ถ้าสัตว์เมืองยังโหด ป่าก็ต้องหด สัตว์ป่าก็ต้องหาย

8 กรกฎาคม 2538
เป็นตอนที่ 4 จาก 11 ตอนของ

ถ้าสัตว์เมืองยังโหด
ป่าก็ต้องหด สัตว์ป่าก็ต้องหาย

ทีนี้เรามาดูเรื่องการทำลายป่าและสัตว์ป่า ว่าเขาทำลายด้วยวิธีใดบ้าง เมื่อกี้นี้ ได้พูดไปให้เห็นเค้านิดหน่อยแล้ว ตอนนี้มาสรุปกันดูซิว่า การทำลายสัตว์ป่านี้เกิดจากเหตุปัจจัยอะไร ท่านแบ่งโดยย่อไว้ ๒ อย่าง คือ ทำลายโดยตรง กับ ทำลายโดยอ้อม

ทำลายโดยตรงคือ การฆ่าสัตว์ป่านั่นเอง ส่วนทำลายโดยอ้อม ก็คือ ทำลายที่อยู่ที่อาศัยของมันด้วยการทำลายป่า

ทีนี้คนทำลายสัตว์ป่าโดยตรง ที่ว่า ทำลายโดยตรง ทำลายอย่างไรบ้าง ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ ล่าเป็นอาหาร เช่น สมัน แม้จะไม่อยู่ในป่าก็คงจะหมดไปเพราะเป็นอาหารนั่นเอง ส่วนสัตว์ในป่า เช่นพวกกระต่ายป่า ก็หายากแล้ว อย่างที่พูดเมื่อกี้ ไม่แน่ใจว่าเวลานี้ที่เขานี้เหลือหรือไม่ ทั้งที่เมื่อมาอยู่ใหม่ๆ ประมาณ ๗ ปีมาแล้ว ยังมีกระต่ายป่า นี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ ชาวบ้านมาหามาจับมายิงเอาไปกิน ก็ทำให้สัตว์ป่าหมดไป การล่าเป็นอาหารนี้จึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง แม้จะไม่เอาเป็นอาหาร แต่ ล่าเอาอวัยวะ ของมันไปทำเป็นเครื่องประดับบ้าง ทำเครื่องใช้ไม้สอย และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น งาช้าง เขากวาง หนังเสือ เวลานี้มีการล่าเสือเพื่อเอาหนังและตัวไปทำเครื่องประดับตามบ้าน คนต้องการงาช้างเป็นเหตุให้ฆ่าช้างทั้งตัว ต้องการเขากวางเป็นเหตุให้ฆ่ากวางทั้งตัว ต้องการหนังเสือเป็นเหตุให้ฆ่าเสือทั้งตัว อย่างนี้ก็ทำให้สัตว์เหล่านั้นต้องหมดไป

อีกอย่างหนึ่งคือ กีฬาล่าสัตว์ หรือเล่นสนุก มองเห็นการล่าสัตว์เป็นเรื่องสนุกสนาน สมัยก่อนมีกีฬาล่าสัตว์ สมัยนี้เลิกไปแล้ว ถอยหลังไปเมื่อระยะสงครามเลิกใหม่ๆ ก็ยังมีการล่าสัตว์

เคยมีเด็กนักเรียนถามอาตมา เด็กมองจากสภาพปัจจุบันบอกว่า ฝรั่งนี้เขาดีนะ เขาคงจะมีวัฒนธรรมไม่ฆ่าสัตว์ เขามีเมตตากรุณา แต่คนไทยเราเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่มีเมตตากรุณา ชอบล่าสัตว์มาก

ที่จริงฝรั่งนี้แหละตัวดี ถอยหลังไปเมื่อก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใหม่ๆ ฝรั่งล่าสัตว์อย่างกะอะไร ฝรั่งนี่แหละเป็นผู้นำและอาจจะทำให้คนไทยพลอยนิสัยเสียด้วย พอถึงช่วงเวลาพักผ่อน ฝรั่งที่มาเป็นคนชั้นสูงอยู่ในเมืองไทย รวมทั้งนักเผยแพร่ศาสนา อย่างที่เรียกว่ามิชชันนารี หรือหมอสอนศาสนา ก็พาเอาวัฒนธรรมจากประเทศของตนมาปฏิบัติในบ้านเมืองอื่น บางท่านจึงมีนิสัยชอบสนุกสนานออกป่าล่าสัตว์

อย่างเช่น ดร.บัลค์เลย์ (Dr. L.C. Bulkley) ซึ่งเป็นหมอสอนศาสนาที่ได้บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือคนไทยไว้มากในด้านการแพทย์ ประมาณ ค.ศ. 1908 (พ.ศ. ๒๔๕๑) เป็นต้นมา ก็มีชื่อเสียง ทั้งในด้านที่เป็นหมอผ่าตัดตา และเป็นนักล่าสัตว์ขนาดเขื่อง (big-game hunter) ด้วยพร้อมกัน

ทั้งนี้เพราะลัทธิศาสนาวัฒนธรรม (รวมทั้งปรัชญาสำนักใหญ่ๆ) ของตะวันตก ยอมรับ หรือไม่ก็สนับสนุนเรื่องนี้

สำหรับคนไทยก็คงเดินรอยตามอย่างฝรั่ง โดยเฉพาะชาวบ้านไทยก็อาจจะติดสอยห้อยตามไปเป็นลูกมือและลูกหาบ เป็นไปได้ไหมที่คนไทยมีนิสัยรังแกสัตว์ ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากการเอาอย่างฝรั่งที่ไปล่าสัตว์ อันนี้เพียงตั้งเป็นข้อสังเกตไว้

เป็นที่รู้กันอยู่ว่า มนุษย์สมัยโบราณก็ออกป่าล่าสัตว์เป็นอาหาร โดยเฉพาะชาวตะวันตก อารยธรรมของเขาเจริญขึ้นมาทีหลังตะวันออกนาน เพราะฉะนั้น ระยะเวลาที่เป็นนักล่าสัตว์จึงอยู่ในประวัติศาสตร์ที่ไม่นานไกลนัก เมื่อเจริญขึ้นมาถึงยุคเกษตรกรรมแล้ว และหมดความจำเป็นที่จะต้องล่าสัตว์เป็นอาหาร ก็เกิดมีความนิยมเอาการล่าสัตว์เป็นกีฬา

ในสมัยโบราณก่อนโน้น การล่าสัตว์เป็นกีฬาของพระราชา มหาอำมาตย์ ผู้มีทรัพย์สมบัติและเวลาว่างมาก แม้เมื่อฝรั่งเจริญขึ้นแล้ว กีฬาล่าสัตว์ก็เด่นอยู่ในหมู่กษัตริย์ในยุโรป

บางพระองค์มีประวัติแสดงความสามารถจารึกไว้ เช่น พระเจ้าอีเลคเตอร์ จอห์น ยอร์จ ที่ ๒ แห่งแซกโซนี่ (ครองราชย์ ค.ศ. 1656-80 = พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๒๓) ทรงล่ากวางแดงได้รวมหมดถึง ๔๒,๖๔๙ ตัว

พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ แห่งฝรั่งเศสก็โปรดกีฬาล่าสัตว์มาก เพียงใน ค.ศ. 1726 (พ.ศ. ๒๒๖๙) ปีเดียว เสด็จออกล่าสัตว์ถึง ๒๗๖ วัน

พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียก็ไม่เบา คราวหนึ่งเสด็จออกล่าสัตว์ครั้งเดียวต่อกัน ๑๒ วัน ทรงยิงกวางเอลค์ (elk) ได้ ๓๖ ตัว กวางสแตก (stag) ๕๓ ตัว กวางโรบัค (roebuck) ๓๒๕ ตัว กระทิง ๔๒ ตัว และวัวป่า ๑๓๘ ตัว

กีฬาล่าสัตว์เป็นเรื่องบันเทิงสามัญสำหรับชาวยุโรปที่เป็นผู้ดีมีฐานะ ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าชาวบ้านหรือนักบวช

เมื่อชาวยุโรปมาอเมริกา ความนิยมล่าสัตว์ก็ยิ่งแพร่ขยายจนถึงขั้นที่ในยุคบุกเบิกมีคติว่า “ทุกคนเป็นนักล่า” เด็กชายพอบรรลุนิติภาวะ เขาก็ให้ปืนไว้ล่าสัตว์

เมื่อฝรั่งออกล่าอาณานิคม อย่างในอาฟริกา สมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตอนแรกก็ล่าสัตว์เป็นอาหาร ต่อมา พอเข้าครองความเป็นใหญ่ได้แล้ว การล่าสัตว์ก็กลายเป็นกีฬา ล่ากันจนในอเมริกาเหนือทั้งทวีป แม้แต่สัตว์ที่มีมากมายดาษดื่นอย่างกระทิงก็จะหมดสิ้น แทบสงวนพันธุ์ไม่ทัน

ตอนฝรั่งขึ้นฝั่งทวีปอเมริกา ประมาณว่ามีกระทิงในทวีปอเมริกาเหนือ ๖๐ ล้านตัว แต่พอถึงยุคที่ฝรั่งมุ่งหน้าตะวันตก พาอารยธรรมสมัยใหม่แผ่ขยายไปยังฝั่งแปซิฟิก ฝรั่งผ่านไปไหน พบกระทิงมากมาย ก็ล่าฆ่าอย่างสนุกมือ กว่าจะถึง ค.ศ.แถวๆ 1900 กระทิงก็แทบเหี้ยนแผ่นดิน (Funk & Wagnalls New Encyclopedia ว่า ปี 1895 คือ พ.ศ. ๒๔๓๘ ทั้งอเมริกาเหลืออยู่ ๔๐๐ ตัว)

การล่ากระทิงนี้แหละ เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อความเป็นศัตรูกันระหว่างฝรั่งกับอินเดียนแดง สำหรับกระทิงนี้ ยังสงวนพันธุ์ไว้ได้ แต่ที่ล่ากันจนสูญพันธุ์ก็มี เช่น นกพิราบชนิดหนึ่งที่เรียกว่า passenger pigeon (ไม่ใช่ชนิดที่ใช้เป็น messenger) ซึ่งเคยมีมากมายหลายพันล้านตัวในอเมริกา เวลานี้หาไม่ได้แล้ว

ในเอเซีย เมื่อฝรั่งมายึดอาณานิคมได้แล้ว กีฬาล่าสัตว์ก็เป็นไปตามนิยมของเขา แต่เมื่อเทียบกับการล่าในอเมริกาและอาฟริกาแล้ว กีฬาล่าสัตว์ของฝรั่งในเอเซียอยู่ในขอบเขตจำกัดกว่ามาก (ขนาดที่ว่าเบาหน่อยก็ทำเอาสัตว์ป่าสำคัญบางชนิด เช่น เสือ และแรด ในเอเซีย แทบสูญพันธุ์)

ที่เล่าเรื่องของฝรั่งมานี้ ก็ว่าไปตามหนังสือของฝรั่งนั่นเอง โดยเฉพาะ Encyclopedia Britannica ท่านผู้ใดจะอ่าน ก็อาจจะดูที่คำว่า “hunting” และคำเฉพาะเช่น “bison”

ความนิยมในกีฬาล่าสัตว์ของฝรั่งนี้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรม ก็คงต่างกันมากกับวัฒนธรรมไทย ขอออกตัวก่อนว่าอาตมาไม่มีความรู้เรื่องคนไทยกับการล่าสัตว์ และถ้าจะค้นหาเอกสารมาพูดกัน ก็หายาก และคงต้องใช้เวลามากทีเดียว

แต่เท่าที่นึกได้ คนไทยดูเหมือนจะไม่มีความนิยมในเรื่องนี้ (ไม่เป็นวัฒนธรรม) แม้แต่พระมหากษัตริย์ จะทรงล่าสัตว์ (หรือจับสัตว์) ก็มักเป็นเรื่องเฉพาะกิจ คือทำเฉพาะครั้งเฉพาะคราวด้วยความมุ่งหมายพิเศษ เช่น จับเอาช้างมาใช้งาน หรือเอาไว้รบทัพจับศึก หรืออย่างที่พระพันวษา ทรงบัญชาให้ขุนไกร บิดาของขุนแผนล้อมฝูงกระบือ เป็นต้น (ซึ่งก็ไม่ใช่การล่า)

ส่วนชาวบ้านหรือประชาชนทั่วไป ก็มีแต่การล่าเป็นอาหาร โดยส่วนมากเป็นความจำเป็นในการเลี้ยงชีพ ถ้าทำจริงทำจังก็เป็นพราน ซึ่งก็ไม่เป็นอาชีพที่นิยมกัน

สำหรับชาวบ้านทั่วไปก็มีแต่คำว่า “ยิงนกตกปลา” ซึ่งเขามักใช้พูดในเชิงติเตียน ใครชอบยิงนกตกปลา ทั้งที่เป็นการเบียดเบียนแค่สัตว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ ก็มักเป็นที่รังเกียจ

เวลานี้มีการตกปลาเป็นการสนุกหรือพักผ่อน ทำนองว่าเป็นกีฬา ซึ่งเป็นการตามแนวทางของฝรั่งที่ถึงกับผลิตเบ็ดตกปลาด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงเลยทีเดียว

ได้ยินว่า บางคนถึงกับบอกว่า การตกปลาเล่นเป็นวิธีฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง ซึ่งก็มีส่วนถูก เพราะในการที่จะทำอะไรให้ได้ผล ก็ต้องอาศัยสมาธิทั้งนั้น อย่างโจรเข้าปล้นบ้านผู้คน แล้วจับเจ้าบ้านและคนในบ้านมัด แล้วเล็งปืนยิงเป้าทีละคน บอกว่าได้ฝึกสมาธิ ก็เป็นความจริง เพราะยิงด้วยสมาธิจึงจะแม่น แต่เมื่อวิธีฝึกสมาธิที่ดีๆ ซึ่งสร้างสรรค์ ไม่ทำให้ใครอื่นต้องทุกข์ยาก ก็มีอยู่มากมาย ทำไมจะต้องมาเลือกวิธีที่ทำคนอื่นให้เดือดร้อน

ฝรั่งได้เห็นภัยอันตรายก่อนคนไทย เขาเห็นโทษของการล่าสัตว์ และทำลายสัตว์ป่า เวลานี้ฝรั่งเลิกล่าสัตว์และเอาใจใส่ในการสงวนพันธุ์สัตว์ป่า มีการตั้งองค์กรต่างๆ พร้อมทั้งวางกฎเกณฑ์กติกาขึ้นมามากมาย เพื่อจะคุ้มครองสัตว์ป่า ก็เลยกลายเป็นว่าฝรั่งนี้คล้ายๆ มีเมตตากรุณา เอาใจใส่เรื่องสัตว์ป่ามาก

แต่ที่จริง ฝรั่งนั้นเป็นตัวอย่างนำในเรื่องการล่าสัตว์เล่นเป็นการสนุกสนานเลยทีเดียว แต่ข้อดีของเขาก็คือ เวลารู้ภัยขึ้นมา เขาก็ทำอย่างเอาจริงเอาจังมาก (เพราะเวลาล่า ก็ล่ากันจริงจังมาก เวลาแก้ ก็เลยต้องจริงจังมากด้วย)

อนึ่ง คงเป็นเพราะกระแสเก่าของเขาในการล่านั้นแรงมาก การป้องกันแก้ไขจึงต้องระดมใช้มาตรการที่แรงอย่างทันกันด้วย เราจึงเห็นได้ว่าระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ กติกา กฎหมาย และการจัดตั้งต่างๆ ในการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เริ่มต้นมาจากเมืองฝรั่งแทบทั้งสิ้น

นอกจากเล่น รังแก สนุกสนานเป็นกีฬาแล้ว ก็คือ การทำเป็นสินค้า ด้านนี้ก็สำคัญมาก การค้าสัตว์ป่ากลายเป็นธุรกิจไปเลย มีการลักลอบค้าสัตว์ นำสัตว์ส่งออกนอกประเทศ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เกิดการลักลอบล่าสัตว์จำนวนมาก

นอกจากนั้น ภายในประเทศของเราเอง ก็มีการจับมาขายตลาดนัด เป็นต้น และส่งร้านขายอาหาร มีการขายสัตว์ป่า ขายอาหารป่า แถมยังมีการชักจูง โฆษณา

บางทีมีคนมาจากต่างประเทศ เพื่อมากินเนื้อสัตว์ป่าที่เมืองไทย แทบทุกท่านคงทราบข่าวกันดี เป็นพวกชาวต่างประเทศที่อยากมากินอุ้งตีนหมีของไทย มากินดีงู

แม้แต่คนไทยเอง บางทีก็ชอบกินอะไรต่างๆ ที่เป็นของแปลกประหลาด แม้ว่าจะต้องการกินเพียงอวัยวะส่วนเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเหตุให้ต้องทำลายสัตว์ป่า ต้องฆ่าสัตว์ป่าทั้งตัวเพื่อให้ได้อวัยวะเล็กๆ น้อยๆ มา นี้เป็นเรื่องของการทำลายโดยตรง คือการทำลายที่ตัวสัตว์

ทีนี้ ทำลายโดยอ้อม ก็คือ ทำลายป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ที่เห็นง่ายๆ ก็คือ ชาวบ้านบุกรุกป่าหาที่ทำกิน อาจเป็นชาวบ้านที่ยากจน ตลอดจนกระทั่งถึงคนภูเขา คือชาวเขาพากันทำลายหักร้างถางพงเพื่อจะทำไร่ ปลูกต้นไม้ ปลูกพืช ทั้งปลูกกินเอง และทั้งปลูกเป็นสินค้า เป็นการบุกรุกป่า ก็ทำให้ป่าค่อยๆ หมดไป เป็นสาเหตุสำคัญแบบเป็นล่ำเป็นสันที่ใหญ่มาก

นอกจากนั้นก็คือการตัดไม้ เนื่องจากมีการค้าไม้กันมากมาย ทั้งไม้ถูกต้องและไม้เถื่อน และการเผาป่า แม้แต่เพียงเพื่อล่าสัตว์

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การพัฒนาบ้านเมือง การที่คนเราพัฒนาบ้านเมือง มีการตัดถนนหนทาง สร้างเขื่อน เป็นต้น ก็เป็นเหตุหนึ่งของการทำลายป่า

เวลาตัดถนนทีหนึ่ง ก็ต้องทำลายป่าไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เฉพาะตัดถนนเท่านั้น การทำลายป่าเพื่อตัดถนนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่พอถนนเข้าไปแล้ว คราวนี้ละก็กลายเป็นว่า ถนนนั้นนำมาซึ่งการทำลายป่าอย่างกว้างขวางออกไป ถ้าตัดป่าเฉพาะส่วนที่ทำถนนคงไม่เท่าไร แต่ถนนนั้นกลายมาเป็นต้นเหตุที่มีผลในการทำลายป่าเพิ่มขยายออกไปอีกหลายเท่า

เมื่อมีการสร้างเขื่อนพัฒนาบ้านเมืองทีหนึ่ง ก็เป็นปัญหาใหญ่มาก ดังที่มีการคัดค้านกัน เวลาสร้างเขื่อนทีหนึ่ง ป่าก็ต้องถูกน้ำท่วมไปมากมาย แล้วบางทีก็มีปัญหาอื่นติดตามมา เยอะแยะหมด จะให้ได้ประโยชน์ด้านหนึ่ง ก็ไปเสียประโยชน์อีกด้านหนึ่ง หรือหลายๆ ด้าน อย่างน้อยก็ทำให้คนแตกแยกกันเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็จะสร้างเขื่อน อีกฝ่ายหนึ่งก็คัดค้าน โดยที่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเป็นปัญหาของมนุษย์ทั้งสิ้น

ตลอดจนวิธีการเกษตรสมัยใหม่ ที่พูดไปแล้วเมื่อกี้ คือการใช้สารเคมีกำจัดแมลงและศัตรูพืช ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ป่า เช่นนก ตายไป เป็นเรื่องของการทำลายสัตว์ป่า ทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< เมื่อสัตว์เมืองเจริญขึ้นมา สัตว์ป่าก็ล้มหายถ้าสัตว์เมืองไม่พัฒนาจิตใจ ใครๆ ก็ช่วยสัตว์ป่าไม่ไหว >>

No Comments

Comments are closed.