโพธิสัตว์ต้องเป็นผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใดทั้งสิ้น

ชาวสันติอโศกได้พยายามเขียนอธิบาย เพื่อสนับสนุน หรือเสริมฐานให้แก่ทฤษฎีของโพธิรักษ์ ดังเช่น คุณ ว. ชัยภัค ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีข้อเขียนที่เป็นวิชาการมากที่สุด ในเอกสารที่สันติอโศกพิมพ์เผยแพร่ในช่วงนี้ และล่าสุดได้มีข้อเขียน ลงในนิตยสาร “สมาธิ” (ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๓ หน้า ๑๔-๑๙) ตอนหนึ่ง คุณ ว. ชัยภัค ได้กล่าวอ้างข้อความในคัมภีร์กถาวัตถุมายืนยันว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยบุคคลได้ โดยยกหลักฐานว่า

“ในพระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุปกรณ์ ระบุไว้ว่า “พระโพธิสัตว์ได้หยั่งลงสู่ทางอันแน่นอน (อริยมรรค) มีพรหมจรรย์อันประพฤติแล้ว”

ข้อความในคัมภีร์กถาวัตถุที่ยกมาอ้างนี้ ความจริงเป็นความเห็นผิดนอกพุทธศาสนา ที่ท่านยกขึ้นมากล่าวไว้เป็น บทตั้ง เพื่อชี้แจงชำระสะสางให้หมดไป แต่คุณ ว. ชัยภัค กลับยกมาอ้าง ในลักษณะที่ให้เข้าใจว่า คำกล่าวนั้นเป็นความเห็นในพระพุทธศาสนาตามคัมภีร์กถาวัตถุ เป็นการอ้างหลักฐานที่ผิดพลาด ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง อย่างที่เรียกว่า เป็นการกล่าวตู่คำสอนในพระพุทธศาสนา และเป็นการอ้างความเห็นผิดนอกหลักพระพุทธศาสนา มายืนยันความเห็นผิดของตน แม้แต่คำศัพท์ต่างๆ ในทางภาษา เช่น แปลโดยพยัญชนะ แปลโดยอรรถ และคำศัพท์ในทางธรรม เช่น สมมติ และปรมัตถ์ ก็ถูกนำมาใช้ในความหมายที่คลาดเคลื่อน การกระทำเช่นนี้อาจจะมิใช่เป็นด้วยเจตนาที่จะบิดเบือน หรือแกล้งกล่าวให้คลาดเคลื่อน แต่อาจจะเกิดจากการขาดความรู้พื้นฐาน การที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ จับความไม่ถูกก็ได้ แต่รวมแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงต่อพระศาสนา และความรู้ความเข้าใจของประชาชน ถ้ายังไม่ศึกษาให้ดี ให้มีความเข้าใจในหลักพระศาสนาเป็นพื้นฐานพอสมควร การเผยแพร่ความรู้ความคิดเห็น อาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และความสับสนไขว้เขวมากยิ่งขึ้น

คุณ ว. ชัยภัค แยกพระโพธิสัตว์เป็น ๒ ประเภท คือ พระโพธิสัตว์ที่เป็นพระอรหันต์ (ซึ่งยังไม่เคยมี นอกจากท่านโพธิรักษ์ที่จะเป็นองค์แรก) และพระโพธิสัตว์ที่เป็นปุถุชน (อย่างที่พระพุทธเจ้าของเราเคยเป็นก่อนตรัสรู้) แล้วเขียนอธิบายไว้ว่า “อย่างแรก พระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ที่บำเพ็ญบารมีสร้างโพธิญาณสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนสูงสุด จึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า” แต่ตามหลักการของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่า แม้แต่พระอรหันต์ระดับสามัญที่สุด ที่เรียกว่าพระปัญญาวิมุต ก็หลุดพ้นบริบูรณ์แล้ว เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความแตกต่างหรือความพิเศษกว่ากันมีเพียงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ค้นพบและเป็นผู้บอกมรรคา ส่วนพระปัญญาวิมุตเป็นผู้เข้ามาสมทบทีหลัง (สํ.ข.๑๗/๑๒๕-๖/๘๑) จึงไม่มีเรื่องที่ว่า พระอรหันต์จะต้องไปบำเพ็ญบารมีสร้างโพธิญาณอะไรกันอีก เพราะพระอรหันต์ก็บรรลุโพธิอยู่แล้ว และว่าที่จริงพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง แต่เป็นพระอรหันต์ที่เป็นสัมมาสัมพุทธะ (เป็นผู้ตรัสรู้เอง และเป็นผู้ประกาศธรรม) ส่วนพระอรหันต์อื่นๆ ที่เป็นพระสาวกก็เป็นพุทธะ แต่เป็นสาวกพุทธะ หรืออนุพุทธะ (เป็นผู้ตรัสรู้ตาม) แล้วพระอรหันต์ซึ่งก็เป็นพุทธะอยู่แล้ว จะต้องไปเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อสร้างบารมีให้เป็นพุทธะอีกทำไม

ตามหลักการของท่านโพธิรักษ์ว่า พระโพธิสัตว์ประเภทหนึ่งเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว และท่านโพธิรักษ์เอง ก็จะเป็น (หรือว่าเป็นแล้ว – พึงตรวจสอบหลักฐาน) ทั้งพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์ในเวลาเดียวกัน ในเมื่อพระอรหันต์ ก็เป็นพุทธะอยู่แล้ว พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีนั้น ผลสำเร็จสุดท้ายที่จะให้บรรลุจุดหมายเป็นพระพุทธเจ้า ก็รออยู่อย่างเดียว คือความเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นทั้งพระโพธิสัตว์และเป็นทั้งพระอรหันต์พร้อมอยู่ด้วยกันได้แล้ว โดยเฉพาะในเมื่อพระโพธิสัตว์ท่านนี้ก็เป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว ต่อไปคุณ ว. ชัยภัค ก็อาจจะพูดว่า เป็นทั้งพระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้าได้ในเวลาเดียวกัน และถ้าก้าวเลยนั้นจะพูดต่อไปอีกหรือไม่ว่า ท่านโพธิรักษ์ก็เป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว

คุณ ว. ชัยภัค เขียนไว้อีกว่า พระอรหันต์ที่เป็นพระโพธิสัตว์สามารถตั้งจิตเกิดได้ เพราะการไม่เกิดอีกนั้นยากแสนยาก แต่การเกิดนั้นง่าย แต่ตามหลักการเดิมของพระพุทธศาสนา การที่พระอรหันต์ไม่เกิดอีกนั้น เป็นเพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก จึงไม่เกิด ไม่ใช่เรื่องที่จะยากจะง่าย หรือจะตั้งจิตไม่ตั้งจิต แต่เป็นธรรมดาของความเป็นไป ตามเหตุปัจจัยหรือความหมดเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง

คุณ ว. ชัยภัคว่า พระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ได้ แต่เป็นพระอริยบุคคลอื่นไม่ได้ คือ เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามีไม่ได้ เพราะจะเกิดอีกเพียง ๗ ชาติ อีกชาติเดียว และไม่เกิดอีกเลย ตามลำดับ ขอเสนอ คุณ ว. ชัยภัคว่า ถ้าจะพูดไม่ให้ขัดกันเอง น่าจะบอกว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นพระโสดาบันก็ได้ พระสกทาคามีก็ได้ พระอนาคามีก็ได้ เพราะการไม่เกิดอีกนั้นยากแสนยาก แต่การเกิดนั้นง่าย พระอรหันต์สามารถที่จะไม่เกิดแล้ว ก็จึงตั้งจิตจะเกิดใหม่ก็ได้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามีสามารถคุมลดการเกิดเหลือเพียง ๗ ชาติ ๑ ชาติ และไม่ต้องเกิดอีกได้ ถ้าจะตั้งจิตมาเกิดอีกเท่าใดก็ได้ เพราะไม่เกิดยากกว่าเกิด

อนึ่ง คุณ ว. ชัยภัค ยืนยันว่าท่านโพธิรักษ์ไม่เคยประกาศว่าท่านเป็นพระอรหันต์ (เท็จจริงอย่างไร พึงพิสูจน์หลักฐานเอง) แต่คุณ ว. ชัยภัค ยอมรับว่าท่านโพธิรักษ์เป็นพระอริยะ แต่จะเป็นโสดาบัน เป็นสกทาคามี หรือเป็นอนาคามีก็แล้วแต่ และในที่นี้คุณ ว. ชัยภัค แสดงหลักการว่า พระโพธิสัตว์เป็นโสดาบัน เป็นสกทาคามี หรือเป็นอนาคามี ไม่ได้ เป็นได้แต่พระอรหันต์กับปุถุชน ถ้าว่าตามหลักการของ คุณ ว. ชัยภัค (คือของท่านโพธิรักษ์เอง?) ท่านโพธิรักษ์ก็เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ เพราะเป็นอริยะแต่ไม่เป็นพระอรหันต์ คุณ ว. ชัยภัค นับถือท่านโพธิรักษ์เป็นพระโพธิสัตว์ แต่กำลังวินิจฉัยว่าท่านโพธิรักษ์ไม่เป็นพระโพธิสัตว์ ไปๆ มาๆ ในที่สุด ตามทฤษฎีของคุณ ว. ชัยภัค พุทธศาสนาคงจะเป็นอะไรก็ได้ และอะไรก็ได้เป็นพุทธศาสนา ดูคล้ายกับว่า คุณ ว. ชัยภัค กำลังเล่นสนุกอะไรสักอย่างกับหลักการของพระพุทธศาสนา

ตามบัญญัติใหม่ของท่านโพธิรักษ์ ที่คุณ ว. ชัยภัค นำมาแสดงนี้ เมื่อท่านโพธิรักษ์ประกาศตัวเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว บัญญัติของท่านนั้นเอง ก็บังคับให้ท่านต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์ด้วย ท่านก็ควรประกาศตัวให้ชัดเจนว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว หรือถ้าท่านไม่เป็นพระอรหันต์ แต่เป็นพระอริยะชั้นต่ำลงมา ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ท่านก็ควรประกาศออกมาให้ชัดเจนว่า ท่านเผลอบอกผิดไป

ในตอนท้าย คุณ ว. ชัยภัคก็ตัดสินเอาว่า การขอร้องให้ผู้แสดงหลักการนอกพระพุทธศาสนา แสดงความซื่อตรง ด้วยการสละรูปแบบของพุทธศาสนาออกไปนั้น เป็นการกระทำต่อคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับตน เข้าใจว่า คุณ ว. ชัยภัค ยังสับสน ไม่สามารถแยกระหว่างความเห็นส่วนตัวกับหลักการ ว่าเกณฑ์ตัดสินคือหลักการ ไม่ใช่เพียงความเห็นของบุคคล และความเห็นของบุคคลนั้น ก็ควรต้องแยกระหว่าง ความเห็นที่อิงหลักความจริง อิงหลักฐาน อิงหลักการ อิงธรรม อิงวินัย กับความเห็นที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งสร้างภาพเอาเอง ในที่นี้ ได้ตั้งข้อพิจารณาว่า คนที่ดัดแปลงบิดเบือนพุทธพจน์ และนำไปอ้างให้คลาดเคลื่อนนั้น เป็นผู้ลบล้างหลักการของพระพุทธศาสนา แล้วได้เสนอข้อพิจารณาว่า คนที่ลบล้างหลักการของพระพุทธศาสนาเช่นนั้น เมื่อไม่ถือตามหลักการที่พระพุทธเจ้าวางไว้แล้ว ก็ควรจะแสดงความชื่อตรง ด้วยการสละรูปแบบของพระพุทธศาสนาออกไปเสีย และได้วิงวอนขอร้องต่อท่านโพธิรักษ์ ให้แสดงความซื่อตรงต่อความจริง การที่ชาวสันติอโศกอ่านข้อพิจารณาและคำขอร้องอย่างนี้ ในความหมายว่า เป็นการขับคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับตนออกจากศาสนานั้น จะทำให้หลงประเด็นและละเลย มองข้ามเรื่องราวที่แท้จริงไปเสีย จึงต้องขอร้องต่อชาวสันติอโศก เช่นเดียวกับที่เคยขอร้องต่อท่านโพธิรักษ์มาแล้วว่า ขอให้เห็นแก่หลักการของพระศาสนา และความซื่อตรงต่อความจริง

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเหล่านี้จะได้เขียนแยกออกไว้เป็นแต่ละเรื่องๆ ต่างหากตามแต่จะมีเวลา แต่ในที่นี้ ต้องการเพียงให้เห็นว่า การทำความผิดในข้อ ๓) ของท่านโพธิรักษ์ เป็นการกระทำที่เลยขั้นตีความไปแล้ว และเป็นการทำลายหลักการของพระพุทธศาสนาอย่างไร

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< — — ข. การอ้างพุทธพจน์โดยตัดทอนหรือบิดเบือนความ ให้สนับสนุนมังสวิรัติการตีความพระธรรมวินัย >>

No Comments

Comments are closed.