ใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพ

29 พฤศจิกายน 2544
เป็นตอนที่ 11 จาก 20 ตอนของ

ใช้เสรีภาพ อย่างไร้อิสรภาพ

ที่พูดมานั้น เป็นการว่าไปตามหลัก ที่เป็นเหตุผลพื้นฐาน แต่เรื่องอย่างนี้ยังมีปัจจัยประกอบอื่นด้วย คือเรื่องสภาพแวดล้อมที่เอื้อหรือไม่ ถึงตรงนี้ก็มาเข้ากับเรื่องที่ได้พิจารณากันมาตั้งแต่ต้นคือเรื่องค่านิยมของยุคสมัย หรือกระแสสังคม ซึ่งอาจจะถึงขั้นสวนทางกัน ทำให้ไม่ยอมมองเหตุผลอะไรทั้งนั้น

อย่างที่พูดมาข้างต้น ตอนนี้ก็ลำบาก สังคมไทยได้ไถลลงไปลึกมากแล้ว ในกระแสบริโภคนิยม ในการหาสิ่งเสพ และการตามใจเอาใจรอรับการบำเรอ เริ่มต้นความคิดก็มองไปที่ความโก้หรูหรา ใครมีเสพบริโภคมาก แสดงความโก้เก๋หรูหราได้มาก คือยอดเยี่ยม ไม่ใช่สังคมแบบฝรั่งอย่างเก่าที่สืบกันมาว่าใครเอาชนะสิ่งยากได้คือยอดเยี่ยม ถ้าจะเป็นอย่างฝรั่ง ก็ต้องเอาแนวเขาตามพื้นฐานแบบนั้น แต่สังคมไทยก็ไม่มีวิถีทางที่จะเป็นแบบนั้น เราอยู่ในวิถีแห่งความโก้เก๋หรูหราที่เป็นเพียงหนทางของคนอ่อนแอ จับเอาแต่สภาพบริโภคนิยมที่เป็นส่วนเปลือกผิวของสังคมฝรั่งอย่างเช่นอเมริกัน

เมื่อกระแสนิยมของสังคมเป็นอย่างนั้นแล้ว คนตั้งหน้าตั้งตาแต่จะเสพจะบริโภคจะบำรุงบำเรอแล้ว การใช้สิทธิมนุษยชนก็มุ่งไปในทางที่จะสนองค่านิยมเสพบริโภคโก้เก๋ ไม่สนองจิตสำนึกในการฝึกตน หรือจิตสำนึกนั้นจะไม่มีเอาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำการสร้างสรรค์อะไรๆ ก็เป็นการฝืนใจทั้งนั้น ฝืนใจขนาดหนักเลย เมื่อการศึกษาที่จัดตั้งไว้กลับไปสนองวิถีของสังคมแบบนั้น หรือไม่อาจแก้ไขวิถีของสังคมที่เป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นการศึกษาที่ล้มเหลว เมื่อการศึกษาล้มเหลว ก็พาสังคมล้มเหลว และประเทศชาติล้มเหลว

กระแสนิยมของสังคมนั้นเปลี่ยนได้ อาจจะไปในทางสุดโต่งที่ตรงข้ามก็ได้ บางทีมีการจัดตั้งที่ปลุกเร้าสร้างกระแสใหม่ขึ้นมาก็ได้ ทำไมฮิตเลอร์ถึงเปลี่ยนเยอรมันได้ นั่นก็เป็นตัวอย่าง

ในกระแสที่ตรงข้ามนั้น คนไม่ให้คุณค่าแก่ความหรูหรา ไม่เชิดชูความโก้เก๋ คนไม่เอาด้วยกับความโก้เก๋หรูหรา แต่ใจหันไปนิยมที่จะแสดงความเข้มแข็งเหี้ยมหาญเกรียงไกร พอกระแสนี้แรงขึ้นมา แค่นี้แหละคนก็กลับไปชอบระเบียบวินัย มันเต็มใจเต็มที่เลย นี่ก็อยู่ที่การเปลี่ยนทัศนคติของมนุษย์ แล้วกว้างออกไปก็โยงกับค่านิยม กับทิฏฐิ ยิ่งมีศรัทธาเข้ามาเสริม ก็ยิ่งเข้มขันจริงจังหรือถึงกับรุนแรง พอเปลี่ยนทัศนคติได้ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปเลย ส่วนที่ว่าทัศนคติใหม่นั้นจะดีหรือไม่ดี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยหลักการ การศึกษาต้องสามารถเปลี่ยนทัศนคติของคนได้ ไม่ใช่ไม่ทำอะไร ได้แต่รอสนองตามใจคน

ไม่เฉพาะว่าจะตามฝรั่งไม่ได้จริงในเรื่องทั่วไป แม้แต่ในทางการศึกษา ที่ว่าเราตามฝรั่งนั้น ก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ คือเราตามเขาเพียงในด้านระบบและรูปแบบ แต่ในเรื่องที่เป็นเนื้อหาสาระ เราตามเขาไม่ได้เลย

ฝรั่งเองก็ไม่ใช่ว่าดี อย่างที่บอกแล้วว่าเขาสร้างความสำเร็จและความเจริญด้วยความพยายามเอาชนะธรรมชาติ ไม่ใช่แค่จะเอาชนะธรรมชาติ เขามุ่งจะเอาชนะคนด้วยกัน คือความสำเร็จอยู่ที่มีชัยชนะในระบบแข่งขัน การศึกษาของเขาก็จัดตั้งให้สนองเป้าหมายนี้แม้แต่โดยไม่รู้ตัว เริ่มตั้งแต่การเลี้ยงดูในครอบครัวก็ฝึกเด็กไปตามวัฒนธรรมตัวใครตัวมัน ให้สร้างความสำเร็จด้วยการเอาชนะคนอื่น ดังที่พ่อแม่สอนลูกที่ไปโรงเรียนว่า ต้อง one-up คือต้องให้เหนือคนอื่น ต้องชนะเพื่อน

ในระบบแข่งขันที่มีการเอาชนะเป็นหัวใจนั้น คนต้องเข้มแข็ง ต้องใฝ่หาความรู้ ต้องเป็นนักสู้ ที่เต็มไปด้วยการเอาชนะความยาก ต้องสู้ ต้องดิ้นรนกันเต็มที่ สังคมไทยเราบอกว่าตัวเองเอาแบบฝรั่ง แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าเราอยู่ในวิถีชีวิตแบบอ่อนแอ และเมื่อตามใจเด็ก คนของเราก็ยิ่งทรุด ยิ่งป้อแป้ปวกเปียก สังคมก็ยิ่งกลายเป็นเบี้ยล่างของสังคมฝรั่ง ไม่มีทางทันหรือทัดเทียมเขา ที่จะเหนือกว่าสังคมฝรั่งนั้น ไม่มีทาง ไม่ต้องพูดถึง

รวมแล้ว สังคมไทย กับสังคมฝรั่ง ก็สุดโต่งทั้งคู่ แต่ไปในทางตรงกันข้าม สังคมไทยที่มีตั้งแต่พ่อแม่มาคอยตามใจ ได้แต่รอเสพ ก็หล่อหลอมคนให้อ่อนแอ ส่วนสังคมฝรั่งที่มุ่งเอาชนะ แม้จะทำให้คนเข้มแข็ง แต่นำไปสู่ความกระด้าง การเบียดเบียนและเอารัดเอาเปรียบกัน ซึ่งก็จะต้องแก้ไข

สังคมไทย นอกจากเน้นการรอเสพที่เด่นขึ้นๆ ในยุคปัจจุบันแล้ว ก็มีพื้นฐานเดิมที่คนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันด้วย เมื่อใช้ผิด ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่พร้อมที่จะช่วยเหลือกันนี้ ก็ทำให้คนเกิดนิสัยหวังและรอรับความช่วยเหลือจากคนอื่น เลยยิ่งซ้ำให้คนอ่อนแอหนักลงไปอีก ถ้าเป็นเด็ก ก็ไม่ยอมทำอะไร ถึงกับกลายเป็นนักเรียกร้องไปเลย

เพราะฉะนั้น จะต้องจับจุดพอดีให้ได้ เอานิสัยใฝ่หาสิ่งเสพแบบไทยทิ้งไป สร้างนิสัยใฝ่หาความรู้สู้ความยากแบบฝรั่งขึ้นมาแทน ไม่รับแนวคิดรุกรานเอาชนะธรรมชาติและการเอาชนะคนในระบบแข่งขันของฝรั่ง แต่ก็ไม่สร้างสภาพจิตใจแบบรอรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น ในทางตรงข้าม พัฒนาคนให้มีความเข้มแข็งพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อไปอยู่ในสังคมที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน

กรรมการมูลนิธิ

กระผมใคร่ขอความกรุณาพระคุณเจ้าได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับมุมมองเรื่องสิทธิเสรีภาพในสังคมยุคปัจจุบัน ความหมายของสิทธิมันเปลี่ยนไปได้ ในเมื่อทัศนคติมันเปลี่ยน สภาพจิตใจมันเปลี่ยน ความพอใจเปลี่ยน เรื่องสิทธิก็เปลี่ยนหมด ตัวแปรอื่นในสิทธิเปลี่ยนด้วย จะไปตันอยู่ทำไมเรื่องสิทธิ

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

ในกระแสสังคมบริโภคนิยม มีเหตุปัจจัยตัวใหญ่ คือ ค่านิยมที่ยึดถือการได้เสพบริโภคมากเป็นความสุข และถือความฟุ้งเฟ้อหรูหราโก้เก๋ว่าเป็นความดีเลิศ เป็นผลดีที่พึงถือเป็นจุดหมาย ใครมีเสพบริโภคมาก ก็หรูหราโก้เก๋มาก นั่นคือยอดเยี่ยม

เมื่อสังคมมีค่านิยมเป็นอย่างนี้ สิทธิเสรีภาพก็มีความหมายที่จะมาสนองค่านิยมนั้น แล้วก็เน้นเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการที่จะเสพบริโภค อะไรก็ตามที่ไม่เอื้อไม่เปิดช่องให้แก่การบำเรอปรนเปรอฟุ้งเฟ้อหาเสพหาบริโภคและการที่จะมีความโก้หรูอย่างนั้น ก็ถูกมองว่าเป็นการจำกัดขัดสิทธิและเสรีภาพ กลายเป็นไม่ดีไปหมด

ถ้าเกิดว่าสังคมนี้แปรจุดหมายแห่งความนิยมใหม่ ค่านิยมเปลี่ยนไป ทัศนคติของคนก็เปลี่ยน และการมองความหมายของสิทธิเสรีภาพก็เปลี่ยนไปด้วยกันหมดเลย ดังที่เคยยกตัวอย่าง สังคมที่มีค่านิยมถือความเข้มแข็งเหี้ยมหาญมุ่งสร้างความสำเร็จด้วยการพิชิตงานยาก การมองความหมายและการปฏิบัติในเรื่องสิทธิเสรีภาพก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง นี่คือการที่เหตุปัจจัยได้เปลี่ยนไป พาให้เกิดผลที่ว่าแม้แต่ความหมายของหลักการอย่างเรื่องสิทธิเสรีภาพก็เลยเปลี่ยนตามไปด้วย

เอาง่ายๆ อย่างในอเมริกา หลังเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่จากการถูกก่อการร้าย ๑๑ ก.ย. (๒๕๔๔) ความมั่นคงปลอดภัยกลายเป็นเรื่องใหญ่สูงสุดขึ้นมา การยึดถือปฏิบัติในเรื่องสิทธิเสรีภาพก็เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นหันมาให้มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ถึงกับออกกฎหมายให้สิทธิที่จะจำกัดสิทธิเสรีภาพ ไม่ให้เข้าไปที่นั่นที่นี่ มีการตรวจค้นเข้มงวด ให้ควบคุมคนพวกที่ถูกสงสัยว่าอาจจะก่อการร้าย และมีสิทธิที่จะกักกันเป็นเวลานานๆ ซึ่งแต่ก่อนทำไม่ได้ ให้สิทธิเจ้าหน้าที่บ้านเมืองดักฟังโทรศัพท์ เหมือนพลเมืองถูกละเมิด มองในแง่หนึ่งก็คือ คนเสียสิทธิถูกตัดเสรีภาพไปมากมาย ไปสนามบินแต่ก่อนขึ้นง่ายๆ แต่เดี๋ยวนี้ ฉันมีสิทธิกักกันกั้นคุณไว้ก่อน เกือบจะเหมือนกับว่าคุณต้องตามใจฉัน แล้วแต่ใจฉัน ไม่ตามใจคุณ สังคมที่ว่ามีเสรีภาพมาก กลายเป็นถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพมาก

มองอย่างกว้างๆ ถ้าไม่ทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนว่าสิทธิเสรีภาพมีความหมายอย่างไร เพื่ออะไรกันแน่ ความไม่ชัดนั้นก็จะทำให้หลักการแห่งสิทธิเสรีภาพเองนั้นแหละไม่มีความมั่นคง หาจุดพอดีไม่ได้ แล้วก็จะผันแปรยืดหดไปตามเหตุปัจจัยต่างๆ ที่มา กระทบบีบกด เช่น ต่อไปถ้าปล่อยกันเหลวเละ เบียดเบียนกันมากก็จะต้องมีการจำกัดตัดสิทธิเสรีภาพมากขึ้น จนกระทั่งถึงบางจุด อย่างในสภาพไร้ชื่อแป คนก็จะสูญเสียสิทธิเสรีภาพ จนหมดสิทธิเสรีภาพไม่เหลือเลย

เรื่องสิทธิเสรีภาพได้พูดไว้ที่อื่นเยอะแล้ว1

ขอรวบรัดสรุปบางแง่ที่สำคัญว่า

– สิทธิเสรีภาพเป็นหลักประกันพื้นฐาน ซึ่งในสังคมที่พัฒนามีอารยธรรมจัดอำนวยไว้เพื่อให้บุคคลอยู่ดีมีโอกาสเจริญงอกงาม

– บุคคลที่มีการพัฒนา จะรู้จักใช้สิทธิเสรีภาพให้เป็นโอกาสในการพัฒนาชีวิตและร่วมสร้างสรรค์สังคม

– ในสังคมที่พัฒนามีอารยธรรม มักถือกันว่า สิทธิต้องมากับหน้าที่ และเสรีภาพต้องมากับความรับผิดชอบ

– เสรีภาพที่แท้เป็นของคนมีอิสรภาพ คนที่ขาดอิสรภาพอาจใช้เสรีภาพผิดให้เป็นโทษแก่ชีวิตของตนเองและแก่สังคม เช่น ในการเล่นเกม เด็กบางคนใช้เสรีภาพเล่นอย่างเต็มที่ แต่เขาสูญเสียอิสรภาพไปหมดสิ้นเพราะตกเป็นทาสของการติดเกมนั้นอย่างไม่อาจถอนตัวได้ (คนที่ติดสิ่งเสพติดก็ทำนองเดียวกัน)

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< สังคมดี ที่ให้มีสิทธิ์ คนดี ที่รู้จักใช้สิทธิ์จากสุขจัดตั้ง สู่สุขเองผุดข้างใน >>

เชิงอรรถ

  1. เช่น สิทธิมนุษยชน: สร้างสันติสุข หรือสลายสังคม (พิมพ์ครั้งที่ ๗, ก.ย. ๒๕๔๖) นิติศาสตร์แนวพุทธ (พิมพ์ครั้งที่ ๖, ม.ค. ๒๕๕๐)

No Comments

Comments are closed.