ถ้าเก่งจริง ต้องเอาประโยชน์จากทุกข์ภัยให้ได้

5 กรกฎาคม 2541
เป็นตอนที่ 3 จาก 11 ตอนของ

ถ้าเก่งจริง ต้องเอาประโยชน์จากทุกข์ภัยให้ได้

เป็นธรรมดาของธรรมชาติมนุษย์อย่างหนึ่ง สำหรับปุถุชนซึ่งไม่ได้รับการพัฒนาเพียงพอว่า มนุษย์นั้นจะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวายเมื่อมีทุกข์ภัยคุกคาม พอโดนทุกข์บีบคั้นหรือถูกภัยคุกคามก็นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ นอนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นดิ้นรนหาทางแก้ไข ตอนนี้แหละจะเกิดพลัง และคนจะเริ่มเดินหน้าก้าวต่อไปก็ตอนนี้เอง

เวลาที่สุขสบายเสียอีก จะเป็นช่วงเวลาที่คนมักหลงระเริงมัวเมา นอนเสวยความสุข มีอะไรที่ควรทำก็ไม่ทำ ชอบผัดเพี้ยน เพราะกำลังเพลินกับความสุข เลยบอกว่าเอาไว้พรุ่งนี้เถอะ เอาไว้มะรืนก็ได้ ชอบผัดเพี้ยนกันอยู่อย่างนี้ จนความเสื่อมเข้ามาถึงตัว

ตามหลักของความเจริญที่แท้จริงนั้น มนุษย์ที่เรียกว่าเป็นผู้ไม่ประมาท จะต้องรู้จักใช้สถานการณ์ทั้งยามสุขและยามทุกข์ให้เป็นประโยชน์

สุข นั้นแปลว่าคล่อง สะดวก ง่าย ซึ่งมีนัยที่แสดงถึงการกระทำ หมายความว่า ยามสุข ก็คือยามที่เราจะทำอะไรก็ทำได้ง่าย ทำได้สะดวก หรือทำได้คล่อง เพราะเวลานั้นไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีอะไรขัดขวาง ถ้าต้องการจะทำก็ทำได้คล่อง สะดวกสบาย ตรงข้ามกับทุกข์ที่แปลว่าติดขัด คับข้อง ยากลำบาก จะทำอะไรก็ไม่สะดวก

อย่างไรก็ตาม ในยามที่มีภาวะคล่องตัว คือสุข จะทำอะไรก็ทำได้ง่ายและสะดวกนั้น คนจะไม่ค่อยทำ แต่จะปล่อยโอกาสให้ล่วงเลยเสียไปเปล่า เอาแต่นอนสบาย หรือไม่ก็หลงระเริงมัวเมา นี้ก็คือประมาท เพราะฉะนั้นจึงเสียโอกาสไป จนถึงยามทุกข์มาถึงตัวเข้าบ้าง คราวนี้ก็เอาละ ดิ้นรนขวนขวายกันใหญ่ ลุกขึ้นมา แล้วก็โวยวายๆ ตอนนี้ถ้าตั้งหลักให้ดี ก็จะกลับเริ่มทำหรือเริ่มสร้างสรรค์กันใหม่

ชีวิตบุคคล ครอบครัว วงศ์ตระกูล ประเทศชาติ อารยธรรมทั้งหมด ขอให้ดูเถอะ จะเริ่มสร้างสรรค์ความเจริญเมื่อยามมีทุกข์มาบีบคั้น ลองสำรวจภูมิหลังของประเทศที่เจริญทั้งหลายในปัจจุบันนี้ จะเห็นจุดเริ่มของความก้าวหน้าว่ามาจากความยากแค้นและความทุกข์ ส่วนประเทศที่มีภูมิหลังสะดวกสบายนั้น ขอให้สำรวจดูเถิด ไม่ค่อยจะไปไหนเท่าไรเลย โดยมากจะเพลิดเพลินหลงระเริงมัวเมา เอาแต่สนุกสนานบันเทิง

ที่ว่ามานี้มิใช่จะเป็นกฎที่ตายตัว ความเป็นจริงมีอยู่อย่างนั้น แม้จะก็มีเงื่อนไขตัวแปรและปัจจัยประกอบหลายอย่าง แต่เมื่อว่ากันตามหลักทั่วไปก็อย่างที่พูดเมื่อกี้ คือ เมื่อถูกทุกข์บีบคั้นภัยคุกคาม มนุษย์จะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย เมื่อสุขสบายก็มีความโน้มเอียงที่จะนอนเสวยความสุข

หลักทั่วไปที่ว่า เมื่อทุกข์บีบคั้นภัยคุกคาม คนจะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวายนั้น บางทีก็มีเงื่อนไขตัวแปรเข้ามาที่จะทำให้ไม่ดิ้นรนขวนขวาย เช่นอาจจะมีสิ่งกล่อมเข้ามา พอจะดิ้นรนขวนขวายหน่อย เจอสิ่งกล่อมเข้าก็เลยเพลิน สบาย ปลอบใจตัวเอง นอนรอ ตอนนี้ไม่ใช่นอนเสวยสุข แต่นอนด้วยความหวังกรุ่มกริ่มกระหยิ่มใจ รอความช่วยเหลือของอำนาจดลบันดาลจากภายนอก หรือรอโชคช่วย นี้เป็นตัวอย่างเรื่องหนึ่ง

ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่สังคมไทยจะต้องทำความเข้าใจ เพราะว่ามันกำลังครอบงำสังคมของเราอยู่ ปัญหาสำหรับพวกเราก็คือ เวลานี้ทุกข์ภัยเข้ามาคุกคามสังคมไทยของเราแล้ว สังคมของเราจะได้ประโยชน์จากทุกข์ภัยและความยากแค้นนี้หรือไม่ หมายความว่าเราจะทำทุกข์ภัยนี้ให้เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ เมื่อมองในแง่นี้ จะต้องระลึกไว้ให้ดีว่า เราอาจจะไม่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ก็ได้ถ้าเราปฏิบัติต่อมันไม่ถูกต้อง จึงต้องมองให้ลึกลงไปอีกว่า วิกฤตเศรษฐกิจเวลานี้ ยังมีสิ่งสำคัญเป็นปัจจัยซ้อนอยู่เบื้องหลังอีกชั้นหนึ่ง

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ว่า “วิกฤตเป็นโอกาส” แต่เรารู้จักใช้โอกาสนั้นหรือเปล่าวิกฤตเศรษฐกิจยังไม่เท่าไร เรื่องใหญ่แท้คือวิกฤตคุณภาพของคน >>

No Comments

Comments are closed.