- เกริ่นนำ
- การศึกษา กับ อารยธรรม
- เมื่ออารยธรรมถึงยุคไอที บทบาทที่แท้ของครูจะต้องเด่นขึ้นมา
- การศึกษาต้องทำให้คนสามารถเรียนรู้ เพื่อทำข้อรู้ให้เป็นความรู้
- ปฏิรูปการศึกษา คือกลับไปหาธรรมชาติ ที่มนุษย์เป็นสัตว์แห่งการเรียนรู้
- “สังฆะ” คือชุมชนแห่งการศึกษา เพื่อพัฒนาให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้
- การศึกษาทำให้คนพัฒนาความสุขได้
- ก้าวสำคัญของการศึกษา คือการเกิดความสุขจากการสนองความใฝ่รู้
- ความสุขยิ่งเพิ่ม และการศึกษายิ่งก้าว เมื่อเด็กมีความใฝ่สร้างสรรค์
- เมื่อจิตสำนึกในการศึกษาเกิดขึ้น แม้แต่ความยากก็กลายเป็นความสุข
- “มองเชิงจุดหมาย” หรือ “มองเชิงปัจจัย” จุดตัดสินเทคโนโลยีเพื่อหายนะหรือเพื่อพัฒนา
- เมื่อใฝ่เสพ คนก็อ่อนแอลง ทุกข์ง่ายแต่สุขได้ยาก เมื่อใฝ่สร้างสรรค์ คนก็เข้มแข็งขึ้น สุขได้ง่ายและทุกข์ได้ยาก
- คนใฝ่เสพ มองเศรษฐกิจเป็นจุดหมาย คนใฝ่สร้างสรรค์ มองเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเป็นปัจจัย
- เพราะมัวรอผลจากการดลบันดาล คนจึงอ่อนแอแพ้การแข่งขัน
- การศึกษาไม่เดินหน้า ทั้งชีวิตและสังคมไม่พัฒนา เพราะมัวหาความสุขจากสิ่งกล่อม
- การศึกษาที่ถูกต้องทำให้เกิดดุลยภาพในการพัฒนา ระหว่างความสามารถหาสิ่งบำเรอสุข กับความสามารถที่จะมีความสุข
- การศึกษาที่ดีช่วยให้คนมีวิธีที่จะรักษาอิสรภาพทางด้านความสุข
- การมีข้อมูลความรู้มาก ไม่เป็นเครื่องวัดความสำเร็จของการศึกษา
- จุดเริ่มและจุดปลายแห่งสัมฤทธิผลของการศึกษา
- ปฏิรูปการศึกษาที่แท้ต้องถึงขั้นปฏิรูปอารยธรรม
ปฏิรูปการศึกษาที่แท้ต้องถึงขั้นปฏิรูปอารยธรรม
ต่อไปขอฝากไว้เป็นข้อสุดท้ายคือ อารยธรรมทั้งหมดของเราที่ผ่านมานี้ เป็นกระแสที่อยู่ใต้อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก และอารยธรรมตะวันตกนั้นตั้งอยู่บนฐานความคิดที่จะพิชิตธรรมชาติ หรือเอาชนะธรรมชาติ ชาวตะวันตกมีความภูมิใจที่มีชัยชนะเหนือธรรมชาติ เขาสืบกันว่าเป็นเวลา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ที่แนวความคิดนี้ได้เป็นอิทธิพลอยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษยชาติที่มาจากสายตะวันตก และมนุษย์ก็ภูมิใจตั้งใจพยายามเอาชนะธรรมชาติ และได้พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งยังไม่ทันได้ชัยชนะจริง ก็เกิดเห็นพิษเห็นภัยว่า แนวความคิดนี้กลับเป็นตัวร้ายที่ก่อปัญหาธรรมชาติแวดล้อมเสีย
ถึงตอนนี้ก็จะมีแนวความคิดที่คู่ตรงข้าม คือต้องปล่อยตามธรรมชาติ ตะวันตกก็จะไปเอียงสุด คือเมื่อไม่เอาชนะธรรมชาติก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ นี้เป็นความคิดที่เอียงสุด สุดโต่งสองอย่าง มนุษย์นั้นมีความโน้มเอียงที่จะไปสุดโต่ง สุดโต่งหนึ่งคือจะเอาชนะธรรมชาติ อีกสุดโต่งหนึ่งคือจะปล่อยตามธรรมชาติ ผิดทั้งคู่ แล้วบางคนเข้าใจว่า นี้คือพระพุทธศาสนา นั่นไม่ใช่เลย พระพุทธศาสนาไม่ใช่อย่างนั้นเป็นอันขาด
อะไรคือท่าทีที่ถูกต้อง อารยธรรมยุคต่อไปจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ถูกต้อง มนุษย์บอกว่าถ้ามนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ นั่นคือความสามารถสูงสุด แต่ตามหลักพุทธศาสนาบอกว่าไม่ใช่ มนุษย์มีความสามารถมากกว่านั้น คืออะไร มันย่อมไม่ใช่การปล่อยตามธรรมชาติแน่นอน เวลานี้ตะวันตกบอกว่า เมื่อไม่เอาชนะธรรมชาติก็ต้องปล่อยตามธรรมชาติ และยังเข้าใจว่าสิ่งนี้คือพระพุทธศาสนา ซึ่งผิด
พุทธศาสนาถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ หรือเป็นสัตว์แห่งการเรียนรู้ ความพิเศษอยู่ที่ฝึกได้เรียนรู้ได้หรือพัฒนาได้ ทีนี้ระบบความเป็นอยู่ของโลกนี้ทั้งหมดที่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นระบบที่ยังมีการเบียดเบียนกันมาก เมื่อมนุษย์ยังไม่พัฒนาก็อยู่ร่วมในระบบนี้ ถ้ามนุษย์ไม่พัฒนาโดยปล่อยให้ระบบความสัมพันธ์อยู่ร่วมกันในโลกเป็นไปอย่างนี้ ก็จะยังมีการเบียดเบียนกันมาก ในฐานะที่มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ ฝึกได้ พัฒนาได้ เราจึงใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์โดยการพัฒนาคุณภาพของตนเองให้มาช่วยปรับปรุงระบบความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันในโลกให้ดีขึ้น คือให้มีการเบียดเบียนกันน้อยลง และมีความเกื้อกูลต่อกันยิ่งขึ้น นี่ต่างหากที่เป็นความสามารถที่แท้จริงของมนุษย์
การที่คิดจะเอาชนะธรรมชาติ หรือพิชิตมันนั้นเป็นความรู้สึกและท่าทีแบบศัตรู หรือคู่ปรปักษ์ ที่จะจัดการกับมัน แต่เรามีท่าทีอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนอย่างนั้น ก็คือในฐานะเป็นองค์ประกอบที่อยู่ร่วมกันในระบบทั้งหมดของโลกแห่งธรรมชาตินี้ทำอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ จะช่วยให้ทุกอย่างทุกส่วนอยู่ร่วมกันด้วยดียิ่งขึ้น ให้เป็นโลกที่มีการเบียดเบียนกันน้อยลง
เพราะฉะนั้น จุดหมายของพระพุทธศาสนาท่านจึงใช้คำว่า อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลกํ แปลว่า “เข้าถึงโลกที่เป็นสุขไร้การเบียดเบียน” มนุษย์จะต้องทำเพื่อจุดหมายนี้ คือ หาทางทำให้โลกมีความสุขยิ่งขึ้น ไร้การเบียดเบียนยิ่งขึ้น อยู่ร่วมกันด้วยความเกื้อกูลกันยิ่งขึ้น
สิ่งไหนจะเป็นความสามารถมากกว่ากัน ระหว่างการเอาชนะธรรมชาติ กับการที่สามารถปรับระบบความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน ให้อยู่ดีด้วยกัน และมีความสุขมากยิ่งขึ้น สิ่งไหนเป็นความสามารถมากกว่า เราคงต้องบอกว่าอย่างหลัง คือความสามารถที่จะปรับหรือปฏิรูประบบการอยู่ร่วมกันให้เอื้อเกื้อกูลต่อกันยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นแนวคิดพื้นฐานของอารยธรรมยุคต่อไป ไม่ใช่การยอมตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ใช่การพิชิตธรรมชาติ เพราะมนุษย์มีความสามารถมากกว่านั้น
สรุปก็คือ การศึกษาในยุคที่ผ่านมาสนองแนวคิดนี้ทั้งหมด คือการเอาชนะธรรมชาติ แล้วเราก็ได้สร้างอารยธรรมอย่างที่เป็นอยู่นี้ขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงจุดนี้ที่มนุษย์เริ่มรู้ตัวว่าไม่ถูกต้อง จะต้องแก้ไขใหม่ แล้วจะเอาแนวคิดอะไรมาเป็นฐานของการพัฒนาต่อไปที่จะทำให้มีการศึกษาที่ยั่งยืน คือการศึกษาที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ แล้วทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน แล้วก็นำมาซึ่งอารยธรรมที่ยั่งยืนด้วย ก็คิดว่าจะต้องหันกลับมาสู่แนวความคิดที่ว่านี้ กล่าวคือ การพัฒนาความสามารถพิเศษของมนุษย์ที่จะมาช่วยปรับระบบความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันในโลกทั้งหมดนี้ให้เป็นไปในทางประสานเกื้อกูลแก่กันและกัน เป็นสุข ไร้การเบียดเบียน หรืออย่างน้อยเบียดเบียนกันน้อยลง
การศึกษาอย่างที่ว่านี้ จะช่วยให้มีการการพัฒนาที่ยั่งยืน และทำให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์อารยธรรมที่ยั่งยืน เป็นการศึกษาที่ถูกต้องสอดคล้องกับความรู้เข้าใจในความเป็นจริงของระบบความสัมพันธ์ของธรรมชาติ จึงเป็นการศึกษาที่ยั่งยืน และถ้าทำได้ ก็จะเป็น การปฏิรูปการศึกษา ที่ถึงโคนถึงรากของอารยธรรม
No Comments
Comments are closed.