ชีวิตและสังคมเสียสมดุล

7 พฤษภาคม 2531
เป็นตอนที่ 14 จาก 22 ตอนของ

ชีวิตและสังคมเสียสมดุล

จะขอยกตัวอย่างที่ว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้เกิดปัญหาที่ว่า คนไม่มีความสุขอย่างแท้จริง แม้จะมีความพรั่งพร้อมทางวัตถุ และมีปัญหาใหม่ที่จะต้องแก้ ขอยกตัวอย่างประเทศที่เจริญมากๆ เพื่อให้เห็นว่า เขามีปัญหาในด้านต่างๆ อย่างไร ขอให้มองดูโลกยุคพัฒนา โดยเน้นที่ประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วชั้นนำ แต่ปัจจุบันมีปัญหาหนักทั้งชีวิต สังคม และธรรมชาติแวดล้อม หนักทั้งทางด้านใจและกาย ขอยกตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ

ทางด้านจิตใจ คณะกรรมาธิการสุขภาพจิตของประธานาธิบดี ได้แถลงว่า พลเมืองของสหรัฐทุก ๑ ใน ๔ คน มีปัญหาความกดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง นักจิตวิทยาของสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของอเมริกาเหมือนกัน กล่าวว่า แทบไม่มีครอบครัวใดในประเทศอเมริกา ที่ปลอดพ้นจากอาการจิตผิดปกติ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง สภาพวิปริตแปรปรวนทางจิตใจ ได้แพร่ระบาดในสังคมอเมริกา มีความสับสน มีความแปลกแยก มีความห่วงกังวลเกี่ยวกับอนาคตของสังคมของตนเอง เมื่อมองไปในด้านการแสดงออกทางพฤติกรรม ก็ปรากฏว่า มีคนฆ่าตัวตายมากขึ้น เช่น ในปี ๒๕๒๕ มีคนฆ่าตัวตาย ๒๘,๒๔๒ คน

ทางด้านร่างกาย เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ เรามีการแพทย์ที่เจริญขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่สามารถพิชิตโรคภัยไข้เจ็บได้ โรคเก่าบางอย่างหมดไป แต่โรคใหม่บางอย่างก็เกิดขึ้นมา โรคเก่าบางอย่างทวีความรุนแรงขึ้นจนแก้จะไม่ไหว เพราะฉะนั้น คนในอเมริกาก็มีปัญหากับโรคหัวใจ และโรคมะเร็งอย่างมาก คนอเมริกันเป็นโรคมะเร็งตายแสนละ ๑๙๗.๗ คน ตายด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือทางเดินโลหิต แสนละ ๔๑๐.๗ คน เมื่อ ๒ ปีมาแล้ว คือปี พ.ศ. ๒๕๒๙ คนอเมริกันตายด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือหลอดเลือด ๙๘๖,๔๐๐ คน พูดคร่าวๆ ว่าล้านคน และเป็นมะเร็งตาย ๔๗๒,๐๐๐ คน คือ ประมาณครึ่งล้าน1

โรคใหม่ล่าสุด หรืออาจจะเป็นโรคเก่าที่ซ่อนตัวรอเวลามานาน จนถึงยุคพัฒนาที่คนมีสภาพจิตใจและสภาพสังคมเหมาะกับมัน จึงได้โอกาสเจริญงอกงามแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและร้ายแรงในปัจจุบัน ก็คือ โรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นอันตรายคุกคามที่คนยุคพัฒนาตื่นเต้นหวาดผวากันมาก เป็นปัญหาชีวิตทั้งด้านกายและด้านจิตใจ พร้อมกับที่เป็นปัญหาสังคมไปด้วย โรคเอดส์ตรวจพบในคนไข้รายแรกที่เมืองนิวยอร์คใน พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่เพิ่งมาแตกตื่นสนใจกันมากในระยะปีสองปีมานี้เอง เพราะแพร่ระบาดมากขึ้น มีตัวอย่างคนที่เป็นแล้วตายให้เห็นว่าน่ากลัวเพียงใด และยังไม่มียาที่จะรักษาให้หายได้ เป็นแล้วก็จะต้องตายทุกราย ในสหรัฐอเมริกานับถึงก่อนขึ้นปี ๒๕๓๐ มีคนเป็นโรคนี้แล้ว ๓๖,๐๐๐ คน ตายไปแล้ว ๒๑,๐๐๐ คน ในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วย ๔๐๐ ราย ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่า กว่าจะถึงปี ๒๕๓๔ คนอเมริกันจะป่วยเป็นโรคนี้ ๒๗๐,๐๐๐ คน และตายแล้ว ๑๗๙,๐๐๐ คน เฉพาะในปัจจุบัน คนอเมริกันที่เป็นสื่อนำโรคเอดส์มี ๑ ล้าน ๕ แสนคน (บางท่านว่า ๔ ล้านคน) ผู้ชายอเมริกันที่อายุระหว่าง ๒๐-๕๐ ปี จะติดโรคนี้ ๑ ในทุก ๓๐ คน และองค์การอนามัยโลกประมาณว่า กว่าจะถึงปี ๒๕๓๕ ทั่วโลกจะมีคนเป็นโรคเอดส์ ๕ แสน ถึง ๓ ล้านคน เนื่องจากโรคนี้มีระยะฟักตัวนานอาจถึงเกิน ๑๐ ปี คนที่มีโรคนี้อยู่ในตัวจึงเป็นสื่อนำโรคไปได้กว้างขวางและนานมาก ผู้เชี่ยวชาญบอกต่อไปอีกว่า โรคเอดส์นี้จะเป็นตัวทำลายล้างที่ร้ายยิ่งกว่าสงครามหลายครั้ง เช่นว่า ในเวลา ๔ ปีข้างหน้า มันจะฆ่าคนอเมริกันมากกว่าสงครามเวียดนามและสงครามเกาหลีรวมกัน มันจะเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญที่สุดของคนในทศวรรษหน้า และต่อเนื่องจนถึงศตวรรษต่อไป

เนื่องจากโรคเอดส์ เป็นโรคติดต่อ ซึ่งส่วนมากเกิดจากความสัมพันธ์ทางเพศ โดยเฉพาะมักเกิดแก่ผู้มีพฤติกรรมทางเพศแบบวิสามัญ คนที่สำส่อนในกามหรือไม่สำรวมในกาม และแก่พวกติดสิ่งเสพติดที่ใช้วิธีฉีดยาเข้าทางเส้นเลือด โรคเอดส์จึงมิใช่เป็นเพียงปัญหาทางกาย ที่เป็นแล้วทรมานและต้องตายทุกรายเท่านั้น แต่เป็นปัญหาจิตใจและเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญด้วย เพราะคนทั่วไปซึ่งยังมีชีวิตเกี่ยวข้องในทางเพศ จะดำเนินชีวิตด้วยความหวาดระแวงมากขึ้น มีความไม่มั่นคง ขาดความมั่นใจยิ่งขึ้น คนจะหวาดระแวงกันมากขึ้น ปัญหาจะโยงมาถึงชีวิตในครอบครัว และวงงาน คนที่ยังไม่เป็นก็ถูกระแวง คนที่เป็นแล้วก็ถูกรังเกียจ จะถูกคนอื่นกีดกันออกไปจากสังคม ไม่ให้มาตั้งบ้านอยู่อาศัยรวมกับคนอื่น ไม่ให้ร่วมงาน ไม่ให้เข้าเรียน บริษัทประกันไม่ยอมรับประกัน แม้แต่จะไปทำฟัน ทันตแพทย์ก็อาจจะไม่ยอมรักษาให้ เป็นต้น ตลอดถึงว่าสังคมจะมีคนที่มีคุณภาพต่ำลง แล้วสังคมก็จะเสื่อมลง แม้ในด้านเศรษฐกิจ ก็เป็นปัญหามาก การรักษาพยาบาลคนเป็นโรคนี้รายหนึ่งๆ จะใช้เงินค่ารักษา ๕๐,๐๐๐-๑๕๐,๐๐๐ ดอลล่าร์ (ประมาณ ๑,๒๕๐,๐๐๐-๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท) เมื่อปี ๒๕๓๐ รัฐบาลสหรัฐก็ได้ตั้งงบประมาณต่อสู้โรคเอดส์ถึง ๔๑๑ ล้านเหรียญ (ประมาณ ๑๐,๒๗๕ ล้านบาท) แต่ถ้ามองในแง่ดีก็เหมือนว่า โรคนี้มาช่วยสังคมให้ยับยั้งความชั่วร้ายและความลุ่มหลงมัวเมาลงบ้าง อันจะทำให้คนเกิดมีกามสังวร หรือความสำรวมในกามมากขึ้น และระวังตัวจากการใช้ยาเสพติดมากขึ้น แม้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้เอง ก็กล่าวว่า ชะตากรรมของคนจะพ้นจากโรคเอดส์ได้แค่ไหน อาศัยวิทยาศาสตร์ได้น้อย แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองได้เป็นสำคัญ จริยธรรมจึงต้องกลับมา กล่าวกันว่าโรคเอดส์เปิดศักราชใหม่ ทำให้เกิดการปฏิวัติทางเพศ ในทางตรงข้ามกับการเกิดขึ้นของยาเม็ดคุมกำเนิด ในช่วงปี ๒๕๐๐ เป็นต้นมา

ปัญหาใหญ่ของสังคมอเมริกันอีกเรื่องหนึ่ง คือ การติดยา หรือการมั่วสิ่งเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาทางร่างกายและจิตใจด้วย เมื่ออยู่ในสังคมไม่มีความสุข หวาดระแวง เครียด กระวนกระวาย กลุ้มใจกังวล อ้างว้าง โดดเดี่ยว ก็หันไปพึ่งสิ่งเสพติดช่วยระงับและกระตุ้นเร้า แต่ก็ได้ผลเพียงชั่วคราว เมื่อหมดฤทธิ์ยา ความทุกข์ก็กลับมา และเพิ่มยิ่งกว่าเก่า แถมยังเพิ่มทุกข์อย่างอื่นซ้ำเข้าอีก ยาเสพติดนั้นทำกายให้วิปริต และทำจิตให้วิปลาส ร่างกายก็ทรุดโทรมเกิดโรค และต้องหาเงินมาซื้อ เมื่อไม่มีและหาไม่ทัน ก็ต้องลักขโมยก่ออาชญากรรม นอกจากนั้น การงานก็เสื่อมเสีย ผลผลิตของชาติก็ลดต่ำลง และสังคมก็ต้องมีภาระใช้จ่ายเงินทั้งในการรักษาคนที่ติดยา คนที่เป็นโรคเนื่องจากยา ในการปราบปรามการลักลอบขนยาขายยา และในการปราบปรามอาชญากรรมที่คนติดยาไปก่อกระทำ อาชญากรรมที่รุนแรงมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายเมือง ซึ่งตำรวจบอกว่าเป็นเรื่องเกิดจากยาเสพติด ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ยาเสพติดทำให้ธุรกิจของอเมริกาสูญเสียผลผลิตลงไปปีละ ๖๐ พันล้านเหรียญ (ประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เฉพาะบุหรี่กับสุราก็ฆ่าคนอเมริกันปีละ ๔ แสนคนอยู่แล้ว ยาเสพติดอื่นๆ ยังเพิ่มเข้ามาเป็นเพชฌฆาตสังหารคนอเมริกันให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

ยาติดที่คนอเมริกันเสพมีสารพัด ตั้งแต่กัญชาไปจนถึงเฮโรอีน และไม่ใช่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่เสพและติด เด็กนักเรียนก็เสพและติดกันมาก และปรากฏว่าเด็กวัยรุ่นใช้ยาเสพติดมากกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ จากการสำรวจของสถาบันการติดยาแห่งชาติ ได้ตัวเลขออกมาว่า ใน พ.ศ. ๒๕๒๗ เด็กนักเรียนมัธยมในอเมริกาเคยดื่มสุราแล้วร้อยละ ๙๒.๖ เคยสูบบุหรี่ร้อยละ ๖๙.๗ เคยสูบกัญชาร้อยละ ๕๔.๙ เคยสูบเฮโรอีนร้อยละ ๑.๓ เฮโรอีนเป็นปัญหายาเสพติดที่ร้ายแรงที่สุดของชาติอเมริกันมาหลายสิบปี เพราะราคาแพง มีการลักลอบซื้อขาย และทำให้เกิดอาชญากรรมรุนแรง ตลอดจนก่อปัญหาสุขภาพ คนอเมริกันราว ๑,๕๐๐,๐๐๐ คน ใช้ยาเสพติดด้วยวิธีฉีดเข้าเส้นเลือด ทำให้การติดยาไปสัมพันธ์กับการเป็นโรคเอดส์ และปรากฏว่า คนไข้โรคเอดส์รายใหม่ทุก ๑ ใน ๔ ราย เป็นพวกติดยาที่ใช้วิธีฉีดเข้าเส้น ต่อมาเมื่อ ๒-๓ ปีนี้ คนเริ่มถอยจากเฮโรอีน และมีการนิยมยาเสพติดโคเคน หรือโคเคอีน โดยเฉพาะชนิดสูบได้ที่เรียกว่า “แครค” (crack) กันมากขึ้น นอกจากสูบได้แล้ว โคเคนนี้จะฉีดเข้าเส้นเลือดก็ได้ด้วย เวลานี้โคเคนได้เลื่อนขึ้นมาเป็นปัญหาสำคัญมาก เพราะเข้าถึงคนทุกชั้น ได้รับความนิยมกันมากแม้แต่ในหมู่นักบริหาร การติดทำให้เกิดความวิปลาสทางจิต ความวิปริตทางกาย ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมทางสังคม ความเสื่อมของประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้มีพฤติกรรมแบบรุนแรง เป็นยาที่ติดง่าย ไวที่สุด ราคาก็แพง เมื่อปี ๒๕๒๗ สำรวจได้ว่าเด็กนักเรียนมัธยมที่เคยใช้โคเคนแล้ว มีร้อยละ ๑๖.๑ มาในปี ๒๕๒๙ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า คนอเมริกันที่เคยลองโคเคนแล้วมี ๒๕-๓๐ ล้านคน ที่ใช้เป็นประจำ ๕ ล้านคน ที่ถึงขั้นติดเลยทีเดียว ๒-๓ ล้านคน

ทางด้านสังคม นอกจากปัญหาที่เนื่องอยู่กับกายและใจโดยตรงแล้ว ก็ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ปัญหาอาชญากรรม ความไม่ปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาครอบครัว ปัญหาคนชรา ปัญหาทางเพศ ปัญหาระหว่างผิว ปัญหาการว่างงาน ตลอดจนปัญหาความหวาดกลัวสงครามนิวเคลียร์ บางอย่างก็เป็นปัญหาเฉพาะ เชื่อมโยงและกระทบกับปัญหาอื่นโดยอ้อม แต่หลายอย่างเป็นปัญหาที่ส่งผลสืบทอดกับปัญหาอื่นๆ โดยตรง บางอย่างเป็นปัญหาสามัญของมนุษย์ บางอย่างก็เป็นปัญหาพิเศษเกี่ยวกับวัฒนธรรม และบางอย่างเป็นปัญหาของสังคมที่พัฒนาแล้วโดยเฉพาะ

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ไม่พัฒนาก็ติดขัด พัฒนาแล้วก็ติดตันโลกแห่งธรรมชาติ ก็คลาดจากดุล >>

เชิงอรรถ

  1. เรื่องนี้ได้พูดไว้มากแล้วใน “มองอเมริกา มาแก้ปัญหาไทย” จึงไม่พูดย้ำในที่นี้

No Comments

Comments are closed.