คนขลาดอวดกล้าด้วยวาจาทำขึงขัง แต่พอดูลงไปถึงไส้ ก็เห็นได้ว่าไม่มีอะไรจริงจัง

1 มกราคม 2545
เป็นตอนที่ 4 จาก 9 ตอนของ

คนขลาดอวดกล้าด้วยวาจาทำขึงขัง
แต่พอดูลงไปถึงไส้ ก็เห็นได้ว่าไม่มีอะไรจริงจัง

ก่อนหน้าหนังสือ คำให้การ พ.อ. บรรจง ไชยลังกา นี้ก็มีหนังสือของนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ทำออกมาก่อน คือ เอกสารประกอบการพิจารณาเพื่อลงสังฆมติ ซึ่งเป็นการแอบอ้างเอาชื่อมหาเถรสมาคมมาใช้หลอกพระสงฆ์ทั่วประเทศ

ในคำให้การเล่มนี้ พ.อ. บรรจง ปฏิเสธบอกว่า เอกสารฯ นั้นเขาไม่ได้ทำ

แน่นอน ใครๆ ก็รู้ทัน ก็ทายได้ว่านายทหารทุจริตพวกนี้จะต้องปฏิเสธบอกว่าเขาไม่ได้ทำเอกสารฯ เล่มนั้น ทายได้อย่างไร? ก็เห็นชัดๆ ว่าเขาเตรียมปฏิเสธไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ในเอกสารฯ เล่มนั้น นายทหารทุจริตพวกนี้ไม่บอกชื่อโรงพิมพ์ ไม่บอกชื่อคนรับผิดชอบการทำหนังสือ พูดภาษาชาวบ้านว่า คนพวกนี้ทำเอกสารฯ เถื่อนหรือหนังสือเถื่อน พอหาตัวคนทำ ก็จะได้พูดว่า “ฉันเปล่า”

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า เขาปฏิเสธอย่างไรก็ไม่พ้น เพราะในเอกสารฯ เล่มนั้นบอก ว่าเป็นการสอบสวนสืบสวนตัวเขา คือตัว พ.อ. บรรจง เป็นเรื่องของเขา แล้วก็ทำเพื่อตัวเขา เช่นเดียวกับเล่มคำให้การฯ นี้แหละ (แถมหลักฐานที่ใช้อ้างในเอกสารฯ เล่มนั้น กับในคำให้การฯ เล่มนี้ ก็ใช้อันเดียวกัน)

เมื่อเขาตอบว่า “ฉันเปล่า” ญาติโยมก็ต่อได้เลยว่า “พวกเขาละ”

เล่มคำให้การฯ นี้ก็เช่นเดียวกัน เขาก็เตรียมปฏิเสธไว้แล้ว เขาจึงไม่ใส่ชื่อโรงพิมพ์ และไม่ลงชื่อผู้รับผิดชอบไว้ คือทำเป็นหนังสือเถื่อน เป็นทางหนีทีไล่ว่า ถ้าจะเพลี่ยงพล้ำ เขาก็จะอ้างว่าเล่มคำให้การฯนี้ ก็อีกนั่นแหละ พวกเขาก็ไม่ได้ทำ

ถึงตอนนี้ ญาติโยมชาวบ้านคงรู้ทันแล้ว คือมองเห็นว่า เมื่อเขาทำของเถื่อน ก็เท่ากับประกาศความเท็จของเขานั่นเอง เพราะของเถื่อนเกิดจากความเท็จ

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ มันเป็นการประกาศความขลาดของพวกเขา ถ้าเรื่องเป็นจริง และคนที่มีความกล้าหาญ ก็จะแสดงตัวออกรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ไม่ต้องทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ เอาของเถื่อนมากำบังตัว

ในหนังสือคำให้การฯ นี้ นายทหารทุจริตพวก พ.อ. บรรจง พูดลงท้ายคำให้การของเขา ทำเป็นขึงขังอาจหาญว่า

ข้าฯขอปฏิญาณว่า “ข้าฯ จะไม่ยอมคุกเข่าให้แก่อำนาจหรืออิทธิพลใดๆ ที่จะบีบบังคับให้ข้าฯ เสื่อมศรัทธา หรือคลายความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตราบเท่าลมหายใจห้วงสุดท้าย”

อันนี้เป็นคำที่ดูคล้ายๆว่า แสดงความกล้าหาญ แต่พอเรารู้จักเขา เห็นความเถื่อนและความเท็จของเขาแล้ว คำพูดนี้กลายเป็นเรื่องขำไป น่าหัวเราะมากกว่า เพราะที่จริงนั้นเขาไม่มีความกล้าหาญอะไรเลย แค่หนังสือที่เขียนออกมา เขายังไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความรับผิดชอบ ทำให้เป็นหลักเป็นฐาน ว่าพิมพ์ที่ไหน ใครรับผิดชอบ เขาทำได้แค่หนังสือเถื่อน ที่แสดงความเท็จ

ของแท้แค่นี้เขายังไม่กล้าทำ แล้วจะมาแสดงความกล้าอะไร เขาก็เขียนหรือพูดไปอย่างนั้นเอง พอถึงเวลาจริงก็ต้องหาเหตุอีกว่าเป็นหนังสือที่เขาไม่ได้ทำขึ้นมา

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากก็คือ เรื่องนี้ชัดเจนว่า นายทหารทุจริตพวก พ.อ. บรรจง นี้ นำเอาสถาบันหลักมาเป็นฐานหรือเป็นเครื่องมือที่จะไปทำการเท็จทุจริตทำร้ายผู้อื่น

การที่เขาเอาสถาบันหลักของชาติมาอ้างอย่างนี้ เป็นการเอาของสูงมารองรับ และมารับรองของเถื่อนกับความเท็จทุจริตของเขา ซึ่งเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันในระยะยาว มองดูเผินๆ เหมือนว่าเขาเคารพ แต่ที่แท้คือเขากำลังลบหลู่สถาบันหลักของชาติอย่างร้ายแรง

พร้อมกันนี้ก็เป็นเรื่องน่าสลดใจที่ว่า คำให้การฯ ของนายทหารทุจริตพวก พ.อ. บรรจง นี้ เป็นการหลอกลวงกองทัพ หลอกลวงผู้บังคับบัญชาของเขาเอง ก็อย่างที่กล่าวแล้วว่า เมื่ออย่างนี้เขายังทำได้ มีหรือที่เขาจะไม่หลอกลวงคนอื่น

ถ้าเขาหลอกลวงกองทัพ เอากองทัพไปใช้อ้างอิงเพื่อผลประโยชน์ตนเอง จะไปเชื่อได้อย่างไรว่าเขามีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

เรื่องคำให้การเท็จ การปั้นแต่งเรื่องเท็จต่างๆ ของนายทหารทุจริตพวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกานี้ พิสูจน์ไม่ยาก พอชาวบ้านรู้ทันแล้ว ก็เป็นเพียงเรื่องขำๆ อย่างที่ว่าแล้ว เขาชำนาญในการรบนอกแบบ คือรบด้วยวิธีเท็จทุจริต ไร้สัจจะ ไร้ธรรมะ ญาติโยมก็เป็นเพียงว่าเอามาใช้ฝึกความคิดให้รู้ทัน คือจะได้ประโยชน์ตรงนี้แหละ

ถึงเขาจะว่าร้ายใส่ความหรือด่าทออย่างไร เราชาวพุทธก็ให้อภัยแก่เขา นั่นเป็นด้านจิตใจ แต่ในด้านปัญญา เราต้องสร้างความรู้ความเข้าใจ และแก้ไขปัญหา ให้ธรรมขึ้นมาครองสังคม และให้คนอยู่กันด้วยธรรม (อ่านหน้า ๔๐-๔๕)

หลักการข้อนี้ชาวพุทธจะต้องถือเป็นสำคัญ ถ้าอยู่แค่ด้านจิตใจให้อภัยก็จะกลายเป็นการปฏิบัติธรรมครึ่งๆ กลางๆ และเป็นความประมาท ซึ่งเป็นทางแห่งความเสื่อมความพินาศ บทเรียนในอดีตมีมาแล้วมากมาย

ในหนังสือนี้ แม้ว่าจะเว้นไม่ใช้คำรุนแรงหยาบคาย แต่ก็จำเป็นต้องใช้คำที่บอกความเป็นจริง และย้ำความจริงนั้นแก่ประชาชน จึงได้ขออภัยที่ต้องใช้คำเรียกคนผู้ทำการเท็จทุจริตนี้ว่า “คน/นายทหารทุจริตกลุ่มพวก ดร. เบญจ์-พ.อ. บรรจง” และ “นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกา” โดยเรียกบ่อยๆ อย่างเป็นชื่อชุด

คำว่า “นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกา” นี้ เป็นคำที่พูดได้เต็มปาก และใช้ได้โดยชอบธรรม ขอให้เข้าใจว่าเป็นคำพูดทางธรรมซึ่งเป็นคำสุภาพ แม้ว่าตัวผู้ทำการทุจริตเองอาจจะรู้สึกว่าแรง ก็ขออภัย เพราะต้องสื่อความหมายตามธรรม

ตอนที่พูดมาแล้ว เป็นเรื่องที่เขาใส่ร้ายตัวบุคคล ซึ่งถือว่าไม่ใช่ข้อสำคัญ เพียงเอามาเล่าให้ทราบกันไว้ แต่ตอนต่อไปเป็นส่วนเป้าหมายแท้ของเขา คือการทำลายหลักพระพุทธศาสนา ทำสัจจธรรมให้ฟั่นเฟือน เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งขอให้ทุกท่านที่รักพระพุทธศาสนาและรักความถูกต้องชอบธรรม โปรดตั้งใจพิจารณา

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< เขาแต่งเรื่องใส่ร้ายเท่าไร เราก็เอามาพิมพ์เผยแพร่ให้ นายทหารร้ายจะได้ประจานความเท็จทุจริตของเขาได้เต็มที่– ๒ – แต่เรื่องที่เขาบิดเบือนพระธรรมวินัย ต้องให้ชาวบ้านเข้าใจชัดแจ้ง >>

No Comments

Comments are closed.