ชีวิตจะรุ่งเรือง สังคมจะเลิศล้ำ ต้องหมั่นทำแบบฝึกหัดไม่ว่างเว้น

5 กรกฎาคม 2541
เป็นตอนที่ 9 จาก 11 ตอนของ

ชีวิตจะรุ่งเรือง สังคมจะเลิศล้ำ
ต้องหมั่นทำแบบฝึกหัดไม่ว่างเว้น

คนเรานี้จะเจริญขึ้นมาเฉยๆ ได้อย่างไร คนที่อยู่ท่ามกลางความสุขนั้นพัฒนายาก ความสามารถเกิดได้ยาก คนโดยมากพัฒนาจากความทุกข์และปัญหา ปัญหาทำให้คนพัฒนา เราพูดได้ว่า ปัญหาคือเวทีพัฒนาปัญญา คนที่เก่งก็คือคนที่สามารถพลิกปัญหาให้เป็นปัญญา ถ้าเราเปลี่ยนปัญหาเป็นปัญญาได้ ก็คือความสำเร็จ และปัญหาก็จะจบสิ้นหายไปเมื่อเราเกิดปัญญา

ปัญหากับปัญญานี้เป็นคู่ตรงข้ามกัน เราจะต้องเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา แต่เราจะได้ปัญญาเราต้องเจอปัญหา เพราะฉะนั้น ชีวิตและสังคมที่เจอปัญหาจึงนับว่ามีโชคดีในแง่หนึ่ง

ชีวิตก็ตาม สังคมก็ตาม จะเจริญได้ดี ต้องมีแบบฝึกหัด คนที่มีแต่ความสุขนั้น ชีวิตไม่มีแบบฝึกหัด เมื่อชีวิตไม่มีแบบฝึกหัดก็ไม่ได้ฝึกตนเอง จึงเจริญได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงขอให้เราภูมิใจเถิด สังคมไทยตอนนี้อย่าท้อแท้ เจอทุกข์เจอภัยแล้วต้องเข้มแข็ง และมองให้ถูก คือมองอย่างที่ว่าเมื่อกี้ว่า เราเจอแบบฝึกหัดแล้ว ถ้าเราไม่เจอแบบฝึกหัดเราจะไม่เข้มแข็ง แต่จะอ่อนแอเหมือนก่อนนี้ที่เป็นมา เพราะที่ผ่านมาแต่ก่อนนี้เราอ่อนแอและไม่รู้จักสร้างสรรค์ เพราะเราไม่เจอแบบฝึกหัด ตอนนี้ดีแล้วที่เราได้แบบฝึกหัด ขอให้เรามาช่วยกันทำแบบฝึกหัด โดยตั้งท่าทีต่อสถานการณ์ให้ถูกต้อง เมื่อตั้งท่าทีถูกต้องแล้วจะเกิดกำลังใจ

คนที่มีทุกข์บีบคั้นมีภัยคุกคามนั้น อย่างที่บอกแล้วว่า โดยธรรมชาติก็ควรจะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวายอยู่แล้ว แต่การที่จะไม่ลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวายย่อมเป็นด้วยเหตุ ๒ อย่าง

อย่างที่หนึ่ง คือ ยากล่อม พอจะลุกขึ้นดิ้นสักหน่อย เจอยากล่อมเข้าก็เลยสบาย เพลิน รอความหวัง รอโชค รอการดลบันดาล หรือไม่ก็

อย่างที่สอง คือ มัวแต่ระทดระทวยออดอ้อนคร่ำครวญ ซ้ำเติมตัวเองเสีย เพราะคนที่สุขมานานจนเคยชินกับความสุขนั้น พอเจอทุกข์เข้า บางทีปรับใจไม่ทัน แทนที่จะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวายก็มัวแต่โอดโอยกอดเข่าเจ่าจุกเสีย

ยิ่งในสภาพวิกฤตอย่างนี้ ทุกข์หรือปัญหาจะมาแบบเงียบและลึก ไม่เห็นชัดเจนตื่นเต้นเหมือนการรบพุ่งสงครามแบบใช้อาวุธที่เรียกว่า hot war ไม่ใช่สงครามร้อน ก็เลยทำให้เรายิ่งนอนใจ ภัยลึกๆ ภัยเงียบๆ ของภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ได้รบราใช้อาวุธ จึงทำให้ประมาทได้ง่าย และเมื่อมัวเพลินอยู่ ก็ไม่รู้ตัว

ถ้าเป็นภัยอันตรายแบบสงครามร้อนจะรู้สึกตื่นตระหนกคับขันจวนตัว ถ้ามันมาถึงตัวเราจะต้องตายหรือบาดเจ็บ เมื่อเรากลัวตายก็ต้องลุกขึ้นสู้หรือหนีอย่างแน่นอน แต่ภัยเย็นแบบนี้บางทีก็เลยเย็นตายไปเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงถึงเวลาที่จะต้องปลุกใจคนไทยขึ้นมา และจุดแก้ปัญหาก็อยู่ที่คุณภาพมนุษย์นี่แหละ

อยากจะให้สนใจเรื่องวิกฤตคุณภาพมนุษย์ ซึ่งสำคัญกว่าวิกฤตเศรษฐกิจ บางทีเราอาจจะเพลินกับการที่จะแก้วิกฤตเศรษฐกิจโดยหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่น แล้วก็ยิ่งลืมตัวหนักเข้าไปอีก การแก้ปัญหาอย่างนั้นไม่ใช่การสร้างสรรค์ที่แท้จริง ที่เป็นแก่นสารและยั่งยืน การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องเกิดจากการสร้างสรรค์ความเจริญด้วยฝีมือของเราเอง ในสังคมของเรา ซึ่งหนีไม่พ้นจากการที่จะต้องเป็นนักผลิตนักสร้างสรรค์

การที่จะเป็นนักผลิตนักสร้างสรรค์ได้ จะต้องมีความเข้มแข็งและทำจริงทำจัง ด้วยความเพียรพยายามอย่างมั่นคงอดทนระยะยาว ไม่ใช่ทำวูบๆ วาบๆ และมิใช่ว่าได้มาเพียงด้วยความฝัน หรือรอการหยิบยื่นให้ น่าสังเกตว่าเวลานี้สังคมไทยมีนักรอการหยิบยื่นให้มากมายเหลือเกิน

เรื่องเก่าที่พูดบ่อยๆ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องย้ำก็คือ สังคมไทยเวลานี้ถึงจุดสำคัญแล้วที่จะเริ่มสร้างสรรค์ และเป็นกาลเวลาซึ่งมีแง่มองที่ดีหลายอย่าง ดังที่ว่าเมื่อกี้ ระยะที่แล้วมาเป็นช่วงเวลาแห่งการทำลาย ต่อไปนี้จะต้องถึงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ แล้วสังคมไทยยุคนี้จะเป็นยุคของการสร้างชาติ ซึ่งจะเป็นการสร้างสรรค์ระยะยาว คนไทยจะต้องมีความเข็มแข็ง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราสะสมแต่ความอ่อนแอ ความเป็นนักบริโภคที่ชอบหาความสุขสำราญก็แสดงลักษณะของความอ่อนแออยู่ในตัวแล้ว ความเป็นนักรอผลดลบันดาลยิ่งซ้ำความอ่อนแอนั้นให้หนักลงไปอีก ทั้งคู่นี้ไม่เป็นนักทำ ถึงตอนนี้จะต้องเปลี่ยนทั้งหมด แต่จะเปลี่ยนไหวหรือเปล่า

ลัทธิรอผลดลบันดาลเวลานี้ครอบคลุมสังคมไทยไปทั่ว และบริโภคนิยมก็ครอบงำไปหมด ขอให้ช่วยกันคิดว่าเราจะแก้ไหวไหม ขนาดมีวิกฤตเศรษฐกิจอย่างนี้ ซึ่งบังคับให้ต้องประหยัด เราก็ประหยัดเพราะจำเป็นจำใจ แทนที่จะประหยัดโดยเป็นนิสัยหรือด้วยปัญญาที่เข้าใจเหตุผล

มีญาติโยมมาเล่าให้ฟังว่า อย่างแถวประชานิเวศน์ ตอนนี้สิ่งบริโภคอะไรต่างๆ ราคาแพง คนต้องทำอาหารกินเองกันมากขึ้น ซื้อของราคาถูกลง ร้านอาหารก็ปิดไปมาก ดูคล้ายๆ ว่าคนเราประหยัดขึ้น โดยทำอาหารเองหรือกินของถูกลง แต่พอมองให้ชัดอีกหน่อย ปรากฏว่า “ผับ” ผุดขึ้นมามาก ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนี่แหละผับเกิดขึ้นเยอะแยะ กลับเพิ่มมากกว่าเก่า กลายเป็นอย่างนั้นไป ความเป็นบริโภคนิยมไม่ได้ลดลงไปกับวิกฤตเศรษฐกิจนี้ แสดงว่า ทุกข์ภัยยังไม่เป็นแบบฝึกหัดสำหรับพวกเราเลย

ถ้าจะแก้ปัญหากันจริง เราจะต้องเอาทุกข์ภัยในวิกฤตมาเป็นแบบฝึกหัดให้ได้ เพื่อฝึกพวกเราให้เก่ง ให้สามารถ ให้พัฒนาตัวเอง ให้มีสติปัญญาความแกล้วกล้าเข้มแข็งเพิ่มขึ้น

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< เบื้องหลังประเทศที่พัฒนา คือประวัติการฟันฝ่าทุกข์ภัยการประหยัด คือแบบฝึกหัดแรกที่รอพิสูจน์คนไทย >>

No Comments

Comments are closed.