- เรื่องล่าสุด “คำให้การ พันเอกบรรจง”
- – ๑ – เรื่องที่เขาใส่ร้าย เราเอาไปเผยแพร่ให้ด้วย
- เขาแต่งเรื่องใส่ร้ายเท่าไร เราก็เอามาพิมพ์เผยแพร่ให้ นายทหารร้ายจะได้ประจานความเท็จทุจริตของเขาได้เต็มที่
- คนขลาดอวดกล้าด้วยวาจาทำขึงขัง แต่พอดูลงไปถึงไส้ ก็เห็นได้ว่าไม่มีอะไรจริงจัง
- – ๒ – แต่เรื่องที่เขาบิดเบือนพระธรรมวินัย ต้องให้ชาวบ้านเข้าใจชัดแจ้ง
- ถ้าเขาทำให้ชาวพุทธเขวเรื่องนิพพานได้ งานทำลายพระพุทธศาสนาก็ถึงเป้าที่เขาหวัง
- ชาวพุทธต้องแม่นชัดในหลักธรรมที่สำคัญ มิฉะนั้นไม่เห็นทางรักษาพระพุทธศาสนาให้ปลอดภัย
- เพราะเจตนาร้าย บวกความเท็จทุจริต และการขาดความกล้าหาญ เขาจึงต้องแอบอ้างสถาบันสำคัญมาทำการอันน่าละอาย
- รู้ทันคนร้าย รู้ทันนายทหารทุจริตแล้ว รู้เท่าถึงเหตุการณ์ที่เป็นมาด้วย จะช่วยให้ชาติและพระศาสนายืนยง
เขาแต่งเรื่องใส่ร้ายเท่าไร เราก็เอามาพิมพ์เผยแพร่ให้
นายทหารร้ายจะได้ประจานความเท็จทุจริตของเขาได้เต็มที่
เรื่องที่ ๒ เขาเขียนเป็นคำให้การว่า พระธรรมปิฎก ไปปลุกระดมมวลชนที่วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ “ข้าฯ ได้รับคำยืนยันเรื่องดังกล่าวจาก ศจ.ดร.นิพนธ์ ศศิธร ในเรื่องดังกล่าวนี้ว่าพระธรรมปิฎกถูกจับกุมขึ้นรถกะบะไปจริง”
เรื่องนี้ ดร.นิพนธ์ ศศิธร ก็สูงอายุมากแล้ว กลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกา ไม่ควรจะเอาท่านมาทำให้ลำบากด้วย
ที่วัดอุโมงค์นั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าจะจับหรอก พระธรรมปิฎกไม่ได้พบไม่ได้เห็น ดร.นิพนธ์ ศศิธร และก็ไม่ได้เห็นไม่ได้เจอตำรวจ หรือทางฝ่าย ดร. นิพนธ์ ศศิธร ก็ตาม ตำรวจก็ตาม ก็ไม่ได้เห็นไม่ได้เจอพระธรรมปิฎก แม้ว่าจะได้ยินข่าวเรื่องตำรวจมาล้อมที่วัด พระธรรมปิฎกก็อยู่ในวัดเป็นปกติ อย่างสงบ (อยู่อย่างพระ ไม่ได้มีอำนาจหรืออิทธิพลใดๆ) ไม่ได้อยู่ในที่เขาเจอตำรวจกันด้วย
เนื่องจากพระธรรมปิฎกไม่ได้เจอกับตำรวจ เมื่อได้อ่านคำให้การเท็จของ พ.อ. บรรจง ไชยลังกา ก็เลยสนใจลองสอบถามหาข้อมูล ได้หลักฐานที่มีการพิมพ์เป็นหนังสือว่า แม้แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเอง ก็ไม่มีใครถูกจับไป แต่ตรงข้าม เรื่องกลายเป็นว่า นายตำรวจบอกว่าไปเชิญนักศึกษาของ มช. ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ความจริงนั้น เอกสารที่ พ.อ. บรรจง ไชยลังกา นำมาลงไว้ในหนังสือของเขาเล่มนี้แหละก็ขัดกันเองกับที่เขาพูด หลักฐานที่เขาเอามาอ้างเพื่อใส่ร้ายพระธรรมปิฎกนั้น กลายเป็นหลักฐานที่ฟ้องความเท็จทุจริตของเขาเองโดยเขาไม่ทันได้สังเกต
หลักฐานนั้นเจ้าของเรื่องบอกว่า ถูกตำรวจล้อมไว้ที่วัดอุโมงค์ “พวกเราเกือบถูกจับไปตามๆ กัน หากได้บารมีขององค์ท่าน (หมายถึงพระธรรมปิฎก) และท่านพระเทพกวีแห่งจังหวัดนั้น (คือจังหวัดเชียงใหม่) จึงรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้”
ตรงนี้ก็แสดงว่า เพราะพระธรรมปิฎก และพระเทพกวีนั่นแหละ จึงช่วยให้พวกที่ไปที่นั่นไม่ถูกจับ ก็กลายเป็นว่า พระธรรมปิฎกนั้น อย่าว่าแต่จะไม่ถูกจับเลย ทั้งที่ไม่อยู่ตรงนั้น ก็ช่วยให้คนที่ไปนั้นไม่ถูกจับด้วยซ้ำ
สรุปว่า ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่นักศึกษาที่ตำรวจบอกว่าจะไปเชิญ ก็ยังไม่ถูกจับ นี่แหละ เมื่อนายทหารทุจริตพวก พ.อ. บรรจง ปั้นแต่งเรื่องเท็จขึ้น ก็ทำให้ต้องสืบค้นเรื่องราว เสียเวลาที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ นับว่าคนพวกนี้ทำบาปสองชั้น ซึ่งก็เป็นเป้าหมายของเขาในทางที่จะทำลาย
แต่ชาวพุทธก็ต้องไม่ยอมปล่อยให้นายทหารทุจริตพวกนี้เคยตัวทำชั่วสบายๆ เขาปั้นเรื่องอะไรมา ชาวพุทธจะต้องค้นหาสืบสาวเรื่องราวกันให้ชัดไป สังคมประเทศชาติไทยจะได้สดใสด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา พาคนทุจริตให้อ่อนกำลังลงไปบ้าง
เรื่องนี้ก็ย่อมรู้กันอยู่ว่านายทหารทุจริตพวก พ.อ. บรรจง ไม่มีความกล้าหาญที่จะมายืนยันกันต่อหน้า และจะรอให้คนพวกนี้กล้าขึ้นมา ก็อย่าพึ่งหวัง เพราะฉะนั้น ญาติโยมคนไหนก็ได้ ควรจะเชิญ ดร. นิพนธ์ ศศิธร มายันกันต่อหน้าให้ชัดไปเลย
ตรงนี้ขอแทรกหน่อยว่า เรื่องที่นายทหารทุจริตพวกนี้ยกมาพูดให้เห็นเป็นเรื่องร้ายนั้น ชาวบ้านไม่ควรไปหลงเชื่อ เวลานั้นบ้านเมืองอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ มีคนมีความคิดใหม่ๆ เก่าๆ ขัดแย้งกัน คนที่ไปประชุมนั้นก็ไปถกเถียงหาปัญญากัน เขาไม่ได้ไปทำการร้ายอะไร
เรื่องที่ ๓ เขาบอกว่า พระธรรมปิฎก ไปสอนในคณะศาสนสัมพันธ์ หรือบางที่เขาบอกว่าท่านร่วมตั้งด้วยนั้น พระธรรมปิฎกเองก็ยังไม่รู้เลยว่า คณะศาสนสัมพันธ์นั้นอยู่ที่ไหน ดูเหมือนว่าในหนังสืออื่นเขาเคยบอกว่าอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จริงคณะศาสนสัมพันธ์นั้น เท่าที่รู้ ไม่มีที่ไหนเลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยพระธรรมปิฎกก็ไม่รู้จัก เขาอ้างว่าไปสอน ใครๆ ที่รู้จักพระธรรมปิฎก หรือเกี่ยวข้องกับวัดญาณเวศกวัน ก็รู้ว่า พระธรรมปิฎกไม่ได้ไปพูดที่ไหนข้างนอกวัดนอกโรงพยาบาลมาตั้ง ๔-๕ ปีแล้ว
เรื่องที่ ๔ เขาบอกว่า พระธรรมปิฎกได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษากฎหมายสงฆ์ของกรมการศาสนา พระธรรมปิฎกยังไม่รู้ว่าตัวเองเคยได้รับแต่งตั้งนี้ และก็คิดว่ากรมการศาสนาคงไม่คิดจะมาตั้งพระธรรมปิฎกเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ถ้าจะตั้งก็น่าจะเป็นด้านพระธรรมวินัย พระธรรมปิฎกไม่ใช่เป็นผู้ชำนาญกฎหมายอะไร กรมการศาสนามีผู้ชำนาญกฎหมายของเขาอยู่แล้ว ถึงตั้ง พระธรรมปิฎกก็ไม่รับด้วย เพราะว่าต้องการอยู่เงียบๆ ไม่ได้ถนัดและก็ไม่มีเวลาจะมาทำงานเรื่องด้านนี้
ส่วนที่เขาว่า เมื่อ ๑๐ เม.ย. ๒๕๔๔ ที่ชาวพุทธรวมตัวกันหน้าทำเนียบ พระธรรมปิฎก เก็บตัวเงียบไม่ออกมาหนุนนั้น ตรงนี้ก็ขำ และทำให้เรายิ่งจับได้แม่นแท้ว่าคนพวกนี้มุ่งจะทำลายพุทธแน่ๆ เพราะพวกเขานี่แหละที่ได้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้นำชาวพุทธที่ชวนคนมารวมตัวกันนั้น ตอนนี้เขาพูดเหมือนกับว่าเขาหนุน โดยเขานึกว่าเราจะไม่รู้ทัน
เรื่องที่ ๕ ว่าพระธรรมปิฎก เป็นบุคลากรของคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา (ศพพ.) ร่วมกันสร้างสถานการณ์กรณีธรรมกาย เพื่อเป็นเงื่อนไขออก พรบ.สงฆ์ เพื่อควบคุมพระพุทธศาสนา
เรื่องนี้เอามาเขียนสรุปไว้ด้วย เพื่อให้นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ได้ประจานความเท็จทุจริตของตัวเขาเอง และถ้าญาติโยมอ่านสังเกตให้ดี จะมองเห็นบาปเจตนาซ่อนเร้นที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตของพวกเขาด้วย (เรื่องเกี่ยวกับ ศพพ. นี้ เคยเขียนไว้ก่อนแล้ว อ่านได้ในหนังสือเล่มนี้ หน้า ๗๒-๗๓)
เรื่องที่ ๖ ก็คล้ายๆ กัน เขาบอกว่า พระธรรมปิฎกได้สร้างกระแสให้พุทธศาสนิกชนได้เห็นชอบในการออก พรบ.สงฆ์ใหม่ มีเนื้อหาสาระทำลายพุทธศาสนา โดยอ้างกรณีธรรมกายเป็นสาเหตุหลัก ตรงนี้ก็เหมือนข้อก่อน สังเกตให้ดี นอกจากเห็นความเท็จทุจริตของเขาแล้ว ก็จะเห็นเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการทำความเท็จทุจริตของเขาด้วย
พรบ.สงฆ์ ที่ร่างกันใหม่นี้ มีผู้ส่งมาให้ พระธรรมปิฎกยังไม่มีเวลาจะอ่านให้ตลอดเลย ได้ทราบว่ามี ๒ ร่าง มีความสนใจอยู่บ้าง แต่สนใจไม่มากพอที่จะอ่านให้จบ ก็ดูๆ ว่ามีเท่านั้นมาตรา มีเท่านี้มาตรา แต่ทั้งๆ ไม่ได้รู้เรื่อง เขาก็ยังจับเอาไปปั้นเรื่องให้เป็นผู้มีบทบาทในการทำร่าง พรบ.สงฆ์ใหม่นี้ ถึงขนาดที่ว่า ในเรื่องต่อไป คือ เรื่องที่ ๗ เขาบอกว่า หลักฐานเทปบันทึกเสียงว่าพระธรรมปิฎก ได้พูดสนับสนุนให้มีการจัดตั้งมหาคณิสร แปลกดี
ความจริง เท่าที่ทราบ ผู้ที่คิดเรื่องมหาคณิสรขึ้นมา ก็เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากมหาเถรสมาคมให้มาทำร่าง พรบ.นั่นเอง
ที่บอกว่าตั้งมหาคณิสรขึ้นมาเพื่อทำลายมหาเถรสมาคม ตามที่ทราบนั้น ท่านผู้ได้รับมอบหมายจากมหาเถรสมาคมให้ร่าง ก็ร่างให้มีมหาคณิสรขึ้นมา และก็เข้าใจว่าทางมหาเถรสมาคม มหาเถระก็เห็นชอบด้วย อาจจะเปลี่ยนชื่อหรืออะไรไป ก็เป็นเรื่องของท่าน พ.อ. บรรจง ไชยลังกา น่าจะรู้ดีกว่าพระธรรมปิฎก
ความคิดในเรื่องการจัดตั้งมหาคณิสรนี้ เท่าที่ได้ยิน ใครๆ เขาก็เห็นว่าดี พระธรรมปิฎกก็คิดว่าผู้ที่ทำร่างนี้มีหลักการที่ดี แต่ก็ขอว่าไม่รับความดีความชอบนี้ด้วย เพราะว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ก็ว่าไปตามตรง ไม่ควรจะมาเอาความดีความชอบที่ตัวไม่ได้ทำ
การที่กลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมา คงเป็นการพยายามทำให้พระในมหาเถรสมาคม หรือผู้เกี่ยวข้อง หรือลูกศิษย์ของท่านนั้นแตกกัน
ส่วน เรื่องที่ ๘ เขาบอกว่า พระธรรมปิฎก “แอบเสนอชื่อตนเองเพื่อเป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จ” เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องอธิบายเลย พระและญาติโยมทั่วไปรู้จักพระธรรมปิฎกกันดีพอที่จะวินิจฉัยความจริงความเท็จได้เอง และง่ายด้วย เราเพียงแต่ช่วยเอาไปเล่าต่อว่าเขาใส่ร้ายว่าอย่างนี้
การที่เขาปั้นแต่งเรื่องอย่างนี้ขึ้นกลับยิ่งดี เพราะช่วยให้พระและญาติโยมไม่ต้องเสียเวลาสืบค้นหาข้อมูลให้ลำบาก พอนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง พูดอย่างนี้ขึ้นมา พระและญาติโยมที่ยังรีรอสงสัยอยู่บ้าง ก็บอกว่าคราวนี้ปิดรายการได้แล้ว คนพวกนี้แต่งเรื่องเท็จชัดๆ แสดงว่าเรื่องไหนๆ ก็ไม่จริง เชื่อถืออะไรไม่ได้
No Comments
Comments are closed.